บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 ตอนที่ 2

“คืนนี้ย่าหยานอนกับพ่อนะครับ”

“น้องหยาจะหาแม่...” หนูน้อยรัดกอดร่างใหญ่ของเขาที่กำลังขับรถด้วยความไร้เดียงสา ศิลาภินสะอึกจุกอกไปชั่วขณะ

คุ้มขวัญยังเด็กนักยังไม่อาจเข้าใจถึงการสูญเสียนั้น แต่เด็กน้อยก็รู้ว่าตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมา แม่ของเธอไม่ได้อยู่เคียงข้างเหมือนอย่างเคย ความหวังของเธอคืออีกหน่อย...แม่ก็คงกลับมา

“แม่จีนเขาไม่อยู่กับเราแล้วลูก...ย่าหยาเข้มแข็งนะคะ พ่อสัญญาว่าจะดูแลลูกแทนแม่เขาเอง”

“แม่ไปไหน...น้องหยาหาจะแม่” คุ้มขวัญแหงนมองหน้าบิดาสุดที่รักอย่างเศร้าสร้อย

“แม่...แม่เขาไปสวรรค์จ้ะ คงอีกนานกว่าจะกลับ...แม่เขาไปทำงานนะย่าหยา” การโกหกเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี แต่วินาทีนี้จะให้เขาตัดรอนจิตใจบริสุทธิ์ดวงน้อย โดยการอธิบายถึงสิ่งที่เธอเพียรถามครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ดูจะโหดร้ายทารุณเกินไป

“น้องหยาเห็นรูปแม่...”

“หือ...รูปแม่ก็มีตั้งหลายใบนี่จ๊ะ ย่าหยาเห็นที่ไหน”

“ที่ที่เรามาเมื่อกี้ไงคะ ย่าหยาเห็นรูปใหญ่เลยมีดอกไม้เต็มเลยด้วย”

ศิลาภินนึกขึ้นได้ทันทีว่าเป็นที่ศาลาวัด รูปที่หนูน้อยเห็นก็คือรูปหน้าศพนั่นเอง แต่ด้วยความเยาว์วัยเธอจึงเอ่ยชื่อเรียกออกมาไม่ถูก

“เอ่อ...ที่นั่น...คือ...จริงๆ แล้วเราทุกคนก็ต้องมีวันหนึ่งที่จะต้องเอารูปไปไว้ตรงนั้น...ไม่มีใครหนีพ้นหรอกจ้ะ”

ชายหนุ่มพยายามอธิบายให้บุตรสาวฟัง ดูเหมือนทำให้เธอยิ่งจะสงสัย

“ทำไมคะ...”

“สักวันหนึ่งเมื่อลูกโตกว่านี้ลูกก็จะรู้ทุกอย่าง ตอนนี้ลูกยังเด็กอยู่มากบางสิ่งบางอย่างพ่ออธิบายยังไงแต่ลูกยังไม่เคยเจอไม่เคยเห็นกับตาฟังยังไงก็ไม่เข้าใจหรอก...รู้ไหมคะ”

“ค่ะ...แล้วอีกนานไหมคะกว่าแม่จะกลับ” แม้ไม่ร้องไห้โยเยเพราะมีคนคอยเอาใจใส่ดูและตลอด แต่ทุกคนก็รู้ว่าเด็กน้อยนั้นจิตใจจดจ่ออยู่กับการกลับมาของมารดาเธอทุกวัน แม้จะช่วยกันหลอกล่อเพียงใดแต่คุ้มขวัญก็หลงลืมไปชั่วขณะเท่านั้น พอนึกขึ้นได้เธอก็ถามหาแต่ฉัตรชฎาอยู่เสมอ “อีกไม่นานหรอกค่ะ...พ่อรับรองว่าย่าหยาจะต้องได้แม่มานอนกอดทุกคืนแน่ๆ” จริงๆ แล้วคำตอบนี้มันผุดขึ้นเมื่อใบหน้าของใครบางคนลอยเข้ามาในห้วงคำนึงของเขา ย่าหยาน้อยไม่อาจรู้เลยว่าบิดากำลังคิดอะไรอยู่ เธอยิ้มอย่างดีใจกับคำตอบว่าอีกไม่นาน…

