ตอนที่ 2: บททดสอบแรก กำแพงที่มองไม่เห็น
เสียงกริ่งคาบเรียนแรกดังขึ้น เหมย สูดหายใจลึก รวบรวมสมาธิ เธอก้าวเข้าสู่ห้อง 12D อีกครั้งในฐานะ ‘ครูนาราภัทร’ เต็มตัว บรรยากาศยังคงเย็นชาไม่ต่างจากเมื่อวาน สายตาหลายคู่เหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปสนใจสมาร์ทโฟน สมุดสเก็ตช์ หรือความว่างเปล่านอกหน้าต่าง
เธอมองข้ามความเฉยเมยราวกับมันเป็นเพียงอากาศธาตุ รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้าขณะวางหนังสือเรียนลงบนโต๊ะ และเริ่มต้นคาบเรียนวิชาสังคมศึกษา
“อรุณสวัสดิ์ทุกคน” เหมยกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสกว่าเมื่อวาน “วันนี้เราจะคุยกันเรื่อง ‘อำนาจ’… ใครนิยามคำนี้ได้บ้าง?”
ความเงียบคือคำตอบเดียวที่เธอได้รับ
มันคือความเงียบเชิงกลยุทธ์ที่เด็กห้องนี้ใช้เป็นอาวุธ พวกเขารู้ดีว่าครูส่วนใหญ่ทนความเงียบแบบนี้ได้ไม่นาน และจะเริ่มร้อนรน พูดคนเดียว หรือยอมแพ้ไปในที่สุด
แต่เหมยแตกต่าง เธอเติบโตมากับการเจรจาที่ความเงียบคือสัญญาณ คือการชั่งน้ำหนัก คือการรอจังหวะ เธอจึงยืนนิ่ง ปล่อยให้ความเงียบทำงาน กวาดสายตาสำรวจรอบห้องอย่างใจเย็น จนสายตาหยุดที่ พลอย
“ว่าไงพลอย” เหมยเอ่ยชื่อเจาะจง “ในฐานะคนที่เธอดูเหมือนจะมีอำนาจในการกำหนดเทรนด์แฟชั่นของห้องนี้ได้ คิดว่าอำนาจคืออะไรคะ?”
พลอยที่กำลังเช็กหน้าตัวเองจากกระจกตลับแป้ง ชะงักไปเล็กน้อย เธอเลิกคิ้วขึ้นอย่างท้าทายก่อนจะเก็บตลับแป้งลงกระเป๋าเสียงดัง ‘แกร็บ’
“อำนาจ?” พลอยแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “ก็คือสิ่งที่ทำให้คนอื่นทำตามที่เราต้องการไงคะ ง่ายๆ”
“ถูกต้องค่ะ” เหมยพยักหน้ารับ “แล้วถ้าคนคนนั้นไม่ได้อยากทำตามล่ะ เราจะทำยังไง?”
“ก็บังคับสิคะ” พลอยตอบทันทีเหมือนเป็นเรื่องปกติ “คนที่มีอำนาจมากกว่า ย่อมบังคับคนที่อ่อนแอกว่าได้อยู่แล้ว”
บทสนทนานี้เริ่มดึงความสนใจจากนักเรียนคนอื่นๆ นัท ที่นั่งไขว่ห้างอยู่หันกลับมาจากนอกหน้าต่าง กาย ยังคงนิ่ง แต่แววตาจับจ้องมาที่การโต้ตอบนี้ไม่วางตา
“น่าสนใจ” เหมยเดินออกจากหน้าโต๊ะช้าๆ “ครูเพิ่งจบใหม่ ประสบการณ์ยังน้อย พูดง่ายๆ คือครูอาจเป็นคนที่ ‘อ่อนแอ’ ที่สุดในห้อง แล้วพลอยจะแน่ใจได้อย่างไรว่าอำนาจของพลอยจะใช้กับครูได้?”
คำถามนั้นตรงและแรงเหมือนลูกธนูที่พุ่งเข้าเป้า พลอยหน้าตึงไปชั่วขณะ เธอไม่คิดว่าครูคนใหม่จะกล้ายอมรับความอ่อนแอของตัวเองออกมาโต้งๆ แบบนี้
“ครูจบใหม่แบบนี้จะสอนอะไรพวกเราได้เหรอคะ?” พลอยเปลี่ยนเรื่อง โจมตีกลับไปยังจุดที่เธอคิดว่าเป็นจุดอ่อนที่สุด “พวกเราปีสุดท้ายแล้วนะคะ กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ต้องการครูที่มีคุณภาพ ไม่ใช่คนที่เพิ่งจบใหม่”
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของห้อง
เหมยหยุดเดิน เธอยืนนิ่งอยู่กลางห้อง หันหน้าไปทางพลอยเต็มตัว “แล้ว ‘โลกใบใหม่’ ที่ครูพูดถึงเมื่อวานน่ะ มันกินได้ไหมคะ?” พลอยถามย้ำพร้อมรอยยิ้มเยาะ
คราวนี้ทั้งห้องเงียบกริบ รอฟังว่าครูคนใหม่จะถูกน็อกด้วยหมัดฮุกนี้หรือไม่
เหมยระบายยิ้มอ่อนโยนออกมา เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้คนมองรู้สึกหนาวเข้ากระดูก
“โลกใบใหม่กินไม่ได้หรอกค่ะพลอย” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่มนวล ทว่าทุกถ้อยคำกลับหนักแน่นราวค้อนปอนด์ “แต่มันจะทำให้เธอแยกแยะได้… ว่าอาหารมื้อไหนควรกิน มื้อไหนคือยาพิษ จะทำให้เธอรู้ว่าอำนาจที่ได้จากการบังคับนั้นเปรียบดังปราสาททราย รอวันถูกคลื่นซัดหายไป… แต่อำนาจที่ได้จากความนับถือ… มันจะคงอยู่ตลอดไป”
เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของพลอย “ครูอาจอ่อนแอในสายตาเธอ แต่ครูมีสิ่งที่พวกเธอหลายคนยังไม่มี… นั่นคืออิสระที่จะล้มเหลวและเรียนรู้ใหม่ได้เสมอ แต่พวกเธอที่กำลังก้าวสู่โลกของผู้ใหญ่… มีโอกาสให้ล้มเหลวได้อีกกี่ครั้งกัน?”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องเรียนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ความเงียบที่ท้าทาย แต่เป็นความเงียบที่เกิดจากการครุ่นคิด พลอยอ้าปากค้างเหมือนจะเถียง แต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา นัทขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ส่วนกาย… เขามองเหมยด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มันไม่ใช่แค่การประเมินอีกต่อไป แต่เป็นความสนใจใคร่รู้ที่แท้จริง
สงครามจิตวิทยายกแรกดูเหมือนจะจบลงด้วยชัยชนะของครูคนใหม่
แต่แน่นอนว่า… เด็กวัยรุ่นที่อัตตาสูงเสียดฟ้า ย่อมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
เสียงกริ่งหมดคาบดังขึ้นราวกับระฆังช่วยชีวิต พลอยรีบเก็บของแล้วเดินกระทืบเท้าออกจากห้องไปทันที โดยมีนัทเดินหน้าบึ้งตามไปติดๆ ตี๋เล็ก มองซ้ายมองขวาอย่างลังเล ก่อนจะรีบลุกตามเพื่อนสนิทไป
ณ มุมลับตาคนหลังโรงยิม นัทเตะถังขยะพลาสติกจนล้มกลิ้งด้วยความหงุดหงิด
“บ้าชะมัด! ยัยครูนั่นมันอะไรกัน!?” เขาโวยวาย “พูดจาอะไรก็ไม่รู้ ฟังแล้วประสาทจะกิน!”
“โคตรน่ารำคาญ” พลอยกอดอก เห็นด้วยเต็มที่ “ทำมาเป็นพูดจาปรัชญา ที่แท้ก็แค่ครูจบใหม่กลวงๆ คนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
“แล้วจะเอายังไงต่อวะ” ตี๋เล็กถามเสียงอ่อย “คาบต่อไปก็วิชาของเขาอีก”
นัทแสยะยิ้ม “ก็ไม่ต้องเข้าไง! โดดแม่มเลย! อยากรู้เหมือนกันว่ายัยครูคนใหม่จะทำยังไง จะวิ่งไปฟ้องอาจารย์มานะขี้บ่นนั่นรึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นก็จบ… เหมือนครูคนอื่นๆ ที่เคยผ่านมา”
“เอาดิ!” พลอยตาเป็นประกาย “วัดใจกันไปเลย ถ้ากล้าไปฟ้อง ก็เท่ากับว่าที่พูดมาทั้งหมดก็แค่ลมปาก”
“เอ่อ… แต่ถ้าโดนจับได้จะโดนหักคะแนนนะเว้ย” ตี๋เล็กท้วงอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“เรื่องของมึง!” นัทตวาด “ถ้าปอดแหกก็กลับไปนั่งเรียนคนเดียวไป!”
ตี๋เล็กหน้าจ๋อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าหงึกๆ การถูกเพื่อนทิ้งน่ากลัวกว่าการถูกครูทำโทษเสมอ
ปฏิบัติการโดดเรียนเพื่อทดสอบครูคนใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น
เมื่อเสียงกริ่งเริ่มคาบเรียนบ่ายดังขึ้น เหมยเดินเข้าห้อง 12D และพบว่าโต๊ะเรียนว่างไปสามที่ คือโต๊ะของนัท พลอย และตี๋เล็ก
นักเรียนที่เหลืออยู่ในห้องต่างลอบมองปฏิกิริยาของเธอ ภูที่นั่งวาดรูปอยู่ยังคงก้มหน้า แต่หูของเขาผึ่งรอฟังอย่างชัดเจน
เหมยมองไปยังโต๊ะที่ว่างเปล่าเหล่านั้น แววตาสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เธอไม่แสดงอาการร้อนรนหรือหงุดหงิดแม้แต่น้อย ยังคงเริ่มต้นบทเรียนตามปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ในหัวของเธอ… กำลังทำงานอย่างหนักหน่วง
‘ทางเลือกที่หนึ่ง: แจ้งอาจารย์มานะ’ ความคิดแรกผุดขึ้นมา นี่คือสิ่งที่ครูปกติควรทำ เป็นไปตามกฎระเบียบ และง่ายที่สุด แต่อาจารย์มานะก็จะจัดการด้วยการหักคะแนน ทำทัณฑ์บน ซึ่งจะยิ่งสร้างกำแพงระหว่างเธอกับนักเรียนกลุ่มนั้นให้สูงขึ้นไปอีก… ไม่ใช่ทางที่ดี
‘ทางเลือกที่สอง: ทำเป็นไม่สนใจ’ ปล่อยให้พวกเขาโดดเรียนไป แล้วค่อยจัดการในคาบหน้า วิธีนี้จะทำให้เธอดูอ่อนแอและไม่ใส่ใจในสายตาของนักเรียนที่เหลืออยู่ และจะทำให้การควบคุมชั้นเรียนในอนาคตยากขึ้นเป็นสิบเท่า… ยิ่งไม่ใช่ทางที่ดี
‘ทางเลือกที่สาม: จัดการด้วยตัวเอง’ เธอต้องหาพวกเขาให้เจอ และเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรง แต่จะหาเจอได้ยังไงในโรงเรียนที่กว้างขนาดนี้?
สัญชาตญาณที่ถูกฝึกฝนมาทั้งชีวิตเริ่มทำงาน เธอนึกถึงคำสอนของอากง ‘อยากจับเสือ ต้องอ่านรอยเท้าของมันให้เป็น’
เธอมองไปที่โต๊ะของพลอย นิตยสารแฟชั่นเล่มหนึ่งวางอยู่ หน้าปกเป็นนางแบบชุดหรูโพสท่าบนดาดฟ้าตึกสูง… ‘ไม่น่าใช่ เด็กสาวรักสวยรักงามเช่นนี้คงไม่ยอมตากแดดจนผิวเสีย’
เธอมองไปที่โต๊ะของนัท มันว่างเปล่า มีเพียงรอยขีดเขียน แต่สิ่งที่สะดุดตาคือขวดน้ำดื่มยี่ห้อที่นักกีฬานิยม… ‘เป็นไปได้สูงว่าจะอยู่ใกล้สนามกีฬา’
สุดท้ายคือโต๊ะของตี๋เล็ก มีเศษซองขนมปังตกอยู่ที่พื้น… ‘คนแบบนี้ไปไหนก็ได้ ขอแค่มีเพื่อนและของกิน’
เหมยปะติดปะต่อข้อมูลในหัว เด็กวัยรุ่นที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพื่อแสดงอำนาจ มักจะเลือกที่ลับตาคน แต่อยู่ในอาณาเขตที่พวกเขารู้สึกเป็นเจ้าของ สนามกีฬาเปิดโล่งเกินไป ห้องน้ำไม่เหมาะกับการนั่งแช่นาน ดาดฟ้าส่วนใหญ่ถูกล็อก
แล้วที่ไหนล่ะ?
ทันใดนั้น ภาพหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว… อัฒจันทร์เก่าหลังสนามฟุตบอล มันอยู่สุดเขตของโรงเรียน ไม่ค่อยมีใครใช้งาน แต่ก็เป็นจุดที่มองเห็นกิจกรรมต่างๆ ได้ทั่ว เป็นเหมือน ‘บัลลังก์’ ของราชาที่ถูกลืม… เหมาะกับเด็กที่ต้องการสร้างอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเองที่สุด
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เธอหันไปบอกนักเรียนในห้องด้วยรอยยิ้ม “ครูขอเวลาไปตามเพื่อนพวกเธอสักครู่ ทุกคนทบทวนบทเรียนหน้าสิบเจ็ดรอเงียบๆ นะคะ”
แล้วเธอก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้นักเรียนที่เหลือ
มองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความงุนงง
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงมายังอัฒจันทร์คอนกรีตเก่าที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวหลังสนามฟุตบอล นัทเอนหลังนอนพาดตักพลอยอย่างสบายอารมณ์ ส่วนตี๋เล็กนั่งแกะขนมห่อใหม่กินอยู่ข้างๆ
“เงียบดีว่ะ” นัทพูดขึ้น “ดีกว่านั่งฟังยัยครูนั่นบ่นเป็นไหนๆ”
“ก็เออสิ” พลอยเห็นด้วยพลางหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเซลฟี่ “เดี๋ยวคอยดูนะ ป่านนี้คงวิ่งหน้าตาตื่นไปฟ้องอาจารย์มานะแล้วล่ะ”
“แล้วเราจะโดนหนักมั้ยวะ” ตี๋เล็กถามด้วยความเป็นห่วง
“เออน่า! อย่าพูดมากได้มะ!” นัทตวาดอย่างรำคาญ
“อากาศข้างนอกดีกว่าในห้องเรียนเหรอ”
เสียงเรียบๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลังโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ทั้งสามคนสะดุ้งสุดตัว พวกเขารีบหันขวับไปมอง และเห็นร่างสูงโปร่งของครูเหมยยืนอยู่ที่ขั้นบันไดด้านล่างสุด เธอยืนกอดอก มองมาที่พวกเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“ครู… ครูมาได้ไง!?” พลอยร้องออกมาเป็นคนแรก ใบหน้าตกใจอย่างปิดไม่มิด
“ก็เดินมา” นาราภัทรตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดมาหาพวกเขาช้าๆ ทีละขั้น เสียงส้นรองเท้าดังกระทบพื้นคอนกรีตเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ก้องกังวานในความเงียบจนน่าขนลุก “ที่นี่วิวดีนะ มองเห็นทุกอย่าง แต่ก็ถูกคนอื่นมองเห็นได้ง่าย… ไม่ใช่ที่ซ่อนที่ดีเท่าไหร่”
“พวกเราไม่ได้ซ่อน!” นัทลุกขึ้นยืนประจันหน้าทันที “แล้วจะทำไม? จะไปฟ้องก็เชิญเลย!”
เหมยไม่ตอบ เธอเดินผ่านนัทไปหยุดยืนข้างๆ มองออกไปยังสนามหญ้าที่ว่างเปล่า แล้วหันมาสบตากับเด็กหนุ่มอย่างลึกซึ้ง
“การทำตัวให้เข้มแข็งตลอดเวลา… มันไม่เหนื่อยบ้างเหรอ”
คำพูดนั้นเหมือนค้อนที่ทุบลงบนกำแพงของนัทอย่างจัง เขาชะงักไป ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ… ยัยครูนี่รู้ได้ยังไง?
เหมยไม่รอคำตอบ เธอหันไปหาพลอยที่ยังนั่งอึ้งบนอัฒจันทร์ “การเป็นจุดสนใจด้วยการสร้างปัญหา… มันง่าย แต่น่าเบื่อ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แต่การเป็นจุดสนใจโดยไม่ต้องพยายาม… นั่นต่างหากคือสิ่งที่คนฉลาดทำ”
พลอยถึงกับพูดไม่ออก คำพูดของนาราภัทรแทงใจดำเธออย่างรุนแรง มันคือสิ่งที่เธอพยายามมาตลอดแต่ไม่เคยทำได้
เหมยหันกลับมา เตรียมจะเดินลงจากอัฒจันทร์ เธอหยุดที่ขั้นบันไดและหันมาพูดกับพวกเขาทั้งสามคนเป็นครั้งสุดท้าย
“ครูจะไม่ฟ้องใคร และจะไม่หักคะแนนพวกเธอด้วย”
คำประกาศนั้นทำให้ทั้งสามคนยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่
“คาบเรียนยังไม่จบ… ถ้าคิดว่าสิ่งที่ครูจะสอนมันน่าสนใจกว่าการนั่งตากแดดอยู่ตรงนี้… ก็ตามมา”
พูดจบ เธอก็หันหลังแล้วเดินจากไปอย่างสงบ ทิ้งให้เด็กวัยรุ่นทั้งสามคนยืนนิ่งแข็งทื่ออยู่บนอัฒจันทร์ที่เงียบสงัด พวกเขามองหน้ากันไปมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตกใจ สับสน ประหลาดใจ และ… หวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ครูคนนี้… ไม่เหมือนใครที่พวกเขาเคยเจอ
เธอไม่ได้ใช้อำนาจ ไม่ได้ใช้กฎระเบียบ แต่กลับใช้คำพูดไม่กี่ประโยคทลายกำแพงที่พวกเขาสร้างขึ้นมาอย่างง่ายดาย
คำถามดังก้องขึ้นในใจของพวกเขาทั้งสามคนพร้อมๆ กัน…
ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่? และพวกเขา… ควรจะทำอย่างไรต่อไป?