ตอนที่ 1: ข้าวเช้ากลางแดดเที่ยง
เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือดังขึ้นในเช้าวันจันทร์ แต่ความจริงแล้วมันคือเที่ยงครึ่งที่แดดข้างนอกพุ่งทะลุม่านหน้าต่างเข้ามาไล่ความมืดในห้องคอนโดขนาด 26 ตารางเมตรของขวัญข้าวให้กลายเป็นสว่างจ้าเหมือนพระอาทิตย์กำลังประชดชีวิตใครสักคนอยู่
ขวัญข้าวลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า พึมพำกับตัวเองทั้งที่ยังไม่ได้ลุกจากเตียง
"ถ้าวันนี้ไม่มีประชุม ก็คือฉันลาออกได้เลยนะ..."
แน่นอนว่าพูดเล่น เพราะถึงจะไม่อยากตื่น ก็ยังต้องลุกขึ้นอยู่ดี นาฬิกาบนมือถือบอกเวลา 12:42 น. เธอถอนหายใจแล้วค่อย ๆ ยันตัวขึ้นจากเตียง ขยี้ตาเหมือนคนที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองตื่นจริงหรือยังฝันอยู่
ชีวิตของหญิงวัยทำงานอายุ 29 ที่ไม่มีแฟน ไม่มีสัตว์เลี้ยง ไม่มีต้นไม้ในห้อง และไม่มีความตั้งใจจะทำอะไรก็เป็นแบบนี้แหละ ตื่นกลางวัน กินข้าวคนเดียว ทำงานที่ไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้รัก แล้วก็เข้านอนแบบไม่ได้คาดหวังอะไรจากพรุ่งนี้
หลังจากลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เธอก็เดินไปเปิดตู้เย็น และพบกับสิ่งที่คนอยู่คนเดียวมักพบเจอเป็นประจำ
"โยเกิร์ตรสสตรอเบอร์รี่ หมดอายุเมื่อสามวันก่อน... ยังพอกินได้มั้ยวะ"
คำตอบคือได้ ถ้าหิวพอ
สุดท้าย ขวัญข้าวตัดสินใจเดินลงไปเซเว่น เธอใส่เสื้อยืดสีเทา กางเกงขาสั้นแบบไม่ได้แมทช์อะไรกับเสื้อ หน้าสด ผมเผ้าเหมือนคนผ่านสงครามนอนกลิ้งบนเตียงมา 12 ชั่วโมงเต็ม ๆ
ระหว่างทางเดินลงจากคอนโด ขวัญข้าวเจอกับเพื่อนบ้านประตูตรงข้าม ซึ่งเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ ที่เธอไม่เคยรู้จักชื่อ รู้แค่ว่าเขาชอบเปิดเพลงแจ๊สดัง ๆ ตอนดึกและมักส่งยิ้มให้เธอแบบไม่ประหลาดใจ
วันนี้ก็เหมือนเดิม
"ไปเซเว่นเหรอครับ"
เธอยิ้มตอบแบบขอไปที "อืมค่ะ พอดีตู้เย็นไม่มีอะไรเลย"
"วันนี้แดดแรงนะครับ ใส่แว่นกันแดดด้วยสิ เดี๋ยวตาจะหรี่เหมือนแมวตอนโดนแฟลชถ่ายรูป"
ขวัญข้าวหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แบบไม่ตั้งใจ "เปรียบเทียบได้น่ารักดีนะคะ"
เธอเดินต่อไปโดยไม่หันกลับ แต่ยิ้มกว้างขึ้นนิดนึงราวกับชีวิตเพิ่งได้รับน้ำตาล 1 ช้อนชาจากบทสนทนาสั้น ๆ
...
ภายในร้านสะดวกซื้อ ขวัญข้าวหยิบโจ๊กซองรสหมู ใส่ตะกร้าพร้อมน้ำเปล่าและกาแฟกระป๋อง แล้วเดินไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์
ระหว่างยืนรอคิดเงิน เสียงจากลำโพงร้านเปิดเพลง “ยินดีที่ไม่รู้จัก” ของ 25Hours ดังขึ้น เธอเงยหน้ามองฝ้าระบายอากาศบนเพดานราวกับจะบอกอะไรกับฟ้า
“นี่ฟ้าจะสื่ออะไรกับฉันรึเปล่าเนี่ย…”
ชายชราที่ต่อคิวข้างหลังยิ้มให้เธออย่างสุภาพ เธอจึงยิ้มตอบไปแบบเกรงใจเล็กน้อย
บางครั้ง การได้ยิ้มให้คนแปลกหน้า มันก็ดีไม่แพ้การคุยกับคนรู้จักที่ไม่รู้ใจ
...
