บทที่ ๗
เย็นนี้ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ผู้คนค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ เนื่องจากบริเวณลานด้านหน้าของห้างใหญ่มีการจัดงานเปิดตัวนมผงยี่ห้อดัง มีทั้งเวทีการแสดงต่างๆ พร้อมทั้งการประกวดความสามารถของเด็กๆ พื้นที่บริเวณรอบๆ เวทียังมีซุ้มเกมจัดไว้ให้เด็กและผู้ปกครองได้ร่วมทำกิจกรรมร่วมเพื่อชิงของรางวัลมากมายหลายซุ้มเลยทีเดียว
เมื่อได้เวลาเปิดงาน ดาราสาวชื่อดังซึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรในวันนี้ก็เริ่มทำหน้าที่ดำเนินรายการพิธีเปิดงานโดยเชิญผู้บริหารของบริษัทนมผงชื่อดังขึ้นมากล่าวเปิดงาน จากนั้นก็เป็นการแสดงเล็กๆ น้อยๆ ของเด็กนักเรียนโรงเรียนอนุบาลย่านนั้น
จากนั้นก็ถึงไฮไลต์ของงาน พรีเซนเตอร์ตัวน้อยในชุดกระโปรงบานสีชมพูสดทั้งคู่ก็เดินออกมาโชว์ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวพร้อมกัน คนหนึ่งในมือถือแก้วนมโดยถือโชว์โลโก้ยี่ห้อนมผงออกสู่สายผู้คน ส่วนในมืออีกคนหนึ่งถือกระป๋องนมผงโดยหันโลโก้ยี่ห้อของนมผงออกเช่นกัน
พรีเซนเตอร์ตัวน้อยค่อยๆ เดินออกมาตามแคตวอล์กที่ทางทีมงานจัดไว้ ก่อนมาหยุดโพสท่าให้บรรดาตากล้องได้จับภาพความน่ารักของทั้งคู่อยู่ที่กลางเวที ทั้งคู่สามารถดึงดูดสายตาทุกคู่ของคนที่เข้ามาร่วมงานให้จดจ้องอยู่ที่ร่างเล็กนั้นไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญไปกว่านั้นสองนางแบบตัวน้อยยังดึงเอาสายตาคมกริบของรวิชญ์ให้ต้องจ้องมองร่างเล็กบนเวทีอย่างไม่ละสายตาด้วยเช่นกัน
รวิชญ์มาถึงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม เขาพยายามมองหาสองนางแบบรุ่นจิ๋วตั้งแต่เริ่มเดินเข้ามาถึงงาน แต่ก็ไม่เห็นเพิ่งจะเจอก็บนเวทีนี่แหละ
เขารีบขยับตัวให้เข้าใกล้เด็กสองคนมากขึ้น ด้วยอยากเห็นหน้าเด็กสองคนนี้ให้ชัดๆ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้เห็นหน้าชัดเจนขึ้น ยิ่งรู้สึกว่าแววตาสองคู่นี้ช่างคุ้นตาเขานัก โดยเฉพาะคนที่ถือกระป๋องนม และยังรอยยิ้มจากริมฝีปากจิ้มลิ้นนั่นอีก ยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนรู้จักกับเด็กสองคนนี้มาก่อนอย่างบอกไม่ถูก มันช่างคุ้นตามาก แต่ทำไมถึงนึกไม่ออกว่าเหมือนใคร และเคยเห็นที่ไหน เวลานี้เขาอยากจะให้เด็กสองคนนี้ทำงานเสร็จเร็วๆ เพื่อที่จะได้เข้าไปพูดคุยด้วย
