บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 ตอนที่ 3

“จีนัส...จีนัสตื่นหรือยังลูก”

“ค่ะคุณแม่ตื่นแล้วค่ะ...” จริงๆ แล้วไม่ได้นอนเลยต่างหาก

กันต์ศิตางค์ลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความเหนื่อยล้า การเดินทางหลายชั่วโมงบวกกับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอทำให้เธอรู้สึกเบลอๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังถ่อสังขารไปเปิดประตูให้มารดาที่มาเคาะเรียกตั้งแต่เช้าตรู่

“ตายแล้ว...จีนัสทำซีดอย่างนี้ล่ะลูกเมื่อคืนยังดีๆ อยู่เลย” เมื่อประตูเปิดออกจิตนารีถึงกับต้องเอามือทาบอกยามเห็นใบหน้าซูบซีดของลูกสาวที่ก้าวเดินออกมา

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะจีนัสคงเหนื่อยตอนนั่งเครื่อง เวลาที่นี่กับที่เวนิสก็ไม่ตรงกัน ยังปรับตัวไม่ค่อยได้...อีกหน่อยคงชินไปเองค่ะ”

“อืม...งั้นพักเถอะลูกเดี๋ยวจะพานไม่สบายไปอีกคน แม่แค่จะมาตามไปตักบาตรด้วยกันเสียหน่อย แต่สภาพนี้คงไม่ไหว เดี๋ยวแม่จะให้คนเอาข้าวต้มร้อนๆ ขึ้นมาให้ก็แล้วกันนะ”

“ค่ะ...” หญิงสาวยิ้มฝืนให้มารดาในชุดดำสนิท ไม่บอกก็รู้ว่าจิตนารีคงกำลังตักบาตรทำบุญให้คนที่จากไป

ทำไมนะทุกคนถึงต้องพยายามให้เธอมีส่วนร่วมในงานศพครั้งนี้กันเหลือเกิน ทั้งๆ ที่รู้กันอยู่แก่ใจว่า ตัวเธอเองไม่ปรารถนาจะข้องเกี่ยวด้วยเลยแม้แต่น้อย ที่กลับมานี่...ก็แค่...ก็แค่คิดว่าต่อไปนี้จะไม่มีมารชีวิตมาอยู่ร่วมโลกกันอีกต่อไปเท่านั้นเอง

ร่างบางในชุดนอนทอดกายค่อยๆ นั่งลงบนเตียง เธอทอดถอนหายใจแล้วพานให้น้ำตาไหลหยาดลงเป็นทาง แม้จะเจ็บแค้นชิงชังมากมายแค่ไหน แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าการจากไปของฉัตรชฎาในครั้งนี้ทำให้เธอหดหู่เสียใจอย่างที่สุด นึกถึงเรื่องราวหนหลังครั้งยังรักกันกลมเกลียวก็ให้สะท้อนใจ

แม่สาวน้อยหน้าหวานเป็นน้องสาวที่แสนดีของเธอเสมอ แม้จะต่างมารดาและได้มาใช้ชีวิตร่วมกันตอนโตพอจะรู้ความได้กันแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความผูกพันที่มีบั่นทอนลงเลย ทั้งคู่เป็นพี่น้องสองสาวที่ใครๆ เห็นต่างก็ต้องอิจฉา

“พี่จีนัส...อย่าปีนขึ้นไปสิคะเดี๋ยวตกลงมาแม่ใหญ่ได้ตีซ้ำแน่” เด็กน้อยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ดึงชายเสื้อผู้เป็นพี่สาวที่กำลังทำท่าปีนขึ้นบนต้นมะม่วงซึ่งมีลูกดกอยู่เต็มต้น

“ถ้าจีนไม่พูด...พี่ไม่พูดใครจะไปรู้ น่า...นิดเดียวพี่ขึ้นไม่สูงหรอกจีนอยู่ข้างล่างไปคอยรับได้เลย”

“ไม่เอาจีนกลัวพี่จีนัสตก...ให้จีนขึ้นเองดีกว่านะจีนตัวเล็กไม่ตกง่ายๆ หรอก” ฉัตรชฎาในวัยเยาว์ยังดึงชายเสื้อพี่สาวหยิกๆ ไม่ยอมให้ขึ้นต่อ

“ไม่ได้เธอยังเด็กอยู่ แถมไม่เคยขึ้นต้นไม้อีกมีหวังลงมาไม่เป็นท่าแน่จีน”

ทั้งคู่ยื้อยึดกันอยู่พักหนึ่งในที่สุดผู้เป็นน้องสาวก็ต้องยอมแต่โดยดีแม้จะเป็นห่วงสักแค่ไหน เธอถอยหลังออกไปสองสามก้าวเพื่อรอรับมะม่วงสุกที่พี่สาวกำลังโยนลงมาให้

“ดีๆ นะจีน...อย่าให้ลงพื้นนะเดี๋ยวช้ำหมด”