เสียงรถที่แล่นเข้ามาในบ้านทำให้หญิงสาวที่กำลังเดินออกจากห้องน้ำชะงักฝีเท้า เธอมองไปยังนาฬิกาตรงฝาผนังเวลาเพิ่งจะสองทุ่มกว่าๆ เท่านั้น ทำไมบิดาและมารดาของเธอถึงได้กลับมาเสียแล้วล่ะ ก็ไหนบอกว่าจะรอฟังสวดพระอภิธรรมเสียก่อนแล้วค่อยกลับ หรือมีใครเกิดไม่สบายขึ้นมาอย่างกะทันหันหรือเปล่าถึงได้กลับมาก่อนเวลาอย่างนี้

ผ้าขนหนูสีชมพูอ่อนถูกยกขึ้นเช็ดขยี้ผมที่เปียกน้ำ และเดินออกไปจากห้องหวังจะออกไปพบบุพการี

กันต์ศิตางค์เดินลงบันไดด้วยชุดคลุมอาบน้ำและมีผ้าขนหนูรวบผมเอาไว้ลวกๆ บ้านทั้งหลังยังคงเงียบสนิทไม่มีใครอยู่นอกจากเธอ ทุกคนแม้แต่แม่บ้านหรือคนขับรถที่เพิ่งมาส่งต่างไปอยู่ช่วยในงานศพที่วัด ไฟหลายดวงเปิดสว่างให้บ้านดูไม่น่ากลัวนักแม้ต้องอยู่เพียงลำพัง

“นี่คุณ...เข้ามาได้ยังไงเนี่ย” เสียงแหลมปรี๊ดจากขั้นบันไดเรียกให้ชายหนุ่มที่อุ้มบุตรสาวไว้แนบอกแหงนหน้าขึ้นไปมอง

“พี่พาย่าหยามานอน...ย่าหยาง่วงแล้ว” ศิลาภินตอบเสียงเรียบใช้สรรพนามแทนตัวเหมือนเดิมหลังจากที่ไม่ได้ใช้มันมานานแล้ว เขาหลบสายตาจากร่างงามในชุดล่อแหลม แสงไฟที่สว่างโร่ทำให้สามารถเห็นเธออย่างชัดเจน “จะนอนก็ไปนอนที่อื่นสิ พากันมาที่นี่ทำไม”

“ย่าหยาอยู่ที่นี่...จะให้พี่พาไปไหนล่ะ”

“หมายความว่ายังไง...เด็กนั่น...”

“พี่จะพาย่าหยาไปนอนก่อน...สงสัยอะไรเราค่อยมาคุยกันทีหลัง ย่าหยาน่าสงสารมากพอแล้ว อย่าให้ต้องมารับรู้เรื่องอะไรที่สะเทือนใจเข้าไปอีกเลย พี่เป็นห่วงลูก”

ชายหนุ่มค่อนข้างไม่พอใจกับคำเรียกขานบุตรสาวที่ออกมาจากปากของกันต์ศิตางค์ เขารู้ว่าหากคุยกันต่อหญิงสาวจะต้องโยงเรื่องในอดีตมารื้อฟื้นและหนีไม่พ้นต้องพาดพิงถึงเด็กน้อยด้วยแน่ๆ จึงตอบเลี่ยงและอุ้มลูกสาวเดินขึ้นบันได สวนทางกับเธอไปยังห้องนอน

‘พี่เป็นห่วงลูก’ มันคือคำเดียวที่สะท้อนก้องอยู่ในหู แม้เจ้าของคำพูดจะเดินสวนขึ้นไปด้านบนและหายลับเข้าห้องอีกห้องนานแล้ว เด็กคนนั้นสินะ เป็นเพราะเด็กคนนั้นที่พรากเขาไปจากเธอ ดูศิลาภินจะรักและเอาใจใส่ลูกของเขามาก สังเกตได้จากที่เห็นตั้งแต่ในวัด เขาไม่ยอมอยู่ห่างกันเลย

