บทที่ ๑๔
เช้าวันรุ่งขึ้นเพียงฟ้าบุกออฟฟิศรวิชญ์แต่เช้า สีหน้าของนางแบบสาวติดจะบึ้งตึงมากอยู่ ด้วยอารมณ์ที่ยังคงโกรธและโมโหชายหนุ่มเจ้าของออฟฟิศนี้ เพราะเมื่อคืนนี้หลังจากที่เธอเดินแบบชุดสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย เธอก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและตรงมาหาเขาที่โต๊ะ ทว่าคำตอบที่เจ้าหล่อนได้จากน้องสาวและมารดาเขาคือรวิชญ์ขอตัวกลับไปก่อนแล้ว เพราะวันรุ่งขึ้นมีงานด่วน
“ฟ้า ทำไมถึงมาแต่เช้าเลยครับนี่”
รวิชญ์มองร่างเซ็กซี่พลางส่งยิ้มให้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับหน้าตาบึ้งตึงของเธอเลยสักนิด
“รวิชญ์ คุณทำแบบนี้กับฟ้าได้ยังไงกันคะ”
เจ้าของร่างเซ็กซี่เอ่ยขึ้นเสียงสูงอย่างไม่พอใจ และยิ่งทำให้หญิงสาวไม่พอใจมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าหล่อคมเข้มนั้นดูเหมือนไม่รู้ว่าทำอะไรผิด
“ผมทำอะไรฟ้าครับ”
“เมื่อคืนคุณหนีฟ้ากลับก่อนทำไมคะ ทำไมคุณไม่รอฟ้า ทั้งๆ ที่คุณก็รู้อยู่ว่าฟ้ากำลังจะมาหาคุณ” เพียงฟ้าโวยวายขึ้นทันที
“ไม่เอาน่าฟ้า... เช้านี้ผมติดงานด่วนจริงๆ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้เตรียมตัวอะไร”
ชายหนุ่มแสร้งเอาเรื่องงานขึ้นมาอ้าง จริงอยู่ที่วันนี้เขาติดประชุมตอนเช้า ผิดแต่ที่ว่าเขาไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมาก เพราะทุกอย่างกนกวรรณเตรียมไว้ให้หมดแล้ว
“แต่คุณก็ควรจะรอฟ้า... ฟ้าเป็นแฟนคุณนะ คุณทำแบบนี้แล้วคนอื่นเขาจะมองฟ้ายังไงกันคะ”
เพียงฟ้ายังไม่เลิกโวยวาย
“เพียงฟ้า ผมว่าเรื่องนี้เราเคยคุยกันแล้วนะ... เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
น้ำเสียงนั้นดูหนักแน่นน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย
“เอ่อ... ก็ฟ้า ฟ้า...”
เพียงฟ้ารับรู้ได้ทันทีว่าเวลานี้เขากำลังไม่พอใจในสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่
หญิงสาวรู้สถานะตัวเองดีว่าเวลานี้เธอเป็นเพียงคู่ควงของเขาเท่านั้น เธอไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่คำว่าแฟน ก่อนหน้าที่เธอจะยอมคบหากับเขานั้น เธอเองก็ยินยอมตามที่เขาต้องการ คือ การคบกันโดยไม่มีอะไรผูกมัดซึ่งกันและกัน ไม่มีการเรียกร้องหรือทวงสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น
“เอาเถอะ... ผมขอโทษคุณด้วยแล้วกันผมต้องเข้าประชุมแล้ว เย็นนี้เราค่อยเจอกัน เดี๋ยวผมแวะไปรับคุณที่กองถ่าย”
“คุณไม่โกรธฟ้านะคะที่ฟ้า ฟ้า...”
