ตอนที่ 4: ประกายไฟจากโลกภายนอก
รถยุโรปสีเข้มคันหนึ่งเลี้ยวออกจากถนนใหญ่สายหลัก เข้าสู่ตรอกซอกซอยที่คับคั่งของเยาวราชราวกับกำลังดำดิ่งสู่โลกอีกใบในทันที โลกของโรงเรียนนานาชาติที่สะอาดและเป็นระเบียบถูกทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างรวดเร็ว ที่นี่คือดินแดนแห่งความโกลาหลที่มีชีวิตชีวา ป้ายไฟนีออนสาดแสงสะท้อนบนพื้นถนนที่เปียกชื้น กลิ่นเครื่องเทศจากร้านค้าข้างทางผสมกับควันธูปจากศาลเจ้าเล็กๆ จนเป็นกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์
เหมยลดกระจกรถลง ปล่อยให้เสียงและกลิ่นของบ้านแทรกซึมเข้ามา มันช่วยชะล้างความเหนื่อยล้าจากการสวมบทบาท ‘ครู’ มาตลอดทั้งวัน
เมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่เขตบ้านใหญ่ตระกูลอิทธิพลไพศาล บรรยากาศก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ความจอแจภายนอกถูกแทนที่ด้วยความสงบและน่าเกรงขาม ลูกน้องในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำหลายคนโค้งคำนับทันทีที่เห็นรถของเธอเคลื่อนผ่านประตูไม้แกะสลักบานใหญ่
“คุณหนู กลับมาแล้วเหรอครับ” เฮียตี๋เดินมารอต้อนรับที่หน้าประตูบ้านด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่แววตาของเขาฉายความกังวล
“อากงอยู่ไหนคะ” เหมยถามพลางก้าวลงจากรถ
“ห้องหนังสือเหมือนเดิมครับ ท่านรอคุณหนูอยู่”
เหมยพยักหน้ารับแล้วเดินตรงเข้าไปด้านใน ห้องหนังสือของอากงกรุด้วยไม้สักสีเข้มทั้งห้อง อับอวลไปด้วยกลิ่นชาชั้นดีและกระดาษเก่า อากงเหลียงในชุดผ้าไหมจีนสีเข้ม นั่งสงบนิ่งอยู่หน้ากระดานหมากล้อมที่ยังวางหมากค้างไว้ ในมือของท่านคือถ้วยชาใบเล็กที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น
“มาแล้วรึ เหมย” อากงเอ่ยทักโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากกระดาน
“ค่ะอากง” เหมยทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม รินชาให้ตัวเองอย่างคล่องแคล่ว
“ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”
“ก็... ท้าทายดีค่ะ”
อากงเหลียงวางถ้วยชาลง เขาวางหมากสีดำลงบนกระดานเสียงดัง ‘แปะ’ “ทุกที่ล้วนมีความท้าทาย อยู่ที่ว่าเราจะมองมันเป็นอุปสรรค หรือมองเป็นบันไดให้ก้าวข้าม”
ความเงียบโรยตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่อากงจะเข้าเรื่อง “เฮียตี๋คงบอกเจ้าแล้วเรื่องแก๊งหงส์เพลิง”
“ค่ะ” เหมยตอบรับเสียงเรียบ
“พวกหงส์เพลิงมันเหิมเกริมขึ้นทุกวัน” อากงถอนหายใจยาว “ป๊าของเจ้า... เล้งมันใจดีเกินไป มันใช้หัวของนักธุรกิจเจรจา แต่ลืมไปว่ากำลังคุยอยู่กับหมาป่า”
เหมยนิ่งฟัง เธอรู้ดีถึงความขัดแย้งระหว่างแนวทางของป๊ากับวิถีของอากง
อากงเหลียงเงยหน้าขึ้นสบตาหลานสาวคนเดียวของเขา แววตาที่ดูเหมือนคนชราใจดีกลับคมปลาบดุจเหยี่ยว “เหมย... จำไว้” ท่านกล่าวเน้นคำ “ไฟที่ไร้การควบคุม จะเผาผลาญทุกอย่างจนสิ้น แม้กระทั่งตัวมันเอง... แต่ก่อนที่มันจะมอด เราต้องไม่ปล่อยให้มันลามมาถึงบ้านเรา”
คำสอนนั้นฝังลึกลงในใจของเหมย ประกายไฟเล็กๆ... ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน หากปล่อยไว้ มันก็สามารถเผาทำลายทุกอย่างให้วอดวายได้เช่นกัน
วันรุ่งขึ้น ณ โรงเรียนนานาชาติเซนต์ออกัสติน
ประกายไฟที่ว่านั้นกำลังจะปะทุขึ้นในไม่ช้า...