แม้ฉัตรชฎาจะจากไปแล้วแต่น้องสาวต่างมารดาของเธอก็ยังทิ้งหอกแหลมๆ ไว้ค่อยแทงทิ่มไม่ยอมให้เธออยู่อย่างเป็นสุข

ทำไมนะ...หรือเธอเคยไปสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจอะไรให้ ฉัตรชฎาถึงจองล้างจองผลาญไม่ยอมเลิกรา แม้ตัวเองได้ลาโลกไปแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เธออยู่อย่างสงบสุขได้ ช่วงเวลาสี่ปี เธอหนี...หนีหัวใจ หนีไปจากความทรมานเพราะถูกหักหลัง แต่จวบจนวันนี้ความรู้สึกต่างๆ มันกลับไม่เคยบรรเทาลงเลยแม้แต่นิดเดียว ยังเจ็บปวด ยังทุกข์ทน ยังทรมานราวกับจมอยู่ ณ เวลานั้นตลอดเวลา มีใครไหมเข้าใจความรู้สึกนี้ มีใครไหมแยแสหัวใจที่บอบช้ำของเธอเลยแม้แต่น้อย

กันต์ศิตางค์ปาดน้ำตาที่คลอเบ้าและเริ่มจะปริ่มไหลออก รีบหันหลังจ้ำเดินขึ้นด้านบนและมุ่งเข้าห้องของตัวเองบ้าง ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูกนะที่กลับมา เธอก็แค่คิดถึงโหยหาบ้านเกิด อยากอยู่ในอ้อมกอดบิดามารดาเหมือนที่เคยอยู่ตั้งแต่เล็กแต่น้อย

ไม่มีใครรู้หรอกว่าการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในต่างบ้านต่างเมืองมันเหว่ว้าขนาดไหน โดยเฉพาะกับคนที่มีแผลใจช้ำหนักอย่างเธอ บอกได้คำเดียวเลยว่า....ทรมานเหลือเกิน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก “จีนัส...เปิดประตูให้พี่หน่อย”

เสียงจากด้านนอกตรงประตูเรียกร่างที่ฟุบอยู่บนที่นอนพยุงค่อยๆ พยุงตัวลุกนั่ง นี่เธอร้องไห้จนเผลอหลับไปเลยหรือ

“จีนัส...จีนัส...เปิดประตูหน่อย เป็นอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มเรียกซ้ำเมื่อการตอบรับคือความที่เงียบผิดปกติ

“มีอะไร...” กันต์ศิตางค์ร้องถามโดยไม่ยอมเปิดประตูให้

“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย...ไม่นาน”

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ...อีกอย่างฉันก็เหนื่อยมากอยากนอนแล้ว” คำตอบห้วนๆ ย้อนกลับอย่างไม่ใส่ใจ แม้ความอยากรู้อยากเห็นจะมีอยู่เต็มอกในหลายๆ เรื่องแต่การเปิดประตูพบเขาในยามวิกาลและตามลำพังอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอสมควรทำเลย อีกอย่างก็ได้เห็นหน้าพูดคุยกับเขาก็ยังเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากอยู่ “พี่รู้ว่าเธอไม่อยากเห็นหน้าพี่ ไม่อยากคุยกับพี่...แต่พี่มีเรื่องสำคัญจริงๆ จะพูดด้วยถ้ารอช้ามันจะสายเกินไป และเธอเองนั่นแหละที่จะเสียใจไปตลอดชีวิต”

“งั้นก็พูดมาเลยสิ...ไม่เปิดประตูก็คุยได้ฉันฟังรู้เรื่อง รีบพูดแล้วก็รีบไปซะฉันจะได้นอนซะที”

“โอเค...พี่ยอมเธอคุยตรงนี้ก็ได้ ไม่มีอะไรมากหรอกแค่มันเป็นเรื่องสำคัญที่เธอมีโอกาสทำในช่วงเวลาสี่วันนี้เท่านั้น ไม่มีใครบังคับหรอกจีนัสขึ้นอยู่กับว่า เธอจะตัดเรื่องในอดีต และพร้อมจะให้อภัยคนที่เขาจากไปแล้วได้แค่ไหนเท่านั้น”

“พูดมาเลยดีกว่าไม่ต้องพิรี้พิไร...ฉันบอกแล้วไงว่าง่วง...อยากนอน” หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดเมื่อเขาไม่ยอมเข้าเรื่องเสียที แถมยังพูดพาดพิงถึงใครบางคนที่จากไปชั่วนิรันดร์ให้ได้ยินอีกแล้ว

นี่ชีวิตเขาจะไม่มีวันลืมฉัตรชฎาเลยแม้สักวินาทีเลยหรือไร รู้ทั้งรู้ว่าได้ร่วมกันมอบความเจ็บปวดให้เธอหนักหนาสาหัสแค่ไหน ยังจะมาพรรณนาถึงให้เธอฟังอีกหรือ

“อีกสี่วันศพจีนก็จะถูกเผาแล้ว...พี่อยากให้เธอไปจุดธูปอโหสิกรรมให้จีน...”

“ไม่จำเป็น...ฉันอโหสิกรรมให้ไปตั้งนานแล้ว นี่หรือเรื่องที่บอกว่าถ้าฉันไม่ทำแล้วจะเสียใจไปตลอดชีวิต เสียใจด้วยนะคุณศิลาภินคุณคิดผิดแล้วมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีต่างหาก” หญิงสาวบอกข้ามผนังประตูด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ในส่วนลึกของหัวใจกันต์ศิตางค์ยอมรับแต่โดยดีว่ารู้สึกเสียใจ เศร้าและหดหู่กับการจากไปของน้องสาวต่างมารดาเหลือเกินแต่เธอก็เก็บมันเอาไว้สุดหัวใจเช่นกัน

จำได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตเธอผูกพันกันมาก รักกันมากแทบจะไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามีสายเลือดร่วมกันเพียงครึ่งเดียว ดูแลและเอาใจใส่กันเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมา แต่แล้วทุกอย่างก็มีพังทลายลงอย่างไม่เหลือแม้เศษซากความรู้สึกดีๆ คงมีแต่ความบาดหมางที่กินใจไปจนวันตราบวันสิ้นลม

“จากวันนั้นจนกระทั่งวันที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เรื่องเดียวที่จีนรู้สึกติดค้างมาตลอดคือเรื่องของเธอนะจีนัส จีนอยากขอโทษอยากให้เธอให้อภัยและกลับมาเหมือนเดิม...จีนรอเพื่ออยากเห็นหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้าย รอจนรอไม่ไหวและจากไปทั้งน้ำตา...จนวินาทีสุดท้ายจีนก็ยังเรียกหาเธอ...”

น้ำเสียงเริ่มอ่อนลงอย่างเจ็บแค้นตอนท้ายประโยค นั่นสร้างความเจ็บจุกให้คนฟังได้ไม่น้อย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเธอไม่ได้เป็นคนก่อ

“ขอบอกอีกครั้งว่าฉันอโหสิกรรมให้ไปนานแล้ว และทุกอย่างสำหรับฉัน มันจบไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนอย่ามาขอร้องให้ฉันทำอะไรที่ไม่อยากทำ อย่าบังคับให้ฉันลืมเรื่องทุกอย่างเหมือนคนมักง่ายที่ทนเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่รู้จักจำ...ฉันทำไม่ได้ ออ...ฉันจะนอนแล้ว”

สิ้นเสียงหวานๆ ชายหนุ่มยังได้ยินเสียงฝีเท้าเดินจากไปและค่อยๆ เบาลง เป็นคำตอบให้เขาได้เป็นอย่างดีว่าคงต้องผิดหวังกลับไป ใช่จะไม่รู้ ใช่จะไม่รู้สึกทุอย่างที่เกิดขึ้น แต่เขาก็แก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องช่วยพิสูจน์ความจริง

รักสามเส้าครั้งเมื่อสี่ปีก่อนจบลงด้วยความทุกข์ และไม่มีใครเคยได้สัมผัสกับคำว่าความสุขอีกเลยนับแต่นั้นมา กันต์ศิตางค์จะรู้บ้างไหมว่าคนที่เจ็บปวดไม่ได้มีเพียงเธอ และเธอ...ไม่ใช่คนที่ทุกข์ทรมานที่สุด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel