ตอนที่4 นางแก่ใจร้าย
ทว่าในช่วงเวลานั้นเองแม่หนูน้อยเจี้ยนชิงใช้กำปั้นน้อย ๆ ฟาดเข้ายังกล่องดวงใจของบิดาอย่างสุดแรงเกิด
เป็นผลให้ชายหนุ่มส่งเสียงอุทานเสียงหลง “โอ๊ย!!!!” เขาร้องอย่างเจ็บปวด ทรุดกายลงนั่งกุมเป้าตนเอาไว้ ใบหน้าเขียวคล้ำ ดูน่าสงสารจับใจ
เสียนจีรีบเข้าไปประคองสามีพลางตำหนิเด็กหญิงร่างเล็กเสียงดัง “เด็กบ้า ใครสั่งใครสอนเจ้าทำเยี่ยงนี้”
แม่หนูน้อยยิ้มเยาะ ลากพี่ชายกับมารดาให้หนีออกจากจวนของคนชั่ว หากชักช้าเพียงน้อยนิด โอกาสที่จะหนีรอดก็คงไม่เกิดขึ้น นางไม่รู้ว่าบิดามีนิสัยใจคอเยี่ยงไร
ยามนี้นางอยากพบท่านลุงเหวินเหลือเกิน นางภาวนาขอให้มีคนใจดีมาช่วยนางบ้าง ท่านแม่ของนางน่าสงสารเพียงใด
ตลอดเวลาหลายปีมานี้เห็นท่านแม่ทำงานเหนื่อยแทบขาดใจ เวลาพักผ่อนก็น้อยนิด ไหนจะดูแลลูก ๆ ไหนจะตรวจบัญชีการค้าอีก ไหนยังจะมีคนหน้าด้านอาศัยอำนาจข่มเหงบีบบังคับเอาเงินตลอด
สามแม่ลูกรีบเดินอย่างรวดเร็วออกมา พ่อบ้านหวงไม่รอช้าทำท่าทำทางคล้ายขัดขวาง แต่กลับช่วยให้คุณหนูพานายหญิงให้หนีออกไป ทุกคนในห้องนี้ไม่ได้รีบร้อนออกไปตามจับกุมสามแม่ลูก
แต่กลับกรูเข้ามาดูคนที่ถูกตีเข้าหว่างขาอย่างจัง เสียนจีอดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า “เด็กคนนั้นช่างไร้มารยาทนัก ท่านพี่ปล่อยนางไปเถิดเจ้าค่ะ ดู ๆ แล้วพี่หญิงก็หาได้มีใจให้ท่านเหมือนเคย อีกอย่างเด็กสองคนนั้นอาจไม่ใช่ลูกของท่านพี่ก็เป็นไปได้นะเจ้าคะ”
นางรีบเติมเชื้อไฟให้โหมกระหน่ำ นางพยักหน้าส่งสายตาให้ลูกชายรีบช่วยพูด “นั่นสิขอรับ”
เจี้ยนหยางหมิงมิได้พูดปากเปล่า ชำเลืองมองไปยังฝาแฝดคู่นั้นอย่างไม่พึงพอใจ ว่าแล้วก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตามไปติด ๆ เห็นได้จังหวะคนพวกนั้นไม่ระแวดระวังตน เขาก้มหยิบก้อนหินขึ้นมาเป็นกำ แล้วปาแล้วรวดเร็วไปยังกลุ่มคนดังกล่าว
ก้อนหินหลายก้อนลอยละลิ่วด้วยความแรงถูกแผ่นหลังของแม่หนูน้อยจนล้มลง ผู้เป็นชายสะดุดล้มไปอีกคน ส่วนหลี่หรูหรานรีบประคองลูกน้อยทั้งสอง เอ่ยถามเสียงสั่น “เจ็บตรงไหน ให้แม่ดูหน่อย” นางพูดพลางเหลือบมองไปยังเด็กชายอีกคน เห็นยืนยิ้มกว้าง หัวเราะคล้ายกำลังสาแก่ใจที่รังแกคนไม่มีทางสู้ได้
หากไม่ติดว่าเป็นเด็กไม่รู้ความป่านนี้นางคงกระชากมาเอ่ยถามเอาเรื่อง หรือไม่ก็ลงโทษให้นั่งคุกเข่าสำนึกผิด แต่นี่กระไรคล้ายเด็กคนนี้จ้องเอาเรื่องจึงวิ่งรนหาที่เยี่ยงนี้ “อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ”
หากเจ้าเด็กคนนี้ถูกลูกสาวนางเอาคืนก็คงห้ามไม่ได้ ถือว่ากรรมตามสนองแล้วกัน
แม่หนูน้อยเจี้ยนชิงเจ็บเข่า ใช้มือลูบเบา ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบ พอถลกกระโปรงขึ้นก็พบว่ามีรอยแดงจาง ๆ