เธอกลับถึงห้องตอนบ่ายโมงครึ่ง นั่งกินโจ๊กหน้าทีวีที่ไม่ได้เปิด กับกาแฟกระป๋องที่เย็นไม่พอให้สดชื่นแต่ก็ไม่ร้อนจนทำให้รู้สึกเหมือนชีวิตถูกต้มซ้ำ
เปิดแล็ปท็อปทำงานเล็กน้อย ตอบอีเมลลูกค้า เช็กบรีฟจากทีม แล้วก็หยุดเพราะหัวไม่แล่น
เธอคิดถึงคำว่า “Burnout” ทั้งที่ยังไม่ได้เผาตัวเองเต็มที่ด้วยซ้ำ คิดถึงคำว่า “ชีวิตที่มีความหมาย” ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าความหมายมันคืออะไร
...
บ่ายสามโมง ขวัญข้าวเปลี่ยนจากทำงานเป็นนั่งมองเพดาน แล้วก็เดินออกไปที่คาเฟ่หน้าปากซอย
คาเฟ่เล็ก ๆ ที่เธอไปบ่อยจนพนักงานเริ่มจำหน้าได้ มีโต๊ะประจำตรงมุมติดหน้าต่าง เธอสั่งลาเต้เย็นไม่หวาน แล้วก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเก่าที่หน้าปกเขียนว่า “อยากรู้จังว่าอีก 5 ปีข้างหน้าฉันจะเป็นยังไง”
เธอเปิดหน้าแรก พบกับตัวหนังสือของตัวเองเมื่อสามปีก่อน ที่เขียนว่า
"ฉันอยากเป็นผู้หญิงที่ยังยิ้มได้แม้ไม่ได้สมหวังในทุกอย่าง"
เธออ่านแล้วยิ้ม ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้สมหวังหรือเปล่า แต่ก็ยังยิ้มได้อยู่ แปลว่าตัวเองก็ยังพอรักษาสัญญากับตัวเองไว้บ้าง
...
ช่วงเย็น ขวัญข้าวเดินผ่านตลาดนัดข้างคอนโด ซื้อกับข้าวสองสามอย่างใส่ถุงพลาสติกสีขาวกลับห้อง
ตอนกำลังจะเข้าลิฟต์ ชายหนุ่มประตูตรงข้ามก็เดินมาอีกครั้ง คราวนี้ในมือถือกล่องพิซซ่ากล่องใหญ่
"วันนี้กินอะไรอร่อย ๆ อีกแล้วเหรอครับ" เขาชวนคุย
"ก็แค่กับข้าวตลาดนัดน่ะค่ะ" เธอตอบยิ้ม ๆ แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์
เขายิ้มกลับ "ของถูกบางทีมันก็อร่อยกว่าของแพงนะครับ ถ้ากินแล้วมีความสุข"
ขวัญข้าวหันไปมองเขาอีกที ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิด
“คุณพูดเหมือนบทหนังเลยนะคะ”
เขาหัวเราะเบา ๆ “บางทีผมก็รู้สึกว่าชีวิตจริงมันเหมือนหนังนะ โดยเฉพาะตอนที่เราไม่ได้คาดหวังอะไรจากมันน่ะครับ”
เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่ยิ้มจาง ๆ ติดอยู่ที่มุมปากตลอดทางกลับห้อง
...
คืนนั้น ขวัญข้าวเปิดสมุดบันทึกอีกครั้ง เขียนบรรทึกหน้าใหม่ว่า:
"วันนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย แต่มันก็เป็นวันดี ๆ อยู่ดี
อาจเพราะมีคนแปลกหน้าที่ยิ้มให้กัน มีบทสนทนาสั้น ๆ ที่จริงใจ มีลมเย็น ๆ ตอนไปตลาดนัด มีข้าวเย็นที่กินแล้วรู้สึกว่าตัวเองยังมีแรงพอจะใช้ชีวิตต่ออีกวัน
บางที... โตพอแล้ว ไม่ได้แปลว่าต้องเข้าใจทุกอย่าง แค่รู้ว่าวันธรรมดาที่ไม่ได้แย่ มันก็ดีเหมือนกัน"
...
“บางวันไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่ต้องการวันดี ๆ สักวัน... ก็พอ”