ช่วงพักกลางวัน กายกำลังเดินผ่านห้องสมุด เขาเห็นเหมยยืนคุยกับนักเรียนสองคนจากห้องอื่นที่กำลังมีปากเสียงกันอยู่แวบนึง ไม่มีเสียงตะคอกหรือการใช้อำนาจ มีเพียงน้ำเสียงเรียบๆ และคำพูดไม่กี่ประโยคที่เขาจับใจความไม่ได้ แต่ผลลัพธ์คือเด็กสองคนนั้นแยกย้ายกันไปอย่างสงบโดยไม่มีเรื่องบานปลาย กายขมวดคิ้วเล็กน้อย... ครูคนนี้... ไม่เหมือนคนอื่น
หลังเลิกเรียน เสียงลูกบาสเกตบอลกระทบพื้นคอนกรีตดังเป็นจังหวะหนักแน่นที่สนามบาสหลังโรงเรียน นัทกำลังเลี้ยงลูกสลับซ้ายขวา ระบายอารมณ์คั่งค้างจากความรู้สึกอึดอัดที่ถูกตีตราว่าเป็นนักเรียนห้องบ๊วย ก่อนจะกระโดดขึ้นเลย์อัพลูกลงห่วงอย่างรุนแรง
“เฮ้! สนามนี้บาสมีเจ้าของแล้วรึไง”
เสียงยียวนเสียงหนึ่งดังขึ้น นัทหันขวับไปตามเสียง กลุ่มนักเรียนชาย 4-5 คนในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนนานาชาติคิงส์บริดจ์กำลังเดินตรงเข้ามา เสื้อเบลเซอร์สีดำกับเนคไทสีแดงเลือดหมูของพวกเขาดูโดดเด่นและหยิ่งผยอง คนที่เดินนำหน้าคือ ‘คิม’ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นัทเคยมีเรื่องด้วยในสนามแข่งเมื่อปีก่อน
“อยากเล่นก็เข้ามา” นัทตอบห้วนๆ โยนลูกบาสกลับไป
คิมรับลูกบาสไว้ด้วยมือเดียวแล้วแสยะยิ้ม “ได้ยินว่าครูที่ปรึกษาคนเก่าของห้อง ‘Section D’ ลาออกไปแล้วเหรอวะ น่าสมเพชนะ โรงเรียนก็ดูดี แต่ดันมีห้องเรียนขยะๆ แบบนี้อยู่ได้”
คำพูดดูถูกเหยียดหยามแทงใจนัทอย่างจัง เขาเกลียดที่สุดคือการถูกคนนอกมองว่าตัวเองและเพื่อนเป็นตัวปัญหา
“ปากดีนักนะมึง!” นัทเดินเข้าไปประจันหน้า
“ก็ดีกว่าพวกขี้แพ้ที่ทำได้แค่เห่าอยู่ในโรงเรียนตัวเองล่ะวะ” คิมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “หรือถ้าแน่จริง... เย็นนี้ ไปเจอกันหน่อยเป็นไง ที่ลานว่างหลังห้างเก่า ตัวต่อตัว... ตัดสินกันให้มันจบๆ ไปเลย”
กายที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ขมวดคิ้ว เขาเห็นแววตาไม่น่าไว้วางใจของกลุ่มคิงส์บริดจ์ มันไม่ใช่แค่การท้าตีท้าต่อยของเด็กนักเรียนธรรมดา
แต่สำหรับนัท นี่คือโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเอง เขาจ้องหน้าคิมเขม็งแล้วตอบเสียงดังฟังชัด “ได้! มึงเจอกูแน่!”
กายถอนหายใจ เขารู้ว่าห้ามนัทตอนนี้ไปก็ไร้ประโยชน์
หลังกลุ่มของคิมเดินจากไป กายตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดจะทำ เขาเดินตรงไปยังห้องพักครู ดักรอครูนาราภัทรที่กำลังจะเดินกลับบ้าน
“ครูครับ”
เหมยหยุดเดิน หันมามองกายด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “มีอะไรรึเปล่ากาย”
กายไม่ได้สบตาเธอตรงๆ เขามองไปทางอื่นแล้วเริ่มพูด “คือ... ผมมีเรื่องอยากปรึกษา ถ้าสมมติ... สมมติว่าเพื่อนเรากำลังจะไปทำอะไรโง่ๆ เพราะโดนคนอื่นท้าทาย เราควรจะทำยังไงดีครับ”
แล้วกายก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เหมยฟัง
เหมยรับฟังอย่างตั้งใจ เธออ่านสถานการณ์จากสีหน้าและแววตาที่กังวลของกายออกทั้งหมด
“ขอบใจที่ไว้ใจครูนะกาย” เธอบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องนี้ครูจะจัดการเอง เธอกลับบ้านไปได้แล้ว ไม่ต้องห่วง”
กายมองหน้าเธออย่างไม่แน่ใจ แต่ความมั่นคงในแววตาของครูคนใหม่ก็ทำให้เขายอมพยักหน้ารับแล้วเดินจากไป
เมื่ออยู่ตามลำพัง เหมยเดินไปยังรถของเธอ เธอเปิดประตูเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย ถอนหายใจยาวออกมา ปลดปล่อยความเหนื่อยล้าของบทบาทครูที่สวมมาทั้งวัน เธอปลดผมที่มัดรวบไว้อย่างเรียบร้อยให้สยายลงมาบนบ่า ดวงตาที่อ่อนโยนเมื่อครู่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเรียบเฉยและเย็นชา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์โทรด่วนที่เมมไว้
เสียงสัญญาณดังเพียงครั้งเดียวปลายสายก็กดรับ
“ว่าไงเจ๊” เสียงของอาหลงดังขึ้น เรียบๆ แต่พร้อมรับคำสั่งเสมอ
“อาหลง” เหมยพูดเร็วและกระชับ “เช็กประวัตินักเรียนโรงเรียนคิงส์บริดจ์ ชื่อ ‘คิมหันต์ อัครเดโชชัย’ ให้หน่อย เน้นเรื่องที่บ้าน ครอบครัว หรือเรื่องอะไรก็ได้ที่มันใช้ ‘คุย’ ได้ ส่งข้อมูลมาให้เหมยเงียบๆ ด่วนที่สุด”
“ไม่มีปัญหาเจ๊ เดี๋ยวจัดการให้ ข้อมูลจะถึงมือก่อนเจ๊ไปถึงที่นั่นแน่” ปลายสายตอบอย่างมั่นใจแล้ววางสายไป
เหมยเก็บโทรศัพท์ลง สตาร์ทเครื่องยนต์
ลานว่างหลังห้างสรรพสินค้าเก่า
ลานคอนกรีตแตกระแหง มีเพียงแสงไฟจากถนนใหญ่สาดส่องเข้ามาจางๆ นัทยืนอยู่กลางลานเพียงลำพัง เขากำหมัดแน่น หัวใจเต้นแรงด้วยความโกรธและตื่นเต้น
แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าคิมไม่ได้มาคนเดียว แก๊งฮันเตอร์สอีกสี่คนเดินตามออกมาจากเงามืด ยืนล้อมคิมเป็นครึ่งวงกลม
“ไหนว่าตัวต่อตัวไงวะ!” นัทตะโกนถาม
คิมหัวเราะเยาะ “กูก็มาตัวต่อตัวไง... แต่เพื่อนกูแค่อยากมาดูมึงโดนกระทืบเล่นๆ เฉยๆ”
สถานการณ์เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด นัทรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว แต่ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ เขาตั้งการ์ดเตรียมพร้อมรับมือกับการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ฟิ้ว...
ก่อนที่ใครจะได้ขยับตัว รถยุโรปสีดำคันเดิมก็พุ่งเข้ามาจอดขวางระหว่างนัทกับกลุ่มของคิมด้วยความเร็วสูง เสียงเบรกดังสนั่นจนทุกคนผงะไปตามๆ กัน
ประตูฝั่งคนขับเปิดออก ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวคนหนึ่งก้าวลงมา เธอสวมเพียงเสื้อยืดสีดำเรียบๆ กับกางเกงยีนส์ขาดเข่าที่ดูทะมัดทะแมง ผมยาวสยายพลิ้วไหวตามแรงลม แววตาของเธอภายใต้แสงไฟสลัวนั้นเย็นชาและเฉียบคมจนน่ากลัว
“ครู!” นัทอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด
เหมยไม่แม้แต่จะหันไปมองเขา เธอเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าคิมอย่างไม่เกรงกลัว ประกายไฟที่อากงพูดถึง... คงหน้าตาแบบนี้เอง ถึงเวลาต้องดับมัน ก่อนที่มันจะลุกลาม
“มึงเป็นใครวะ! มายุ่งไม่เข้าเรื่อง!” หนึ่งในลูกน้องของคิมตะคอก
เหมยไม่สนใจเสียงนกเสียงกา เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคิมแล้วเอ่ยชื่อเต็มของเขาช้าๆ ชัดๆ
“คิมหันต์ อัครเดโชชัย... ใช่ไหม?”
คิมชะงักไปทันที ความหยิ่งผยองบนใบหน้าหายไปส่วนหนึ่ง “มึง... รู้ชื่อกูได้ไง”
“ฉันรู้มากกว่าชื่อของเธออีกนะ” เหมยพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง ข้อมูลจากอาหลงฉายชัดอยู่ในหัวของเธอ “ได้ข่าวว่าคะแนนสอบฟิสิกส์ครั้งล่าสุดไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนี่... ถ้าเรื่องชกต่อยวันนี้ถึงหูคุณพ่อเธอที่เป็นถึงอธิบดีกรมสรรพสามิต... ท่านคงไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่หรอกมั้ง”
คิมหน้าซีดเผือด
“โดยเฉพาะช่วงที่ท่านกำลังมีเรื่องสำคัญในหน้าที่การงาน... ข่าวฉาวของลูกชาย... คงไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังเท่าไหร่”
คำพูดของเหมยเหมือนหมัดฮุกที่มองไม่เห็น มันชกเข้าที่จุดตายของคิมอย่างจังจนจุกพูดไม่ออก เขากำลังจะอ้าปากเถียง แต่เมื่อเห็นแววตาที่เหมือนรู้ทุกอย่างของผู้หญิงตรงหน้า เขาก็ต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไป
ความกลัวเข้ามาแทนที่ความกร่างในบัดดล... ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? ตำรวจ? หรือเป็นใครที่พ่อเขาส่งมา?
นัทที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ช็อกไม่แพ้กัน เขายืนอ้าปากค้าง สมองประมวลผลไม่ทัน นี่คือครูประจำชั้นของเขาจริงๆ หรือ? ทำไมเธอถึงรู้เรื่องส่วนตัวของคิมได้ละเอียดขนาดนี้? และทำไมท่าทางของเธอถึงได้น่าเกรงขามขนาดนี้?
บรรยากาศในลานร้างตึงเครียดถึงขีดสุด ไม่มีใครกล้าขยับ มีเพียงเสียงลมที่พัดหวีดหวิวผ่านไป เหมยยืนคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ในมือของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน หวาดระแวง และตกตะลึงของเด็กหนุ่มทั้งสองฝั่ง
โลกใบใหม่ของพวกเขา... เพิ่งจะได้เห็นเศษเสี้ยวของโลกใบเก่าที่แท้จริงของเธอเป็นครั้งแรก