หลังจากที่สองนางแบบตัวน้อยยืนโพสท่าถ่ายรูปอยู่ไม่นานทั้งคู่ก็เดินกลับไปด้านหลังเวที เมื่อพ้นฉากด้านหน้าเวทีทั้งคู่ก็พุ่งตรงหาปานชนกทันที ยามที่ไม่มีแม่มาด้วยเช่นนี้เด็กสองคนจะติดเธอมาก ทุกครั้งที่เสร็จงานปุ๊บสองสาวจะต้องวิ่งเข้าหาเธอทันทีเหมือนต้องการกำลังใจหรือคำชมจากผู้เป็นน้า ซึ่งเด็กน้อยสองคนก็ไม่เคยผิดหวังเลยสักครั้ง
“เก่งมากเลยค่ะน้องทอฝัน น้องพาฝัน วันนี้เอาอะไรเป็นรางวัลดีคะ”
ปานชนกเอ่ยชม แขนเรียวสองข้างโอบกอดเด็กน้อยสองคนไว้อย่างรักใคร่
“เอาคุกกี้รสช็อกโกแลตค่ะ”
เสียงน้องทอฝันดังขึ้นบอกน้าสาวทันที
ปานชนกยิ้มให้นิดหนึ่งก่อนหันมองหน้าเด็กอีกคน เมื่อสังเกตเห็นว่าแฝดคนน้องไม่แสดงความคิดเห็น ซึ่งผิดวิสัยเจ้าตัวนัก
“น้องพาฝันเป็นอะไรไปคะ... ทำไมวันนี้หนูดูเงียบจังคะ”
ปานชนกถามขึ้น พลางลูบศีรษะเด็กน้อยไปด้วย
“น้องพาฝันคิดถึงคุณแม่ อยากให้คุณแม่มาด้วยจังค่ะ”
สิ้นเสียงเด็กน้อย ปานชนกก็คว้าร่างเล็กเข้ามาโอบกอดไว้ทันที
“โธ่ลูก... ทำไมวันนี้ถึงเกิดคิดถึงคุณแม่ขึ้นมาล่ะคะ”
“สงสัยคงเพราะวันนี้เด็กเยอะ และส่วนมากเด็กๆ ก็มีคุณพ่อ คุณแม่มาด้วยกันทั้งนั้น แกคงอยากให้คุณแม่แกมาบ้างนั่นแหละค่ะ”
เสียงผู้จัดงานดังขึ้น เมื่อเดินมาทันได้ยินที่น้องพาฝันพูด
“คงใช่ค่ะ... คุณแม่เขาก็งานเยอะเหลือเกิน วันนี้ก็ดันต้องอยู่ดูเด็กนักเรียนแทนครูเวร เลยมาไม่ได้”
ปานชนกเงยหน้าขึ้นมองผู้จัดงาน แขนยังคงโอบร่างเล็กของน้องพาฝันไว้อยู่ มืออีกข้างพลางลูบศีรษะแฝดผู้พี่ไปด้วย
“อ่อ... เดี๋ยวพี่ขอตัวน้องทอฝันกับน้องพาฝันไปถ่ายรูปด้านหน้าก่อนนะคะ”
“ค่ะ... เดี๋ยวป่านพาออกไปค่ะ”
พูดพลางก้มลงมองหน้าเด็กแฝดทั้งคู่อีกครั้ง
“ไปค่ะ เราออกไปถ่ายรูปกันก่อน ถ่ายเสร็จเราจะได้กลับบ้านไปหาคุณแม่กัน วันนี้เราซื้อของไปทำให้คุณแม่กินกันดีกว่านะคะ”
ปานชนกดันร่างน้องพาฝันออกจากอ้อมกอดเล็กน้อย
“ค่ะ วันนี้น้องพาฝันจะทำไอติมให้คุณแม่”
จากใบหน้าที่ดูเศร้าเมื่อครู่ เวลานี้กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง พร้อมแววตามุ่งมั่นของเด็กที่ตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง
“พี่ทอฝันก็จะทำไอติมให้คุณแม่ด้วยค่ะ”
ทอฝันรีบพูดสมทบขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้
“โอเค งั้นเรารีบออกไปถ่ายรูปกันก่อน จะได้รีบกลับไปทำไอติมกันนะคะ”
พูดจบปานชนกก็ลุกขึ้นจูงมือทั้งคู่ออกไปด้านหน้าของงาน
เมื่อเด็กทั้งคู่ออกมาให้บรรดาสื่อมวลชนกดชัดเตอร์ถ่ายรูปอีกครั้ง ตลอดจนถ่ายกับบรรดาคนที่ชื่นชอบความน่ารักของเด็กทั้งสอง โดยที่ปานชนกไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมผู้จัดงานเป็นคนคอยดูแลแทน ส่วนเธอก็แค่คอยมองดูห่างๆ เท่านั้น
“สวัสดีค่ะ ขอคุณลุงคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะ”
รวิชญ์เดินตรงเข้าหาร่างเล็กๆ ทั้งสองคนทันทีเมื่อเห็นว่าเวลานี้ทั้งคู่กำลังให้ความสนใจกับซุ้มเกม
“สวัสดีค่ะ”
แฝดคนพี่ยกมือขึ้นไหว้ก่อน และดูเหมือนเวลานี้แฝดคนน้องนั้นจะยืนหลบหลังแฝดผู้พี่เสียแล้ว
“หนูชื่ออะไรคะ”
รวิชญ์ย่อเข่าลงนั่งเพื่อที่จะได้คุยกันง่ายขึ้น
“หนูชื่อพี่ทอฝันค่ะ ชื่อจริงชื่อเด็กหญิงรวีรินดาค่ะ”
เสียงเจื้อยแจ้วทำเอาคนฟังถึงกับยิ้มออกมา
“แสดงว่าหนูเป็นพี่สิคะ”
ชายหนุ่มเดาเอาจากการแนะนำตัวของเด็กน้อย
“ใช่ค่ะ”
“แล้วหนูล่ะคะ ชื่ออะไรเอ่ย”
รวิชญ์เบี่ยงหน้านิดหนึ่งเพื่อจะได้มองหน้าเด็กอีกคนที่เงียบ ไม่ตอบอะไร แถมเจ้าตัวยังคงยืนหลบหลังพี่สาวอยู่เช่นเดิม
“ชื่อน้องพาฝันค่ะ ชื่อจริงเด็กหญิงรวีรันตราค่ะ”
แฝดผู้พี่มองหน้าน้องสาวนิดหนึ่งก่อน เมื่อเห็นว่าน้องสาวยังเงียบ ไม่ยอมตอบจึงตอบขึ้นมาเอง
“แล้วคุณพ่อกับคุณแม่หนูชื่ออะไรคะ”
รวิชญ์รีบถามทันที ด้วยความที่อยากรู้ว่าใครกันที่เป็นพ่อแม่ของเด็กน่ารักและช่างเจรจานี้คู่นี้
“คุณแม่หนูชื่อ...”
น้องทอฝันตอบได้เพียงเท่านั้น ก็ต้องหันมายังต้นเสียงที่ร้องเรียกชื่อตัวเองกับน้องสาวเสียก่อน
“น้องทอฝัน น้องพาฝันคะไปกันได้แล้วค่ะ คุณน้ารออยู่ค่ะ”
“พี่ทอฝันไปก่อนนะคะ จะรีบกลับไปทำไอติมให้คุณแม่ค่ะ... สวัสดีค่ะ”
พูดจบเด็กน้อยทอฝันก็ยกมือขึ้นไหว้ ก่อนคว้าแขนแฝดผู้น้องพากันวิ่งตรงไปหาปานชนกทันที
รวิชญ์ได้แต่ยิ้มและมองตามร่างเล็กสองร่างนั้นวิ่งไปจนถึงหญิงสาวร่างบางคนหนึ่ง ที่กำลังยืนกอดอกรออยู่ ทว่าเขาเห็นเพียงด้านข้างของเธอเท่านั้น
ปานชนกเห็นแต่แรกแล้วว่ามีชายหนุ่มแต่งตัวดีกำลังคุยกับเด็กๆ อยู่ แต่เธอไม่ได้เข้าไปยุ่งเพราะคิดว่ายังอยู่ในสายตา ไม่น่าจะเป็นอันตราย และอีกอย่างเธอเห็นว่าทีมงานก็อยู่ตรงนั้นอีกหลายคน หากเธอเดินเข้ามาสักหน่อยและหากตอนที่คุยกันอยู่นั้นเขาหันหน้ามาทางเธอสักนิด เธอคงรู้ไปแล้วว่าชายร่างสูงนั้นเป็นใคร