“ค่ะพี่จีนัส...” และแล้วกิจกรรมสุดเสี่ยงกับการโดนตีก็ดำเนินต่อไปโดยทั้งคู่สามารถเก็บลูกมะม่วงได้พอประมาณ กันต์ศิตางค์จึงทำท่าจะปีนลงจากต้น หนูน้อยวันสิบเอ็ดขวบค่อยๆ ใช้มือจับกิ่งไม้ไว้ก้าวเท้าลงจากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่งแล้วไล่ไต่ลงมาอย่างระมัดระวัง

แต่ด้วยความรีบร้อนหนูน้อยจึงไม่รู้เลยว่ามือกำลังไปจับโดนรังเล็กๆ ของมดแดงเข้าให้แล้ว อาจเป็นเพราะมันไม่ได้ใหญ่นักเธอจึงไม่ได้สังเกตเห็นตั้งแต่แรกที่ปีนขึ้น

“กรี๊ด/ว๊าย...พี่จีนัสระวังค่ะ” ฉัตรชฎารีบวิ่งเข้าไปดูพี่สาวที่นั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่ตรงโคนไม้ สีหน้าพี่สาวของเธอบิดเบี้ยวเหยเกบ่งบอกถึงความเจ็บปวดรุนแรง

“พี่จีนัสเป็นไงบ้างคะ เจ็บมากไหม”

“อูย...เจ็บสิจีน แต่ไม่เป็นไรหรอกพอทนได้รีบกลับกันดีกว่าป่านนี้คุณแม่คงคอยแล้วล่ะ”

“ค่ะๆ เดี๋ยวจีนช่วยพยุงนะคะ...ว้าย!! พี่จีนัสแขนเลือดออกเต็มเลยค่ะ” ฉัตรชฎาที่เข้าไปช่วยพยุงกรีดร้องใบหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นตรงด้านหลังต้นแขนของพี่สาวมีรอยถลอกเป็นทางยาวและยังมีเลือดไหลซิบออกมาอีกด้วย

“ว้าย...ว่าแล้วทำไมเจ็บจัง แสบด้วยทำไงดีจีนโดนแม่ดุแน่” กันต์ศิตางค์ก็เช่นกันเริ่มสำนึกผิดขึ้นมาทันทีว่าไม่น่าเล่นซนจนได้เรื่องเลย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเจ็บแล้วจะต้องมาโดนทำโทษอีกไม่คุ้มเลยจริงๆ

“โอ๊ะ...โอ๊ย!!” กันต์ศิตางค์ที่พยายามลุกยืนโดยมีน้องสาวประคองร้องโอดครวญขึ้นอีกครั้งและต้องนั่งลงไปอย่างเดิมเนื่องจากตรงข้อเท้าของเธอมันเจ็บแปลบทันทีที่ขยับ

“พี่จีนัสเป็นอะไรคะ”

“ซวยแล้วจีน...พี่เจ็บข้อเท้าเท้าแพลงแน่เลย”

“ทำไงดีคะ...พี่จีนัสต้องรีบไปหาหมอนะทั้งเจ็บเท้าทั้งเป็นแผลแบบนี้อันตรายแน่ๆ จีนกลัว...” ฉัตรชฎาเริ่มใจไม่ดีและทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาในขณะที่พี่สาวของเธอก็พยายามที่จะพยุงตัวเองให้ยืนแต่ทุกครั้งที่ขยับตรงข้อเท้าก็เจ็บร้าวจนไม่สามารถยืนขึ้นได้ดั่งใจ

แผลตรงด้านหลังแขนขาวๆ ก็เริ่มเจ็บจากที่เมื่อครู่ชาจนแทบไม่มีความรู้สึก สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างปรึกษาด้วยความกังวล

“จีนจะไปตามคนมาช่วยนะคะ พี่จีนัสรอจีนที่นี่นะ”

“ไม่เอา...พี่กลัว...จีนอย่าทิ้งพี่นะนี่ก็จะมืดแล้วด้วยเราอยู่ติดกำแพงหลังบ้านเลยนะมันน่ากลัวจะตาย”

กันต์ศิตางค์ดึงน้องสาวเขย่าพลางปฏิเสธ บ้านของพวกเธอเป็นสไตล์เรือนไทยประยุกต์ เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นตั้งอยู่บนเนื้อที่ห้าไร่ ท่ามกลางธรรมชาติที่สุขสงบของบรรยากาศแบบชานเมือง

เลยรั้วบ้านด้านนอกออกไปคือสวนผักปลอดสารพิษที่ปลูกไว้กินและขายเป็นรายได้ของครอบครัว แปลงผักยาวสุดลูกหูลูกตาที่บิดาและมารดามักจะพาไปศึกษาวิธีการตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้เพื่อรับช่วงต่อกิจการนี้ต่อไป แต่...สวนผักมันไม่สนุกเลย ร้อน แถมยังเหนื่อยอีกต่างหาก

ที่นี่สิ...ถึงจะสนุก...

ตรงที่พวกเธอยืนอยู่เป็นพื้นที่ภายในรั้วบ้านเป็นสวนเล็กๆ ที่ปลูกผลหมากรากไม้หลายชนิดรวมกันเพื่อให้คนในบ้านได้เก็บกินโดยไม่ต้องไปซื้อหายามถึงช่วงฤดูนั้นๆ สองพี่น้องได้รับคำสั่งห้ามมาบริเวณนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดเพราะห่างจากตัวบ้านพอสมควร

และผู้ใหญ่ก็กลัวสัตว์จำพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะทำร้ายเอาด้วย แต่ทั้งคู่ก็มักแอบหนีมาเที่ยววิ่งเล่นเก็บผลไม้ต่างๆ กินกันบ่อยครั้ง เพราะมันร่มรื่นและกว้างขวางพอที่จะเล่นอะไรก็ได้ตามใจชอบ เผลอตาคนในบ้านทีไรเป็นต้องแอบพากันมาบ่อยๆ

“งั้นจีนพยุงนะ...เราไปพร้อมกันเลย”

“อืม...พี่ก็จะพยายาม เร็วเถอะเย็นมากแล้ว” สองพี่น้องรีบพยุงคลอกันเดินเขยกออกจากบริเวณนั้น กว่าจะถึงบ้านก็กินเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ต้องค่อยๆ เดินไปบ้าง นั่งพักไปบ้าง เพราะคนหนึ่งเจ็บและอีกคนก็ตัวเล็กเกินกว่าจะหอบหิ้วพี่สาวให้เดินฉิวไปได้

เมื่อถึงบ้านทุกคนต่างตกใจหน้าตาตื่น ที่เห็นสองพี่น้องออกมาจากด้านหลังตัวบ้านในสภาพมอมแมม เปื้อนดินเปื้อนทรายไปทั้งตัว แถมอีกคนยังเจ็บถึงขึ้นต้องหิ้วปีกกันกลับมา วีรกรรมในครั้งขึ้นต้นมะม่วงนั้นจบลงด้วยการทั้งคู่ถูกทำโทษหลังจากอาการบาดเจ็บของเธอหายดีแล้ว

ฉัตรชฎา...ออกรับแทนทั้งหมดด้วยเหตุผลว่า ‘พี่เจ็บมากแล้ว’ โดยการบอกกับทุกคนว่าเธออยากกินมะม่วงเลยชวนพี่สาวไปเก็บ แต่เพราะตัวเล็กกว่าพี่สาวต้องเป็นคนปีนขึ้นไปเก็บให้ และขอรับโทษเพียงผู้เดียว ส่วนกันต์ศิตางค์เองก็ออกตัวแย้งเช่นกัน

ทั้งคู่ต่างคิดรับความผิดทั้งหมดเอาไว้เองจนบิดาและมารดาต้องยอมยกโทษให้ เพราะเห็นแก่ความรักและความสามัคคีของสองพี่น้อง และหลังจากนั้นก็มีเรื่องราวซึ่งถูกเก็บเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจของเธออีกครั้งหนึ่ง เมื่อเธอหนีออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เพื่อเป็นการสละโสด เพราะทางบ้านไม่อนุญาตด้วยเป็นความเชื่อของคนสมัยก่อนว่า หญิงหรือชายที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน ควรจะระมัดระวังตัวให้มากๆ ไม่ควรออกไปไหน มาไหนโดยพลการไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุร้ายขึ้น

แต่ด้วยความคึกคะนอง และแรงยุจากเพื่อนฝูงเธอก็หาทางออกจากบ้านจนได้โดยความช่วยเหลือจากฉัตรชฎา ซึ่งเป็นคนเดียวในบ้านที่รับรู้ คืนนั้นเธอดื่มจนเมามาก ถึงขนาดเพื่อนๆ ต้องหามพากันไปเปิดโรงแรมนอนกว่าจะได้สติกลับมาถึงบ้านก็ปาเข้าไปเช้าเสียแล้ว และพบว่าทั้งบิดามารดากำลังรอสำเร็จโทษเธออยู่อย่างพร้อมหน้า

หญิงสาวไม่เคยนึกฝันว่าแค่การหนีออกไปเที่ยวจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต นำความเป็นห่วงกังวลใจมากมายให้คนในครอบครัวขนาดไหน จิตนารีนั้นถึงขนาดเป็นลมเพราะความเครียด และอดหลับอดนอนทั้งคืน ฉัตรชฎาก็มีบาดแผลเต็มตัวไปหมด เนื่องจากเป็นห่วงว่าพี่สาวจะถูกว่ากล่าว จึงขี่จักรยานออกไปตามหาจนเกิดอุบัติเหตุล้มลุกคลุกคลาน ส่วนชนชาติก็โมโหหน้าดำหน้าแดงถึงขั้นจะตีให้หลาบจำ แต่ศิลาภินก็ออกรับแทนว่าเขาไม่ดีเองที่ไม่อยู่ดูแล ถ้าจะทำโทษกันเขาก็ขอยอมรับแทนเธอเอง

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นหญิงสาวก็ให้สัญญากับทุกคนว่าจะไม่ทำตัวเหลวไหลให้ใครต้องเป็นห่วงจนเดือดเนื้อร้อนใจตามๆ กันอีก แต่หลังนั้นไม่นาน ทุกอย่าง...ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วจนถึงปัจจุบัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel