บทที่ ๑๕
วันนี้สองพี่น้องไม่มีงานที่ไหน ทำให้ทั้งสองคนได้กลับบ้านพร้อมกับณรันดา โดยมีปานชนกด้วยอีกคน
“วันนี้ดูเด็กๆ สดชื่นเป็นพิเศษนะ”
ปานชนกพูดขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นเด็กน้อยทั้งสองคนคุยเล่นกันสลับกับเสียงหัวเราะใสๆ
“คงจะดีใจที่วันนี้ไม่ต้องทำงานและได้อยู่กับแม่”
ณรันดาพูดพลางส่งสายตามองผ่านกระจกมองหลังดูลูกสาวทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อคืนเป็นไงบ้างปลาย งานสนุกหรือเปล่า”
“อืม... ก็ดีนะ แต่เราเป็นห่วงลูกน่ะ จิตใจเลยไม่ได้อยู่กับงานเท่าไหร่ และอีกอย่าง...”
หญิงสาวบอกเพื่อนรักเพียงเท่านั้นแล้วก็เงียบไป
“มีอะไรหรือเปล่าปลาย”
ปานชนก รีบถามขึ้นเมื่อจู่ ๆ เพื่อนรักก็เงียบไปอย่างนั้น
คนโดนถามยังคงนิ่ง สายตามองหน้าลูกสาวทั้งสองคน ผ่านกระจกมองหลังสลับกับมองทาง ก่อนผ่อนลมหายใจออกอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ป่าน เมื่อคืนเราเจอ ‘เขา’ ที่งาน”
หญิงสาวตัดสินใจบอกเพื่อนรัก เพราะทั้งคู่ไม่เคยมีอะไรปิดบังกัน
“อะไรนะปลาย เธอเจอใคร... อย่าบอกนะว่าเธอเจอคุณรวิชญ์”
ปานชนกร้องเสียงหลง จนทำให้เด็กน้อยที่นั่งอยู่หลังรถถึงกับหันมองหน้าน้าสาว ณรันดาได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ
“แล้วเขาจำเธอได้หรือเปล่า เขาเข้ามาทักไหม แล้วได้คุยอะไรกันหรือเปล่าปลาย”
ปานชนกรีบถามด้วยความอยากรู้ กึ่งตื่นเต้นก็ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันถึงได้รู้สึกเช่นนั้น
“เขาจำเราได้ และก็ได้คุยกันนิดหน่อย”
“แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าเธอกับเขา...”
ปานชนกพูดเพียงเท่านี้ ไม่ได้พูดให้จบประโยค เป็นอันรู้กัน เพราะเจ้าตัวปรายตามองที่เด็กน้อยสองคนแทนประโยคที่จะพูดถึงต่อ
“ไม่รู้หรอกป่าน และเราก็ไม่มีทางบอกเขาแน่นอน... อีกอย่างเมื่อคืนปลายบอกกับเขาแล้วว่าเราสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว”
“เฮ้อ... ยายปลายเราว่าเขาจะไม่จบแค่นี้สิ... สักวันหนึ่งเขาต้องรู้ว่าเขากับเธอมีลูกด้วยกันจนโตแล้ว แถมยังหน้าตายังน่าชังอีกด้วย”
ปานชนกถอนหายใจน้อยๆ ก่อนพูดออกมาอย่างเป็นห่วงอนาคตเพื่อนรัก
“รอให้มันถึงวันนั้นก่อนเถอะป่าน... ตอนนี้เราขอเพียงอย่างเดียวว่าอย่าเพิ่งให้เขาได้เจอกับเราและลูกอีกเป็นพอ”
“แล้วถ้ามันถึงวันนั้นเธอจะทำยังไงปลาย”
ปานชนกเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมกับจ้องหน้าเพื่อนรักอย่างต้องการคำตอบ
