บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 ‘R’

กึด! กึด! กึด!

ฉันนั่งกัดเล็บ ก้มหน้างุด ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสองคนที่ยืนจ้องหน้าฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่แปลกเลยที่ผักบุ้งกับมิ่งขวัญจะสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ คุณรามิลคนนั้นถึงเจาะจงฉันโดยเฉพาะ เพราะแม้แต่ฉันเองก็สงสัย เราทั้งหมด…ไม่รู้อะไรเลยเหมือนกันทั้งนั้น

“พวกแกเลิกจ้องฉันแบบนั้นสักทีได้ไหม? ฉันเองก็ไม่รู้อะไรเหมือนพวกแกนั่นแหละ!” แล้วฉันก็ทนกับสายตาของเพื่อนไม่ไหว ต้องหาวิธีเอาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้

“แกไม่แปลกใจหรือไงว่าทำไมคุณรามิลถึงเลือกแก?” มิ่งขวัญถามคำถามนี้มาแล้วสามครั้ง

“คือฉันไม่ได้จะว่าแกโง่หรือทำงานไม่เป็นหรอกนะ แต่…ในบรรดาพวกเราทุกคน แกโดดเด่นน้อยที่สุดแล้ว ถ้าเขาเลือกเพราะความสามารถรับรองว่าต้องไม่ใช่แกแน่” ผักบุ้งวิเคราะห์

“หรือเขาเลือกจากความสวย?” แล้วอุ๋งอิ๋งก็พูดติดตลกขึ้นมา

“ถ้าความสวยก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย! ถ้าคุณรามิลจะเลือก AE จากความสวยล่ะก็ เขาต้องเลือกฉันแน่!” ฉันไม่เถียงหรอกว่าผักบุ้งสวยกว่าฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้ขี้เหร่สักหน่อย!

“ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถหรือความสวย…งั้นแล้วเขาเลือกจากอะไร?” พวกเราทุกคนนิ่งไป จมดิ่งลงในความคิดเมื่ออุ๋งอิ๋งถามขึ้นมาแบบนั้น

“กลิ่นล่ะมั๊ง” แล้วในตอนนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา

“กลิ่นเหรอ?” เราทุกคนหันไปถามต้นเสียง แล้วก็ได้เห็นโรนินเดินเข้ามาในห้องชงกาแฟที่พวกเราอยู่

“คุณรามิลอะไรนั่นคงได้กลิ่นความใสซื่อไร้พิษภัยของจันทร์เจ้า”

“กลิ่นความใสซื่อไร้พิษภัยเหรอ?” ผักบุ้งนิ่วหน้ามองโรนิน

“กลิ่นที่เธอ…มิ่งขวัญแล้วก็อุ๋งอิ๋งไม่มีไง เลิกสงสัยในสิ่งที่ไม่มีวันได้คำตอบสักที มีงานเยอะแยะรอพวกเธออยู่” จบคำนั้นโรนินก็เดินออกไป

“กลิ่นบ้าอะไรวะ?! กลิ่นความใสซื่อมันเป็นยังไง?!” แล้วมิ่งขวัญก็เข้ามาทำจมูกฟุดฟิดใส่ฉัน “ฉันดมตัวแกแล้วได้แต่กลิ่นแชมพูกับน้ำยาปรับผ้านุ่ม ไม่เห็นจะมีกลิ่นความใสซื่อที่ว่านั่นเลย!”

“ก็เพราะมันไม่มีกลิ่นนั้นไงล่ะ! พวกแกดูไม่ออกเหรอว่าโรนินก็แค่พูดไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้เราอู้งานแล้วมาสนใจแต่เรื่องของจันทร์เจ้า” อุ๋งอิ๋งส่ายหน้าแล้วก็เดินออกไป ฉันเลยอาศัยจังหวะนั้นเดินตามออกมาอย่างรวดเร็ว อดจะยกแขนตัวเองขึ้นมาสูดดมหากลิ่นความใสซื่อไม่ได้

“พี่คุณสั่งให้พี่เอางานที่ทุกชิ้นที่เธอทำอยู่คืนมา เพราะหลังจากนี้หน้าที่ของเธอมีแค่ดีลกับ SmatchY เท่านั้น” พอฉันเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน พี่เบลล์ก็เรียกฉันมาคุย สีหน้าของนางดูเครียด ไม่พอใจและเหมือนกำลังเกลียดโลก

