ตอนที่ 1: วันแรกในโลกที่ไม่คุ้นเคย
เสียงจอแจของเยาวราชในยามเช้าตรู่เป็นเหมือนเสียงดนตรีประกอบชีวิตที่นาราภัทรคุ้นเคยมาตลอด กลิ่นเครื่องเทศจางๆ จากร้านขายยาจีนเจ้าประจำลอยปะทะกับกลิ่นควันหอมกรุ่นของกาแฟโบราณและปาท่องโก๋ทอดใหม่ๆ มันคือความโกลาหลที่มีชีวิตชีวา เป็นโลกที่ทุกตรอกซอกซอยคือบ้าน และทุกคนที่เดินผ่านคือคนคุ้นเคย
แต่เช้านี้ บนเบาะหลังของรถยุโรปสีดำสนิทที่แล่นออกจากใจกลางย่านที่เธอเรียกว่าบ้าน เสียงเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไป กลายเป็นเพียงเสียงทุ้มต่ำของเครื่องยนต์และเสียงเพลงบรรเลงเบาๆ จากเครื่องเสียงราคาแพง
“คุณหนูแน่ใจนะครับ”
เสียงห้าวทุ้มของ ‘เฮียตี๋’ หรือตี๋ใหญ่ มือขวาคนสนิทของตระกูล ดังขึ้นจากเบาะคนขับ เขามองเธอผ่านกระจกมองหลัง แววตาที่ปกติดุดันจนลูกน้องขาสั่นกลับฉายแววกังวลอย่างปิดไม่มิด รอยสักรูปมังกรจีนที่ต้นแขนล่ำสันขยับไหวตามการหมุนพวงมาลัย
นาราภัทร หรือ ‘เหมย’ ในโลกใบเก่า ละสายตาจากทิวทัศน์ของตึกสูงระฟ้าที่เริ่มเข้ามาแทนที่อาคารพาณิชย์เก่าแก่ เธอดึงชายแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวนวลของตัวเองลงเล็กน้อยราวกับเป็นนิสัย ทั้งที่รู้ดีว่ามันปิดรอยสักรูปดอกเหมยเล็กๆ ที่ข้อมือได้มิดชิดอยู่แล้ว
“กี่ครั้งแล้วคะเฮียตี๋ที่ถามคำถามนี้” เธอตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ “เหมยโตแล้วนะคะ”
“ก็เพราะโตแล้วนี่แหละครับ” เฮียตี๋ถอนหายใจยาว พรืดเดียวเหมือนปล่อยลมยาง “ถ้ายังเป็นเด็กหญิงเหมยตัวเล็กๆ ที่วิ่งเล่นในตลาด ป่านนี้อากงคงไม่ยอมให้มาทำอะไรแบบนี้แน่... ครูเนี่ยนะครับคุณหนู... ครู!”
เหมยหัวเราะเบาๆ “มันแปลกตรงไหนคะ”
“แปลกสิครับ!” เฮียตี๋ขึ้นเสียง “คนอย่างเรา... เอ๊ย! คนอย่างคุณหนูเนี่ยนะ จะไปทนกับเด็กแสบๆ ในโรงเรียนได้ยังไง เกิดมีใครมันทำอะไรไม่เข้าท่าขึ้นมา...” เขาเว้นช่วงไปนิดหนึ่ง “เฮียกลัวจะคุณหนูเผลอตัวสั่งสอนมันด้วย ‘วิธี’ ของเราน่ะสิครับ”
ดวงตาคมกริบแต่ซ่อนแววอ่อนโยนของเหมยหรี่ลงเล็กน้อย “นั่นแหละค่ะคือความท้าทาย เหมยต้องเป็น ‘ครูนาราภัทร’ ไม่ใช่ ‘คุณหนูเหมย’” เธอเน้นชื่อทั้งสองชื่อราวกับจะย้ำเตือนตัวเองมากกว่าใคร
รถเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนบุคคลที่ทอดยาว ร่มรื่นด้วยทิวต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง ปลายสุดของถนนคืออาคารสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่โอ่อ่าสง่างาม ป้ายสีทองอร่ามสะท้อนแดดยามเช้าเด่นเป็นสง่า
‘ST. AUGUSTINE INTERNATIONAL SCHOOL’
โลกใบใหม่ของเธอ... อยู่ตรงหน้านี้แล้ว
เพียงแค่ก้าวเท้าลงจากรถ โลกทั้งใบของเหมยก็เปลี่ยนไปในพริบตา กลิ่นเครื่องเทศและควันธูปถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ๆ ผสมกับกลิ่นน้ำหอมราคาแพงจางๆ จากเหล่าผู้ปกครองที่มาส่งลูกหลาน เสียงจอแจภาษาจีนแต้จิ๋วที่คุ้นหูถูกแทนที่ด้วยเสียงทักทาย "Good morning" สำเนียงบริติชและอเมริกันที่ดังก้องไปทั่ว
พื้นกระเบื้องมันวาวเย็นเฉียบใต้รองเท้าคัทชูสีดำขัดเงาของเธอ ช่างแตกต่างจากพื้นปูนหยาบๆ หรือพื้นไม้เก่าแก่ในบ้านตระกูลอิทธิพลไพศาลลิบลับ เหมยสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศที่ ‘สะอาด’ เกินไปสำหรับเธอ หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงทรงสอบสีเทาเข้ม ผมยาวสีดำขลับที่เคยปล่อยสยายเวลาอยู่นอกบ้าน ถูกรวบเป็นหางม้าเรียบร้อย เผยให้เห็นต้นคอระหง ดูเป็นคุณครูคนใหม่ที่เพียบพร้อมทุกกระเบียดนิ้ว
แต่ในใจของเธอนั้น... กำลังเกิดพายุลูกย่อมๆ
เธอรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด เหมือนปลาที่ถูกจับมาปล่อยในตู้โชว์ราคาแพง ทุกสายตาที่มองมา ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนในชุดยูนิฟอร์มเนี้ยบกริบ หรือคุณครูชาวต่างชาติที่เดินสวนไป ต่างทำให้เธอต้องยืดหลังตรงและเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ เป็นสัญชาตญาณของการวางตัวที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อแสดงอำนาจ แต่เพื่อปิดบังความประหม่าของตัวเอง
“Miss Narapat Itthiponpaisan, right?”
เสียงทุ้มเป็นมิตรดังขึ้น เหมยหันไปพบชายสูงวัยในชุดสูทสีเทาอ่อน ดูภูมิฐานและมีรอยยิ้มอบอุ่นประดับบนใบหน้า เขาคือ ดร. ธานินทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติเซนต์ออกัสติน ชายผู้มองเห็นบางอย่างในตัวเธอระหว่างการสัมภาษณ์งาน และเลือกที่จะให้โอกาสเธอ ทั้งที่ประวัติการทำงานของเธอดูจะ ‘ว่างเปล่า’ เกินไปสำหรับตำแหน่งนี้
“Yes, Director. You can call me Mei,” เธอตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเผลอใช้ชื่อเล่นของตัวเอง “I mean, Narapat.”
ดร. ธานินทร์หัวเราะเบาๆ “Mei is fine. Welcome to St. Augustine’s. I hope you’re ready for your first day.”
“I am, sir. Thank you for the opportunity.”
“The opportunity comes with a great challenge,” ผอ. ธานินทร์กล่าวขณะเดินนำเธอไปยังห้องทำงานของเขา “As we discussed, Grade 12 Section D is... unique. They are good kids, deep down. But they need a teacher who can see through their walls. I have a feeling... you are that teacher.”
เหมยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ดวงตาของเธอมองตามกลุ่มนักเรียนที่เดินหัวเราะคิกคักกันอยู่ไกลๆ ‘กำแพง’ งั้นหรือ... นั่นเป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยดีที่สุดแล้ว
หลังจากพูดคุยเรื่องเป้าหมายและปรัชญาของโรงเรียนในห้องทำงานที่หรูหราแต่แฝงไปด้วยความกดดันอยู่ครู่หนึ่ง ดร. ธานินทร์ก็แนะนำให้เธอไปพบกับรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและปกครอง ซึ่งจะเป็นผู้ดูแลเธอโดยตรง
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการปะทะครั้งแรกในโลกใบใหม่ของเธอ
อาจารย์มานะเป็นชายวัยห้าสิบปลายๆ รูปร่างท้วม ศีรษะเริ่มล้านเล็กน้อย สวมแว่นตากรอบหนาเตอะที่ขยับขึ้นลงตามการขมวดคิ้วของเขาตลอดเวลา ห้องทำงานของเขาเต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารและตารางสอนที่แปะจนแทบไม่เหลือที่ว่าง ท่าทางของเขาดูเหมือนคนแบกโลกไว้ทั้งใบ และโลกใบนั้นกำลังจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ
“ครูนาราภัทร” เขาเอ่ยชื่อเธอด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ พลางกวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด “เพิ่งจบใหม่ ประสบการณ์ไม่มี แต่ท่าน ผอ. ก็อนุมัติมา... เอาเถอะ”
ประโยคแรกก็เหมือนหมัดแย็บเบาๆ ที่ส่งมาทักทาย
“ดิฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ ท่านรองฯ” เหมยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ สุภาพ แต่หนักแน่น
“พยายามน่ะมันต้องอยู่แล้ว!” อาจารย์มานะสวนกลับทันที “แต่ที่นี่คือเซนต์ออกัสติน ไม่ใช่โรงเรียนวัดท้ายตลาด ภาพลักษณ์คือสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะห้องที่คุณต้องไปประจำชั้น... Grade 12D... แค่ได้ยินชื่อผมก็ปวดขมับแล้ว” เขายกนิ้วขึ้นนวดขมับตัวเองประกอบคำพูด
“มีปัญหาอะไรร้ายแรงเหรอคะ”
“ร้ายแรงสิ! ไม่ใช่เรื่องตีรันฟันแทงหรอกนะ แต่เป็นเรื่อง... ระเบียบวินัย การไม่ให้ความร่วมมือ ความเฉยเมยต่อทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ ครูประจำชั้นคนเก่าลาออกไปเมื่อกลางเทอมที่แล้ว ทิ้งจดหมายไว้บนโต๊ะแค่ว่า ‘ดิฉันขอยอมแพ้’ คุณคิดดูแล้วกัน!”
เหมยนึกภาพตามแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจในใจ
“กฎเหล็กของที่นี่คือ ห้ามมีความรุนแรง ห้ามลงโทษนักเรียนด้วยวิธีที่กระทบกระเทือนจิตใจ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน ต้องมีเอกสารรายงาน ต้องแจ้งผู้ปกครอง... ซึ่งผู้ปกครองบางคนก็ยิ่งกว่าตัวนักเรียนเสียอีก” เขาร่ายยาวเหมือนท่องบท “คุณ... จะรับมือไหวแน่นะ”
แววตาของอาจารย์มานะเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถืออย่างชัดเจน
เหมยประสานมือไว้ตรงหน้า ก้มศีรษะลงเล็กน้อยในองศาที่สุภาพพอดี “หน้าที่ของครู คือการสอนและดูแลนักเรียนไม่ใช่หรือคะ ปัญหาของนักเรียน ก็คือหน้าที่ของครูที่ต้องเข้าไปจัดการแก้ไข ดิฉันเข้าใจถูกไหมคะ”
คำตอบที่ตรงไปตรงมาและดู ‘ซื่อ’ เกินไปของเธอทำให้อาจารย์มานะชะงักไปเล็กน้อย เขากระแอมหนึ่งทีแล้วยื่นแฟ้มหนาปึกให้เธอ
“นี่... ประวัตินักเรียนห้อง 12D ไปศึกษาดูซะ แล้วก็... ขอให้โชคดีนะครูนาราภัทร” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงนิดหน่อย แต่ยังแฝงแววสมเพชอยู่ลึกๆ “คุณต้องใช้มันเยอะเลยล่ะ”
เหมยรับแฟ้มเอกสารมาถือไว้ในอ้อมแขน มันหนักอึ้งราวกับความคาดหวังและความท้าทายทั้งหมดที่เธอต้องแบกรับนับจากวินาทีนี้
ทางเดินไปยังอาคารเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมปลายทอดยาวและเงียบสงบกว่าบริเวณด้านหน้า เสียงฝีเท้าของเธอสะท้อนกับผนังกระจกใสที่มองเห็นสนามหญ้าเขียวขจี เหมยมองภาพสะท้อนของตัวเอง... ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดทำงานเรียบร้อย ผมรวบตึง ใบหน้าเรียบเฉย... มันช่างดูไม่เหมือนตัวเธอเลยสักนิด
แล้ว ‘ครูนาราภัทร’ จะทำได้จริงๆ หรือ
เมื่อมาถึงหน้าห้องเรียนที่มีป้ายติดว่า ‘Grade 12 Section D’ เหมยหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้สีอ่อนบานใหญ่ เธอได้ยินเสียงพูดคุยลอดออกมาแว่วๆ แต่เมื่อเธอผลักประตูเข้าไป...
ทุกเสียงพลันเงียบลงในฉับพลัน
ราวกับมีใครกดปุ่มปิดเสียงของโลกทั้งใบ
ห้องเรียนที่อยู่ตรงหน้าเธอมีขนาดกว้างขวาง พร้อมด้วยโต๊ะเรียนเดี่ยวที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ กระดานอัจฉริยะจอยักษ์ติดผนัง และอุปกรณ์การเรียนที่ดูทันสมัย แต่บรรยากาศภายในห้องกลับเย็นยะเยือกและว่างเปล่าราวกับสุสาน
นักเรียนราวสิบกว่าชีวิตที่นั่งกระจัดกระจายกันอยู่ตามมุมต่างๆ ของห้อง หยุดทุกกิจกรรมที่ทำอยู่แล้วหันมามองเธอเป็นตาเดียว แต่ไม่ใช่การมองด้วยความสนใจใคร่รู้ แต่เป็นการมองที่... ว่างเปล่า เฉยเมย และบางคนก็แฝงแววท้าทายเอาไว้ลึกๆ
สายตาของเหมยที่ถูกฝึกให้ ‘อ่านคน’ มาทั้งชีวิต กวาดสำรวจไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว
มุมห้องด้านหลังสุดติดหน้าต่าง ‘กาย’ เด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แขนข้างหนึ่งพาดไปกับเก้าอี้ตัวข้างๆ ที่ว่างเปล่า ดวงตาของเขาสงบนิ่ง แต่ก็คมกริบราวกับกำลังประเมินเธออยู่เงียบๆ เขาคือ ‘ผู้นำ’ ที่ทุกคนในห้องดูจะเกรงใจ
ถัดมาไม่ไกลคือ ‘นัท’ เด็กหนุ่มร่างกำยำที่กำลังหมุนปากกาในมือเล่นด้วยความเร็วสูง เขาสบตาเธอก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจ กล้ามเนื้อแขนของเขาเกร็งแน่นราวกับสปริงที่พร้อมจะดีดตัวได้ทุกเมื่อ
ริมหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่ง ‘พลอย’ สาวสวยผมยาวที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่น กำลังส่องกระจกและเติมลิปสติกอย่างใจเย็น ราวกับว่าการปรากฏตัวของครูคนใหม่ไม่ใช่อะไรที่ควรค่าแก่การให้ความสนใจ ปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีสดนั้นดูเหมือนพร้อมจะปล่อยวาจาเชือดเฉือนได้ตลอดเวลา
ส่วน ‘ภู’ หนุ่มแว่นท่าทางเงียบขรึม นั่งก้มหน้าก้มตาวาดรูปอะไรบางอย่างในสมุดสเก็ตช์ของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ โลกของเขาดูเหมือนจะอยู่แค่บนแผ่นกระดาษตรงหน้าเท่านั้น
และที่โต๊ะแถวหน้าสุด ซึ่งน่าประหลาดใจที่มีคนนั่งอยู่ คือ ‘ตี๋เล็ก’ เด็กหนุ่มร่างท้วมที่ดูซื่อๆ กำลังเคี้ยวขนมปังอย่างเอร็ดอร่อย เขาเป็นคนเดียวที่ดูเหมือนจะส่งยิ้มแห้งๆ มาให้เธอ แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่เจือความประหม่าและไม่แน่ใจ
ความเงียบที่โรยตัวอยู่หนักอึ้งจนน่าอึดอัด
เหมยเดินไปหยุดอยู่หน้าชั้นเรียน วางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะเสียงดัง “ปึ้ก!”
เสียงนั้นทำให้ทุกคนสะดุ้งเล็กน้อย เป็นการทำลายความเงียบที่จงใจและได้ผลชะงัด
“สวัสดี” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังพอให้ได้ยินทั่วห้อง ไม่ดังหรือเบาเกินไป “ครูชื่อนาราภัทร อิทธิพลไพศาล จะมาเป็นครูประจำชั้นคนใหม่ของพวกเธอ”
ไม่มีเสียงตอบรับ
ไม่มีแม้แต่เสียงกระแอม
มีเพียงสายตาว่างเปล่าที่มองมายังเธอ ราวกับเธอกำลังพูดอยู่กับกำแพง
เหมยระบายยิ้มบางๆ ที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีใครในห้องนี้อ่านความหมายของมันออก มันไม่ใช่รอยยิ้มที่เป็นมิตรแบบครูทั่วไป และก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่เย็นชา
มันเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับที่อากงเหลียงใช้... เวลาที่ท่านกำลังจะเริ่ม ‘เจรจา’ กับใครสักคน
“ครูรู้ว่าที่ผ่านมาพวกเธออาจจะเจออะไรมาบ้าง” เธอพูดต่อ ช้าๆ ชัดๆ สบตานักเรียนทีละคน “และครูก็ไม่สนใจด้วยว่าครูคนเก่าจะพูดยังไง หรือคนอื่นจะมองห้องนี้แบบไหน”
เธอหยุดเล็กน้อย ปล่อยให้คำพูดของเธอซึมซาบเข้าไปในความเงียบ
“นับจากวันนี้ไป เราจะมาสร้างกฎของเรากันใหม่... สร้างโลกใบใหม่ของห้อง 12D ด้วยกัน”
ดวงตาของกายที่นั่งอยู่หลังห้องหรี่ลงเล็กน้อย นัทหยุดควงปากกา พลอยวางกระจกลง ส่วนภูเงยหน้าขึ้นจากสมุดสเก็ตช์เป็นครั้งแรก
คำพูดของเธออาจจะยังไม่สามารถทลายกำแพงของพวกเขาลงได้ในทันที แต่มันได้สร้าง ‘รอยร้าว’ เล็กๆ ขึ้นบนกำแพงนั้นแล้ว
หญิงสาวผู้มาจากโลกแห่งอำนาจและจรรยาบรรณของเจ้าพ่อ ยืนหยัดอยู่หน้าห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กวัยรุ่นผู้หลงทางและสร้างกำแพงปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก
การต่อสู้ที่แท้จริง... เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
ในใจของเหมยมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างหนักแน่น ท้าทายความประหม่าทั้งหมดที่เคยมี
เอาล่ะ... โลกใบใหม่ของฉัน... และของพวกเขา... เริ่มขึ้นแล้วจริงๆ สินะ