นางกำก้อนหินเอาไว้ เหลือบมองคนก่อเรื่องอย่างเคียดแค้น “ถือดีเยี่ยงไรมารังแกข้า ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน” ว่าแล้วดรุณีน้อยใช้ก้อนหินในมือทีละก้อน ปาไปอย่างแม่นยำ
ก้อนหินเหล่านั้นลอยไปยังจุดต่าง ๆ ตามร่างกายราวกับจับวาง คนต้นเรื่องร้องไห้โวยวาย รีบวิ่งหนีหายเข้าไปข้างใน ไม่ถึงอึดใจหนึ่ง บ่าวรับใช้หลายคนวิ่งออกมา พากันมาล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้
คนที่เดินตามมาคือเจี้ยนคัง ผู้เป็นนายน้องของจวน เขายกนิ้วขึ้นชี้ไปยังสามแม่ลูก “จับพวกนางเอาไว้” คำสั่งเหี้ยมนี้ มิได้มีความปราณี
แต่อย่างใด ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะอันแรงกล้า ไม่คิดว่าฮูหยินที่ตกแต่งเข้ามา บังอาจหาญกล้าเอ่ยวาจาท้าทายเขาเช่นนี้
“ปล่อยนะ ท่านมันคนเลว รู้หรือไม่ แม่ของท่านทำสิ่งใดลงไปบ้าง แล้วนั่นเจ้าน้องชายตัวดี สร้างเรื่องอะไรเอาไว้ หากไม่มีข้าสักคน ร้านรวงของตระกูลเจี้ยนคงถูกริบรอนไปจนหมดสิ้น หากเจ้าไม่เชื่อก็ถามผู้ดูแลก็ได้”
“ลูกแม่อย่าไปฟังนาง นางทำตัวไร้ยางอายใส่ความแม่กับน้องชายเจ้า” แม่สามีส่งเสียงเศร้า แววตาของนางดูหดหู่ จนลูกชายต้องปลอบประโลมมารดา
“ท่านแม่ ไม่เป็นไร ข้ากลับมาแล้ว” ที่ผ่านมาท่านแม่กับน้องชายเขาต้องอดสูมากเพียงใด วันนี้นางยังกล้ากำแหง ขึ้นเสียงใส่ มิหนำซ้ำยังไม่เคารพยำเกรงมารดาของเขา เห็นทีว่าการคุมขังตัวนางเอาไว้ในห้องเก็บฟืนคงดีไป
“นำพวกนางไปล่ามโซ่เอาไว้” คำสั่งเหี้ยมดังออกมาอีกครั้ง
เจี้ยงชิงตะลึงงัน ดวงตาคู่งามของนางรื้นแดง พี่ชายขบกรามขึ้นเป็นสัน ไม่ยินยอมให้บิดาได้กระทำการช่วยช้า “พวกเจ้าถอยออกไปนะ บ้านเมืองมีกฎหมาย หากคิดจับกุมพวกข้า มีข้อหาอันใดกัน
ถึงท่านจะเป็นบิดาข้า แต่เรื่องนี้น่ะคิดใช้ศาลเตี้ยตัดสิน ท่านแม่ของข้าถูกใส่ความ มีใครให้การเป็นพยานนางหรือไม่ คนพวกนี้เป็นคนของท่านก็ต้องเข้าข้างท่านเป็นเรื่องธรรมดา
หากอยากทราบข้อเท็จจริงทั้งหลาย มิลองไปสืบที่หอนางโลมที่ท่านอาชอบไป แม่นางมู่ของท่านอาสวยหยาดเยิ้มเพียงใด ส่วนท่านย่ามิลองไปถามไถ่โรงรับจำนำบ้างเล่า ที่ดิน เครื่องประดับ นางนำไปจำนำจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว
เป็นแม่ของข้าที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำหาเงินไปใช้หนี้ ไถ่ถอนที่ดินร้านค้าออกมา ข้าขอถามท่านสักคำ เวลาที่ท่านแม่ของข้าต้องการท่าน...ท่านไปอยู่ที่ไหน
อีกอย่างท่านมีลูกชายมาด้วย อายุใกล้เคียงกับพวกข้า มิใช่ก่อนออกจากเมือง ท่านกับนางแอบลักลอบเป็นชู้กันหรือไม่”
“หยุดนะ” เสียนจีอับอายจนหน้าแดง “ท่านพี่ ดูเด็กคนนี้สิเจ้าคะ ปากคอร้ายไม่เบา ท่านพี่ต้องจัดการให้ข้านะเจ้าคะ” เด็กคนนี้ปากดีเกินไปหน่อย อีกเดี๋ยวนางจะให้ลิ้มรสความเจ็บปวดว่ามันเป็นเช่นไร บังอาจหาญกล้าตำหนินางต่อหน้าผู้คน
“เอ๊า..เร็วเข้า มัวยืนบื้อใบ้อยู่ทำไม ไม่ได้ยินนายท่านบอกหรือ จับพวกนางเอาไว้” แม่นมหม่าส่งเสริม เอาอกเอาใจฮูหยินคนใหม่ ประจบประแจงจนออกหน้าออกตา “รีบจับคุณชายน้อยให้ฮูหยินรองลงโทษเร็วเข้า”
“นางแก่ชั่วคนนี้ ไม่อยากตายดีแล้วกระมัง” แม่หนูน้อยไม่อาจระงับความโกรธเอาไว้ได้ แผดเสียงต่อว่าอย่างไม่หวั่นเกรง สองมือเท้าเอวใบหน้าเกรี้ยวกราดนัก
“นายน้อยดูสิเจ้าคะ คุณหนูเกเรเช่นนี้ก็เพราะถูกเสี้ยมสอนให้กระด้างกระเดื่อง บ่าวเฒ่าไม่อยากพูดมาก แต่บ่าวก็อดคันปากไม่ได้เจ้าค่ะ คุณหนูกับคุณชายน้อยไม่เหมือนนายน้อยสักนิด ติดแค่ฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่เอ็นดู ที่ผ่านมาจึงไม่เคยเอาความพวกนางเจ้าค่ะ”
“คนหูเบาย่อมต้องเชื่อคำพูดยุยง เป็นข้าที่โง่งมขลาดเขลา ข้ารู้สึกเสียเวลาเหลือเกิน
หกปีมานี้ ข้าสูญเสียอะไรไปบ้าง หากท่านยังมีน้ำใจหลงเหลืออยู่บ้าง ก็เชิญลงนามหย่าร้างเสียตอนนี้ ข้าจะไปแต่ตัว มิขอสิ่งอื่นใดนอกจากลูก ๆ ของข้า”
หลี่หรูหรานทดท้อเสียเหลือเกิน นางไร้หนทางต่อสู้ ไม่คิดไม่ฝันว่านางจะเดินทางมาถึงตรงนี้
ถูกคนที่นางรักและไว้ใจตราหน้าว่าเป็นนางแพศยา ลูกชายและลูกสาวไม่ได้รับความเป็นธรรม นางทั้งเจ็บทั้งจุกจนพูดไม่ออก รู้สึกแน่นหน้าอกราวกับจะเป็นลมล้มพับลงได้ทุกเมื่อ
“เจ้าคิดว่ามีสิทธิ์มาต่อรองอย่างนั้นหรือ สตรีสวมหมวกเขียวให้สามีต้องมีโทษสถานใด” เจี้ยนคังไม่ยินยอมยืนกรานเสียงแข็ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยสตรีชั่วให้หลุดลอย
“หากแม่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านต้องสัญญาว่าจะปล่อยพวกข้าไป” เจี้ยนสือพยายามต่อรอง
เจี้ยนคังตอบกลับอย่างยียวน “เจ้าคิดว่าข้าสมองหมูหรือไร ย่อมไม่มีทาง”
แม่นมหม่ายังจีบปากจีบคอพูดแทนฮูหยินผู้เฒ่า “โธ่เอ๋ย...คุณชายน้อย คุณหนูน้อย พวกท่านมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเจี้ยน ยังจะมีหน้ามาต่อรองอีกหรือเจ้าคะ” นางเยาะเย้ยพวกคนไร้ทางสู้
“นางแก่คนนี้ช่างมีฝีปากไม่เบา” แม่หนูน้อยเจี้ยนชิงชี้หน้าไปยังหญิงเฒ่าอีกหน นางจดหนี้แค้นนี้เอาไว้ในใจ รอสักวันให้นางได้เติบโต หลุดพ้นออกจากที่นี่ไปได้
นางจึงปรามาสขึ้นอีก ว่า “สักวันข้าจะแล่เนื้อเถือหนังของเจ้า ควักหัวใจของเจ้าออกมา อยากดูนักว่าข้างในมันเป็นสีอะไรกันแน่ จิตใจถึงได้อำมหิตเลือดเย็นถึงเพียงนี้”