“ค่ะ” ฉันตอบรับสั้นๆ

“พี่ต้องเหนื่อย งานที่มีอยู่ก็เยอะจนทำจะไม่ไหวอยู่แล้ว ยังต้องมาทำงานต่อจากเธออีก ทั้งหมดนี้…ก็เพราะคุณรามิลเขาเลือกเธอ บอกตามตรงว่าพี่โคตรไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเป็นเธอ ทั้งๆ ที่เธอน่ะ…” พี่เบลล์นิ่งเงียบไป แต่ฉันรู้ดีว่านางต้องการจะสื่ออะไร

“โง่” ฉันเอง…ฉันเป็นคนพูดคำนั้นออกไปเองล่ะ “หนูโง่ พี่เบลล์คงจะคิดแบบนั้น ไม่ใช่แค่พี่เบลล์หรอกนะคะที่คิด เราทุกคนที่นี่คิดเหมือนกันหมดว่าหนูโง่ แม้แต่ตัวหนูเอง เพราะงั้น…อย่าโกรธ อย่าเกลียดหนูเลยนะคะ ถ้าเลือกได้หนูก็ไม่ได้อยากรับงานของ SmatchY หรอก”

“เหอะ! พี่ว่าเธอไม่ได้โง่แล้วล่ะจันทร์เจ้า ยอมรับว่าก่อนหน้านี้พี่คิดว่าเธอโง่ จนถึงสิบวินาทีก่อนพี่ถึงจะเข้าใจว่าเธอไม่โง่เลยสักนิด เธอฉลาดมากเลยต่างหากล่ะ เพราะเธอน่ะ…อยู่เป็นที่สุดแล้ว” พี่เบลล์แสยะยิ้ม

“คะ?”

“เธอชอบทำตัวเหมือนไม่รู้เรื่องราว ชอบทำเหมือนว่าตัวเองโง่ แต่ที่จริง…เธอรู้ทุกอย่าง ที่ทำอยู่ก็แค่พยายามจะเป็นจุดอ่อน เป็นคนโง่ที่ขยัน อดทนและพยายาม เพื่อที่จะทำให้คนอื่นเห็นใจและสงสารเธอ”

“…” ฉันพูดไม่ออกเลย ข้อแรกเลยนะฉันไม่ได้พยายามทำให้ตัวเองดูโง่ ในบางมุม ฉันก็แค่ไม่อยากอวดฉลาด ในบางมุมฉันก็ไม่รู้จริงๆ และในบางมุม…ฉันแค่ไม่อยากเป็นศัตรูกับใคร การที่เราอยากจะเป็นมิตร อยากจะปกป้องตัวเองมันผิดมากหรือไง แล้วการขยัน อดทนและพยายาม เพราะเรารู้ตัวว่ายังเก่งสู้คนอื่นไม่ได้ มันเป็นการกระทำเพื่อให้คนอื่นสงสารงั้นเหรอ? ฉันไม่เคยอยากเรียกร้องความสงสารจากใครเลยนะ!

“แต่ช่างเถอะ พี่รู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่เข้าหัวเธอหรอก เพราะเธอมันคิดไม่ได้ ส่งงานทุกอย่างที่เธอทำอยู่เข้าอีเมลพี่มาแล้วกัน”

ฉันไม่ไหวแล้วนะ!

จะด่าจะว่าฉันยังไง ฉันไม่สนหรอก แต่การมาว่าว่าฉันคิดไม่ได้นี่มันน่าจะเกินไปหน่อยแล้ว!

“พี่เบลล์…” ฉันกำสองหมัดแน่น จ้องหน้ายัยนิสัยแย่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา “จำงานแชมพูครั้งก่อนได้ไหมคะ?”

“ทำไม?”

“ครั้งนั้นพี่เบลล์ดีลงานกับลูกค้าพลาด เลยทำให้ทีมโปรดักชันถ่ายทำผิดทั้งหมด แต่พี่เบลล์โทษว่าเป็นความผิดของหนู พี่เบลล์บอกพี่คุณว่าหนูเป็นคนทำ จำได้ไหมคะ?”

“แล้ว?”