“ผมไม่โกรธหรอกครับ ผมเข้าใจผมเป็นคนผิดเองที่ทิ้งคุณไว้ ไม่รอคุณก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ทว่าวันนี้เขากลับไม่เดินเข้าใกล้ร่างบางเหมือนทุกครั้ง เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้บุหนังตัวใหญ่เช่นเดิม หากเป็นแต่ก่อนถ้าเธอเข้ามาโวยวายหรือว่าทำอะไรให้เธอไม่พอใจไม่ว่าเขาจะผิดหรือถูก เขาจะต้องขอโทษหญิงสาวด้วยการจูบหรือหอมแก้ม หรือมากกว่านั้นกับเธออย่างเอาใจ
“โอเคค่ะ งั้นเย็นนี้ฟ้าจะรอคุณที่กองถ่ายนะคะ”
จากน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอ่อนหวานแทบจะทันทีด้วยกลัวว่าถ้าเธอออกฤทธิ์ออกเดชมากกว่านี้จะยิ่งทำให้เขาไม่พอใจเอาได้ง่ายๆ
“อ้อ... รวิชญ์คะ ฟ้าได้เบอร์ติดต่อผู้จัดการของเด็กสองคนนั้นแล้วนะคะ”
เพียงฟ้าเอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ และคิดว่าสิ่งนี้อาจจะทำให้รวิชญ์น่าจะพอใจเธอขึ้นมาหน่อย แล้วก็จริงอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ เพราะอีกฝ่ายถึงกับยิ้มออก ผิดจากเมื่อครู่เป็นอย่างมาก
“จริงเหรอครับ”
“ฟ้าเคยโกหกคุณเหรอคะ”
เพียงฟ้าเอ่ยพร้อมกับหยิบนามบัตรในกระเป๋าสะพายใบหรูส่งให้เขาดู ทว่าพอเขาเอื้อมมือเข้ามาหมายจะคว้าเอาเจ้าแผ่นกระดาษใบเล็กสีขาว เพียงฟ้าก็หลบไม่ยอมให้เขาหยิบไปได้ง่ายๆ
“อย่าลืมนะคะ ที่คุณเคยสัญญากับฟ้าไว้”
เพียงฟ้ารีบทวงสัญญาทันที
“ผมไม่ลืมหรอกครับ ฟ้าอยากได้อะไรคุณบอกผมได้เลย”
“โอเค งั้นเย็นนี้ฟ้าจะบอกคุณค่ะ... เวลาติดต่อไปคุณก็บอกว่าได้เบอร์มาจากแซนดี้นะคะ”
เพียงฟ้าแนะนำอีกครั้งก่อนส่งนามบัตรใบเล็กให้เขา
“ขอบคุณมากนะครับ... แล้วเย็นนี้เจอกัน”
รวิชญ์เอ่ยย้ำเจ้าหล่อนอีกครั้ง
เพียงฟ้าจ้องหน้าผู้ชายตรงหน้า แล้วรู้สึกได้ว่าเขาดูเหมือนจะดีใจมากเหลือเกินที่สามารถหาทางติดต่อเด็กสองคนนี้ได้ จนทำให้อดนึกไม่ได้ว่าเด็กสองคนนี้มีอะไรดี ทำไมถึงทำให้รวิชญ์ดูจะหลงใหลได้มากถึงเพียงนี้
หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในช่วงเช้า และยังไม่ทันที่เขาจะออกจากห้องประชุม รวิชญ์หยิบนามบัตรที่เพิ่งได้มาจากเพียงฟ้าเมื่อเช้าขึ้นมาดูชื่ออีกครั้งอย่างสนใจ เขารู้สึกคุ้นกับชื่อที่ปรากฎอยู่ในนามบัตรนั้น แต่เขากลับนึกไม่ออกว่าเป็นชื่อของใครกัน
“ปานชนก... ปานชนก”
ชายหนุ่มไล่สายตาอ่านชื่อที่โชว์ในกระดาษแผ่นสีขาวสะอาดตาใบเล็กซ้ำไปมาอยู่สองสามรอบก่อนหันไปคุยกับกนกวรรณ
“คุณน้องครับ นี่นามบัตรผู้จัดการส่วนตัวของเด็กสองคนนั้น คุณรีบติดต่อเลยนะ แล้วรีบรายงานผมด้วย”
รวิชญ์ออกคำสั่งพร้อมทั้งส่งนามบัตรให้เลขาฯ หน้าหวาน
“ค่ะ คุณรวิชญ์... แล้วเมื่อวันก่อนคุณรวิชญ์เจอน้องทอฝันกับน้องพาฝันหรือเปล่าคะ”
กนกวรรณถามขึ้นอย่างสงสัย เพราะเธอเข้าใจว่าถ้าได้เจอน่าจะได้คุยกับผู้ปกครองหรือคนที่รับงานให้เด็ก
“เจอครับ... เจอได้คุยกันคำสองคำ แต่ยังไม่ทันได้คุยกับพ่อแม่ของเด็กเลย”
รวิชญ์ตอบเลขาฯ สาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดไร้เดียงสาของเด็กแฝดผู้พี่ ซึ่งกิริยาเช่นนี้น้อยครั้งนักที่ใครจะได้เห็น แต่ดูเหมือนว่าพักหลังนี้กนกวรรณจะได้เห็นบ่อยครั้งเมื่อเอ่ยถึงเด็กน้อยสองคน