“เราจะไม่ยอมให้เขาได้ลูกของเราไป... ถ้าเขายังมายุ่งกับเราอยู่ เราจะพาเด็กๆ หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้”
น้ำเสียงหนักแน่นบ่งบอกว่าเธอทำแน่ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ
“แต่ยังไงยายสองแสบนี่ก็เป็นลูกเขานะ ทอฝันกับพาฝันสมควรจะต้องรู้ว่าใครเป็นพ่อของตัวเอง ปลาย...เธอไม่สงสารลูกเหรอ”
ไม่มีคำตอบใดๆ จากหญิงสาว จะว่าไปแล้วใจหนึ่งเธอก็สงสารลูกที่กลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง ทุกครั้งที่มีงานโรงเรียน ผู้ปกครองของเด็กแต่ละคนมักจะมาด้วยกันพร้อมหน้า เธอเองก็สังเกตเห็นว่าลูกสาวของเธอจะดูเศร้าไปกว่าเดิม เหมือนกับสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่มีพ่อมาร่วมงานเหมือนกับเพื่อนๆ ทำไมถึงมีแต่แม่กับน้าป่านเท่านั้น
แต่อีกใจเธอก็กลัวว่าถ้าเขารู้ว่าเธอมีลูกกับเขา แล้วเกิดเขาไม่ยอมรับเด็กสองคนนี้ขึ้นมาเธอจะทำเช่นไร และเด็กสองคนนี้จะรู้สึกเช่นไรที่ต้องมารับรู้ว่าตัวเองเป็นลูกที่พ่อไม่ต้องการ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเธอคงทำใจไม่ได้ เธอคงทนเห็นลูกต้องรับความเจ็บปวดเช่นนั้นไม่ได้
“คุณแม่ขา น้องพาฝันอยากไปเที่ยวสวนสัตว์”
เสียงน้องพาฝันทำลายความเงียบระหว่างปานชนกกับณรันดาขึ้นทันที
“แล้วน้องทอฝันอยากไปด้วยหรือเปล่าคะ”
ณรันดาถามลูกสาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“อยากไปค่ะ คุณแม่พาพี่ทอฝันกับน้องพาฝันไปเที่ยวนะคะ น้องพาฝันอยากเห็นเสือ อยากเห็นช้าง อยากเห็นตัวคอยาวๆ”
ได้ทีแฝดคนน้องก็อ้อนทันที พร้อมบอกชื่อสัตว์ทีอยากเห็น แต่ดูเหมือนตัวสุดท้ายจะไม่รู้ชื่อหรือนึกชื่อไม่ออก เลยบอกลักษณะมาแทน
“ตัวคอยาวๆ เขาเรียกยีราฟค่ะ”
ผู้เป็นมารดาบอกชื่อ พลางหัวเราะน้อยๆ ให้กับท่าทางลูกสาว
“ยีราฟใช่แล้วค่ะ... น้องพาฝันนึกไม่ออกค่ะ”
เด็กน้อยยิ้มให้อย่างเขินๆ
“ได้สิคะ วันอาทิตย์นี้เลยเป็นไงคะ”
“เย้ๆ จริงๆ นะคะคุณแม่ น้าป่านไปกับน้องพาฝันด้วยนะคะ”
เสียงร้องดีใจของเด็กทั้งสองคนดังลั่นรถก่อนที่แฝดคนน้องจะชะโงกหน้าไปชวนน้าสาวคนสวยที่นั่งอยู่ข้างมารดา
“น้าป่านไม่พลาดแน่นอนค่ะ น้องทอฝันกับน้องพาฝันไปไหน น้าป่านก็ไปด้วยทุกทีอยู่แล้ว”
ปานชนกหันมาตอบเด็กน้อยสองคนพร้อมรอยยิ้ม ทว่าในใจเธอนั้นกับไม่ได้ยิ้มไปด้วยเหมือนกับหน้าเธอแม้แต่น้อย ยิ่งเธอได้เห็นสีหน้าดีใจของเด็กทั้งสองมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกสงสารเด็กทั้งสองมากยิ่งขึ้นที่เกิดมาอาภัพเช่นนี้