“ออฟฟิศต้องชดใช้ค่าเสียหาย แล้วทุกคนก็มองว่าเป็นเพราะหนู แต่ทีมโปรดักชันรู้ดีว่าที่จริงมันคือความผิดของพี่เบลล์ คิดบ้างไหมคะว่าหนูก็อาจจะอยากแก้ไขชื่อเสียงเสียๆ ให้ตัวเองบ้าง ถ้าหนูพาทีมโปรดักชันเข้าไปคุยกับพี่คุณ…บางทีทุกคนในออฟฟิศอาจจะได้รู้ว่าคนที่พลาดก็คือพี่!”

“นี่เธอขู่ฉันอยู่หรือไงจันทร์เจ้า?!”

“ที่ผ่านมา หนูไม่เคยคิดอยากจะสร้างศัตรู หนูไม่เคยอยากจะเอาคืนพี่เบลล์ แต่หนูว่าพี่น่ะ…คิดไม่ได้มากกว่าหนูเสียอีก เหมือนว่าพี่ไม่เคยสำนึกอะไรเลย ทั้งๆ ที่หนูน่ะมีบุญคุณกับพี่มากนะคะ ทุกความผิดที่พี่ทำ…หนูรับไว้ให้ตลอด”

“จันทร์เจ้า!!!” เสียงดังของพี่เบลล์ที่แผดขึ้นมา ทำให้ทุกคนในแผนกเพ่งมองมาที่เราเป็นตาเดียว

“แล้วหนูผิดหรือไงที่ถูกเลือก? ขอบคุณนะคะที่ตลอดหกเดือนที่ผ่านมา พี่เบลล์สอนงานให้หนู แต่หนูคิดว่าถ้าหนูทำงานกับ SmatchY ได้สำเร็จ หนูคงได้ตอบแทนพี่เบลล์ด้วยโบนัสของปีนี้แน่” จบคำนั้นฉันก็เดินออกไปจากโต๊ะทำงานของพี่เบลล์อย่างรวดเร็ว ยังคงได้ยินเสียงพี่เบลล์ดังตามหลังมาด้วย

“นังเด็กบ้า! กล้าดียังไงมาขู่ฉัน?!”

วันนี้มันบ้าชัดๆ จากที่คิดมาตลอดว่าไม่อยากสร้างศัตรู จากที่คิดว่าไม่อยากเป็นจุดเด่นให้คนอื่นหมั่นไส้ กลับกลายเป็นว่า…ตอนนี้ฉันกำลังทำทุกอย่างที่ขัดกับความตั้งใจของตัวเองไปแล้ว จากนี้ไปพี่เบลล์คงมองว่าฉันเป็นศัตรูแน่ๆ

“เห้อ!” เท่าที่นับได้ วันนี้ฉันถอนหายใจออกมาไม่ต่ำกว่าสิบรอบแล้วล่ะ

“นี่! ยัยเอ๋อ!”

“อุ๋งอิ๋ง?” หันไปตามเสียง ฉันก็เห็นอุ๋งอิ๋งเดินเข้ามาในห้องน้ำ

“แกจัดการพี่เบลล์ซะอยู่หมัดเลยนะ ยัยป้านั่นอ้าปากค้างเลยตอนที่แกพูดอะไรสักอย่างไม่หยุดแล้วเดินออกมาน่ะ”

“แกได้ยินด้วยเหรอ?”

“เปล่าหรอก ไม่ได้ยิน แต่เห็นแค่ภาพก็พอจะเดาออกแล้วล่ะว่าแกกำลังลุกขึ้นสู้ สู้เป็นครั้งแรกในรอบหกเดือน” อุ๋งอิ๋งยกยิ้มราวกับว่ากำลังภาคภูมิใจในตัวฉัน

“ต่อไป…ฉันคงโดนพี่เบลล์เล่นงานแน่ๆ”

“นางจะกล้าเหรอ? รู้ไหมว่าตอนนี้น่ะ…แกเป็นคนสำคัญของออฟฟิศไปแล้วนะ”

“หมายความว่าไง”

“ก็…ออฟฟิศเราแย่มาสามเดือนแล้ว ถ้าแกยังไม่รู้น่ะนะ แต่ต้องมาแย่หนักกว่าเดิมเพราะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้งานแชมพูนั่นแหละ คราวนี้การที่อยู่ๆ SmatchY เข้ามาใช้งานเรา โดยเจาะจงแก ก็เท่ากับว่า…แกคือตัวแปรที่สำคัญของอนาคต The Box แล้วไงล่ะ”

