ตอนที่ 3: รอยร้าวบนกำแพง
บนอัฒจันทร์ร้าง ความเงียบเข้าครอบงำแทนที่เสียงแดดแผดเผา นัท พลอย และตี๋เล็กยืนนิ่งแข็งทื่อ จ้องแผ่นหลังเหมยเดินลับไป ไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง
“อะไรวะ...” นัทสบถลอดไรฟัน ความสับสนฉายชัดในแววตาเคยแข็งกร้าว “ยัยนั่นรู้ได้ไงวะ”
“เธอ... รู้ได้ยังไง” พลอยพึมพำ มือหนึ่งกุมอก คำพูดของเหมยยังก้องในหัว แทงทะลุเกราะป้องกันที่เธอสร้างขึ้นมาอย่างแม่นยำ
ตี๋เล็กมองเพื่อนทั้งสองสลับกันไปมา “แล้ว... เราจะเอายังไงต่อ”
ไร้คำตอบ มีเพียงสายลมพัดผ่าน ความท้าทายที่พวกเขายื่นให้ครูคนใหม่ถูกปัดทิ้งง่ายดาย แถมยังถูกสวนกลับด้วยคำถามที่พวกเขาไม่เคยตั้ง นัทกำหมัดแน่น กรามบดเข้าหากันกรอด เขากระทืบเท้าลงบนพื้นคอนกรีตหนึ่งครั้งแล้วหันหลังเดินนำลงจากอัฒจันทร์
“ไปไหนวะนัท!” พลอยตะโกน
“กลับห้อง!” เขาตอบห้วน ไม่หันกลับมามอง
พลอยนิ่งไปครู่หนึ่ง คว้ากระเป๋ารีบเดินตาม ตี๋เล็กไม่รอช้า วิ่งตามเพื่อนทั้งสองไปติดๆ พวกเขาไม่ได้กลับเพราะยอมแพ้ แต่กลับเพราะสงครามครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มต้นอย่างน่าสนใจต่างหาก
ประตูห้อง 12D เปิดอีกครั้ง เสียงฝีเท้าสามคู่เดินเข้าห้อง ดึงทุกสายตาจับจ้อง นักเรียนที่เหลือมองผู้ท้าทายทั้งสามกลับเข้ามาด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป บางคนฉงน บางคนเหลือบมองครูสลับกับกลุ่มนัทอย่างมีเลศนัย ขณะที่บางคนก็โล่งใจที่เหตุการณ์ไม่บานปลาย กายเป็นคนเดียวที่ยังคงนิ่งสงบ แต่ดวงตาคมกริบจับจ้องเพื่อนทั้งสามไม่วางตา
เหมยกำลังอธิบายแผนผังความคิดบนกระดานอัจฉริยะ หยุดชะงักเพียงเสี้ยววินาที เธอละสายตาจากหน้าจอ หันมามองผู้มาใหม่ทั้งสาม
เธอไม่พูด ไม่ถาม ไม่ตำหนิ
เธอเพียงพยักหน้าให้พวกเขาเบาๆ หนึ่งครั้ง เป็นการรับรู้ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ก่อนจะหันกลับไปสอนต่อ ปล่อยให้ทั้งสามยืนเก้ๆ กังๆ อยู่กลางห้อง
การกระทำของเหมยดุจน้ำเย็นสาดเข้าใส่สถานการณ์ร้อนระอุ ทำให้การกลับมาของพวกเขาดูเป็นเรื่องธรรมดา แผนการท้าทายทั้งหมดดูไร้สาระในบัดดล นัทหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายระคนหงุดหงิด เขาเดินกระทืบเท้าไปนั่งที่โต๊ะตัวเองเสียงดังโครม พลอยเม้มปากแน่น เชิดหน้าขึ้นเดินไปนั่งที่อย่างพยายามรักษาฟอร์ม ส่วนตี๋เล็กก็รีบหลบไปนั่งที่เงียบๆ
รอยร้าวแรกบนกำแพงแห่งการต่อต้าน... ปรากฏขึ้นแล้ว
หลังเสียงกริ่งหมดคาบเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนห้อง 12D ทยอยเก็บของเดินออกจากห้อง บรรยากาศที่เคยแยกส่วนเริ่มเปลี่ยนไป กลุ่มของนัท พลอย และตี๋เล็กไม่แยกย้ายทันที แต่มายืนออๆ กันอยู่หน้าห้อง คล้ายมีเรื่องต้องสะสาง
กายเดินออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขาตรงเข้ามาในวงสนทนาของทั้งสาม แล้วยิงคำถามตรงๆ เข้าเป้า
“ครูเขาพูดอะไรกับพวกนาย”
น้ำเสียงของกายเรียบเฉย แฝงอำนาจกดดันจนทุกคนต้องเงียบฟัง
“ก็ไม่มีอะไรนี่” พลอยตอบก่อน สะบัดผมอย่างคนเหนือกว่า “แค่ครูเพี้ยนๆ ที่ชอบพูดจาแปลกๆ”
“หุบปากไปเลยพลอย!” นัทสวนทันที “มันไม่ใช่แค่นั้น” เขามองหน้ากายตรงๆ “ยัยครูนั่น... เหมือนมองทะลุพวกเราได้ เหมือนรู้ทุกความคิด”
“ใช่ๆ” ตี๋เล็กพยักหน้าเสริม “เขาพูดกับนัทเรื่อง...”
“พอเลยมึง!” นัทหันตวาดตี๋เล็กจนสะดุ้งโหยง
เหมยเพิ่งเดินออกจากห้องพักครู สังเกตเห็นการรวมตัวนั้นจากระยะไกล แต่สายตาเธอไม่ได้จับจ้องที่กลุ่มผู้นำ เธอเห็นภู หนุ่มแว่นศิลปิน ยืนอยู่นอกวงสนทนาเล็กน้อย เขากอดสมุดสเก็ตช์เล่มโปรดแนบอกเหมือนโล่กำบัง เขาดูโดดเดี่ยว หวาดกลัวบางสิ่ง
นักเรียนชายอีกคนเดินผ่าน กระแทกไหล่ภูจนเซ ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดกับเพื่อนว่า "ระวังหน่อยเพื่อน!"
ภูเพียงก้มหน้าลง กอดสมุดให้แน่นขึ้นอีก สีหน้าเขาเจ็บปวด แต่ไม่กล้าตอบโต้
มันเป็นการกระทำเล็กๆ ที่ไม่มีใครสนใจ แต่ไม่ใช่สำหรับครูนาราภัทร เธอขมวดคิ้ว จดจำใบหน้าของนักเรียนคนที่แกล้งภูและภาพแผ่นหลังที่ห่อเหี่ยวของเด็กหนุ่มไว้ในใจ ในโลกของเธอ ปมปัญหาเหล่านี้ไม่ซับซ้อน แต่รากของมันฝังลึก ต้องการเวลาในการขุดค้น
“ครูนาราภัทร!”
เสียงแหลมสูงเต็มไปด้วยความกังวลดังขึ้นขัดจังหวะความคิด อาจารย์มานะเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาเธอ หน้าผากที่กว้างอยู่แล้วยิ่งดูเด่นชัดขึ้นเมื่อเหงื่อซึม แว่นตาเขาแทบไหลลงปลายจมูก
“ผมได้รับรายงาน! จริงรึเปล่าที่นักเรียนในชั้นของคุณหายไประหว่างคาบเรียน!?” เขากดเสียงต่ำ พยายามไม่ให้เรื่องดังไปทั่วห้องพักครู “ทำไมคุณไม่ทำรายงานแจ้งฝ่ายปกครองตามระเบียบ! นี่มันการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ชัดๆ!”
เหมยหันเผชิญรองผู้อำนวยการ เธอยืนนิ่งสงบ ไม่แสดงอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ความนิ่งของเธอตัดกับท่าทีลนลานของอาจารย์มานะอย่างสิ้นเชิง
“ต้องขออภัยด้วยค่ะท่านรองฯ” เหมยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบชัดเจน “ดิฉันไม่ได้ละเลยหน้าที่ค่ะ แต่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในอีกรูปแบบหนึ่ง”
“รูปแบบอะไรของคุณ!?”
“ดิฉันเรียกมันว่า ‘บทเรียนภาคปฏิบัติเรื่องการตัดสินใจและความรับผิดชอบ’ ค่ะ” เหมยพูดต่อ ดวงตาเธอใสกระจ่าง ไม่หลบสายตาคาดคั้นของอาจารย์มานะ “นักเรียนบางคนต้องการพื้นที่นอกห้องเรียนเพื่อปรับทัศนคติ ดิฉันจึงให้โอกาสพวกเขาได้เรียนรู้ผลที่จะตามมาจากการตัดสินใจของตัวเองค่ะ”
อาจารย์มานะอ้าปากค้าง “นี่คุณ... คุณจะบอกว่าคุณจงใจปล่อยให้นักเรียนโดดเรียนงั้นเหรอ!?”
“ดิฉันไม่ได้ปล่อยค่ะ” เหมยแก้ต่างอย่างใจเย็น “ดิฉันแค่ ‘สังเกตการณ์’ อยู่ห่างๆ และเข้าแทรกแซงในจังหวะเหมาะสมที่สุด ดิฉันมั่นใจว่าเหตุการณ์จะไม่อันตรายถึงชีวิต และควบคุมสถานการณ์ได้ และผลลัพธ์ก็น่าพอใจมากค่ะ ตอนนี้ปัญหาได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว นักเรียนทุกคนกลับเข้าห้องเรียนอย่างปลอดภัยและเข้าใจบทบาทของตัวเองมากขึ้น ไม่มีความเสียหายต่อทรัพย์สิน และไม่มีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น”
ตรรกะของเธอทำให้อาจารย์มานะพูดไม่ออก เขาอยากจะเถียง แต่เมื่อผลลัพธ์คือ "ปัญหาจบแล้ว" เขาก็ไม่มีข้อไหนมาโต้แย้งได้ตามหลักการ
“แต่มันผิดระเบียบ! ผิดขั้นตอน!” เขาเค้นเสียงออกมาได้แค่นั้น
“บางครั้ง... หนทางที่สั้นที่สุดในการแก้ปัญหา ก็ไม่ได้อยู่บนถนนเส้นหลักเสมอไปหรอกนะคะ ท่านรองฯ” เหมยทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเป็นมิตร แต่แฝงนัยยะบางอย่างไว้ ก่อนจะโค้งตัวเล็กน้อยแล้วเดินจากไป ทิ้งให้อาจารย์มานะยืนขบกรามแน่นด้วยความหงุดหงิดระคนไม่เข้าใจ
ผู้หญิงคนนี้อันตรายเกินไปสำหรับระเบียบแบบแผนที่เขายึดมั่น
เย็นวันนั้น เหมยเดินออกจากตัวอาคารเรียนเป็นคนท้ายๆ แสงแดดสีทองของยามเย็นอาบไล้สนามหญ้าและอาคารโอ่อ่าให้ดูเหมือนดินแดนในฝัน บรรยากาศเงียบสงบเป็นระเบียบ... ห่างไกลจากตัวตนที่แท้จริงของเธอเหลือเกิน
เธอเดินมาหยุดพิงรถยุโรปคันหรู กดรีโมตปลดล็อก โยนกระเป๋าเอกสารเข้าเบาะหลัง ความเหนื่อยล้าจากการสวมบทบาท ‘ครูนาราภัทร’ ตลอดทั้งวันเริ่มถาโถม
ทันใดนั้น โทรศัพท์สั่นครืดในกระเป๋าเสื้อ เธอหยิบมันขึ้นมา หน้าจอโชว์ชื่อคุ้นเคย
‘เฮียตี๋’
เหมยถอนหายใจยาวก่อนกดรับสาย
“ฮัลโหลค่ะเฮีย”
“คุณหนู!” เสียงดังล้งเล้งของตี๋ใหญ่ดังทะลุลำโพงจนเธอต้องยกโทรศัพท์ออกห่าง “เลิกงานรึยังครับเนี่ย!? อากงบ่นคิดถึงใจจะขาดแล้ว ถามว่าเย็นนี้จะกลับไปกินข้าวที่บ้านใหญ่รึเปล่า”
“กลับค่ะ เหมยกำลังจะออกไปแล้ว” เธอตอบ น้ำเสียงผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นน้ำเสียงของ ‘คุณหนูเหมย’ ที่คุ้นเคย
“ดีเลยครับ! มีเรื่องด่วนจะคุยด้วยนิดหน่อย... เรื่องเขตทางใต้ที่ไอ้พวกแก๊งหงส์เพลิงมันเริ่มมาป้วนเปี้ยนอีกแล้ว! วันนี้ลูกน้องเราโดนหยามไปคนนึง อากงกำลังหัวเสียเลย!”
คำว่า ‘หงส์เพลิง’ ทำให้แววตาของเหมยเปลี่ยนไปทันที ความอ่อนโยนแบบครูหายวับ ถูกแทนที่ด้วยความคมกริบเย็นชา สัญชาตญาณระวังภัยถูกปลุกขึ้นอัตโนมัติ
“แล้วเป็นอะไรมากมั้ยคะ”
“ไม่มากครับ แต่เสียหน้า! เฮียล่ะอยากจะ...”
ขณะที่เฮียตี๋กำลังสาธยายความแค้น หางตาของเหมยเหลือบเห็นกายเดินตัดลานจอดรถไปในระยะไกล เขาหันมามองเธอแวบหนึ่ง คล้ายสงสัยในท่าทีที่เปลี่ยนไป
เหมยปรับโหมดตัวเองในเสี้ยววินาที เธอรู้ว่าการถูกนักเรียนอย่างกายจับได้ว่ามีอีกชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องดี
“ค่ะ... ค่ะคุณพ่อ” เธอเปลี่ยนสรรพนามทันที น้ำเสียงกลับมาสุภาพนุ่มนวลเหมือนเดิม “เดี๋ยวหนูจะรีบกลับไปนะคะ... ค่ะ แค่นี้นะคะ สวัสดีค่ะ”
เธอกดตัดสายทันทีที่กายเดินพ้นสายตาไปแล้ว
หญิงสาวพิงรถ หลับตาลงชั่วครู่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับสมดุลของสองโลกที่กำลังตีกันในหัว มันเหนื่อย... เหนื่อยกว่าการต่อกรกับนักเรียนทั้งห้องร้อยเท่านัก
เธอก้าวขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์ทุ้มนุ่มดังขึ้นพร้อมแอร์เย็นฉ่ำ รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวออกจากที่จอดของโรงเรียนนานาชาติเซนต์ออกัสตินอย่างนิ่มนวล
เหมยเหลือบมองกระจกหลัง ภาพตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนค่อยๆ เล็กลงและลับหายไปจากสายตา ขณะที่รถของเธอเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ่ มุ่งหน้ากลับสู่โลกแห่งแสงสีนีออน ตรอกซอกซอยซับซ้อน และความขัดแย้งที่รอเธออยู่ในเยาวราช
โลกใบเก่า... ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