“…” พออุ๋งอิ๋งพูดมาแบบนั้น ฉันก็ยิ่งรู้สึกกดดันจนเสียวสันหลังมากกว่าเดิมเสียอีก

“ถ้าแกดีลงานกับ SmatchY ให้เขาประทับใจเรา ทำให้เขาอยากจะใช้งานเราต่อ รับรอง…ว่าแกต้องได้ขึ้นเป็นหัวหน้าทีมคนต่อไปแน่ แล้วคราวนี้…แกจะได้เป็นเหมือนเพชรยอดมงกุฎในแผนกเรา ทุกคนจะต้องเกรงใจแก รวมถึงอีพี่เบลล์ด้วย แกว่า…แบบนี้มันน่าสนใจไหมล่ะ?” แววตาของอุ๋งอิ๋งดูเป็นประกายมาก ผิดกับฉันในตอนนี้อย่างเห็นได้ชัด

“อุ๋งอิ๋ง…ที่จริงฉันมีเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าให้แกฟังน่ะ”

“เรื่องอะไร?”

“คือตั้งแต่วันที่ผักบุ้งสมัคร SmatchY ให้ฉัน ฉันก็ได้คุยกับผู้ชายคนหนึ่ง แล้วเขาก็บอกฉันว่า…เขาคือคุณรามิล เจ้าของแอปน่ะ”

“ว้อท?!” อุ๋งอิ๋งทำหน้าแปลกใจ “เล่ามาทั้งหมดสิ เล่ามาอย่างละเอียดเลยนะจันทร์เจ้า”

แล้วฉันก็เล่าทุกอย่างให้อุ๋งอิ๋งฟัง แน่นอนว่าเล่าอย่างละเอียด โดยที่ไม่ข้ามเรื่องไหนไปทั้งนั้น อุ๋งอิ๋งดูจะตั้งใจฟังฉันมาก แถมยังขอดูรูปของ ‘R’ ด้วย แต่พอฉันเปิดให้ดู เราต่างก็รู้ว่ามันไม่ช่วยอะไร เพราะภาพทั้งมืดและหันหลังจนมองไม่เห็นหน้า ในตอนนั้นอุ๋งอิ๋งก็เลยเปิดรูปของคุณรามิลขึ้นมา เป็นรูปที่นางแอบถ่ายเขาไว้ เพื่อไปลงขายในเว็บเถื่อน และใช่…พนักงานที่มิ่งขวัญพูดถึง ก็คืออุ๋งอิ๋งนี้เอง คนที่แอบถ่ายรูปเจ้านายตัวเองแล้วเอามาลงเว็บ

“นี่มัน...” และพอฉันได้เห็นรูปคุณรามิลจากมือถือของอุ๋งอิ๋ง ฉันก็ต้องตกใจ “ผู้ชายที่ฉันเจอที่หน้าร้านป้าน้อยนี่!”

“นี่คุณรามิลไง แกอยากเห็นหน้าเขา ฉันก็เปิดให้ดูแล้ว”

“อุ๋งอิ๋ง...คุณรามิลคนนี้ ฉันเพิ่งเจอเขาเมื่อวันศุกร์...หรือว่าคนที่ฉันคุยด้วยในแอปจะเป็นเขาจริงๆ?”

“คำถามคือ...เขาเข้าหาแกทำไม? เขาจะจีบแกหรือไง?”

“จะ...จีบเหรอ?!”

“ก็เขากด Crazy แก ไปหาแกถึงปากซอยบ้าน แถมยังมาเป็นลูกค้าเราแล้วเจาะจงว่าต้องเป็นแก แบบนี้...ไม่เรียกจีบแล้วจะเรียกอะไรวะ?” ใจฉันเต้นรัวขึ้นมา เมื่อทุกอย่างที่อุ๋งอิ๋งพูด ดูน่าจะเป็นไปได้มากทีเดียว

ครืด ครืด ครืด

แล้วเสียงระบบสั่นจากมือถือของฉันก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเรา ฉันรับสายนั้นด้วยความสงสัยเพราะว่ามันเป็นเบอร์แปลก

“จันทร์เจ้าพูดสายค่ะ”

[สวัสดีค่ะคุณจันทร์เจ้า ฉันโซเฟีย…เลขาของคุณรามิลนะคะ]

“ค่ะ…คะ?”

[เย็นนี้คุณสะดวกไหมคะ? พอดีว่าคุณรามิลต้องการพบคุณน่ะค่ะ]

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel