๗ ลูกสาวที่น่ารัก (๑)
๗
ลูกสาวที่น่ารัก
หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มที่เสื้อผ้าเปื้อนเลือดนั่งรออยู่บนเก้าอี้ด้วยใจจดจ่อ มือหนาประสานกันไว้บนหน้าตักแน่น ก้มหน้าลงพลางหลับตาคิดบทสวดที่ไม่ได้กล่าวมาหลายสิบปี
ในบัตรประชาชนเขาเขียนไว้ว่านับถือศาสนาพุทธเพื่อที่ยามเสียชีวิตจะได้นำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาได้ แต่ความจริงนั้นภูวิศไม่นับถือศาสนาใดเลย เชื่อว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทว่ายามเกิดเหตุการณ์ระหว่างความเป็นความตายของหญิงสาวอันเป็นที่รัก เขากลับภาวนาวิงวอนต่อพระพุทธเจ้า เทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็แล้วแต่ช่วยให้ดมิสาปลอดภัยทีเถิด
เลือดสีแดงสดไหลออกจากข้อมือเล็กแสนบอบบางจนเขากลัว กลัวว่าหล่อนจะจากตนเองไป
หากเธอฟื้นกลับมาครั้งนี้ ต่อให้ต้องห่างจากกันหรือปล่อยหล่อนเป็นอิสระ เขาก็ยอม...
“คุณเป็นญาติของคุณดมิสาใช่ไหมครับ” หมอเดินออกมาจากห้องแล้วถามคนที่นั่งรอด้วยความสั่นกลัว ร่างสูงผุดลุกขึ้นไปยืนตรงหน้าคุณหมอทันที
“ครับ”
“เธอปลอดภัยแล้วนะครับ เดี๋ยวหมอจะให้นอนโรงพยาบาลก่อนหนึ่งคืนพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้ครับ แล้วก็...” แพทย์เจ้าของไข้กำลังจะเอ่ยถึงเรื่องสำคัญทว่าโทรศัพท์กลับดังขึ้นก่อน พอเห็นว่าเป็นสายด่วนเรียกให้ไปผ่าตัดจึงได้รับคำทันที
“ดูแลคนเจ็บอย่างใกล้ชิดด้วยนะครับ หมอขอตัว” ภูวิศรับคำแล้วรออยู่หน้าห้องสักพัก รถเข็นที่มีคนรักนอนอยู่บนเตียงจึงได้ออกมา เขาตรงเข้าไปเกาะขอบเตียงทันที มองใบหน้าหวานซีดเซียวด้วยความสงสาร
ห้องวีไอพีถูกจองไว้พร้อมทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคตามที่เขาสั่งทุกอย่าง คนเจ็บยังนอนหลับใหลไม่ได้สติเนื่องจากยานอนหลับที่ได้รับเข้าไป ทั้งอาการอ่อนเพลียนั่นอีก พยาบาลเข้ามาตรวจก่อนจะหันมาคุยกับชายหนุ่ม
“เดี๋ยวดิฉันจะเข้ามาตรวจทุกสามชั่วโมงนะคะ คุณหมอคงบอกคุณแล้วว่าเธอกำลัง...” เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นขัดจังหวะ ร่างสูงค้อมศีรษะเดินออกไปคุยนอกระเบียงเพราะเป็นสายสำคัญจากนายตำรวจใหญ่
ดูเหมือนว่าการตายของเดชธรรมจะไม่สามารถเอาผิดใครได้เสียแล้ว ในเมื่อคนบงการใหญ่ระดับรัฐมนตรีมีอำนาจมากล้น สุดท้ายที่ทำได้คือการนำศพของชายหนุ่มไปประกอบพิธีทางพุทธศาสนา ภูวิศจึงเดินทางไปรับศพอยู่อีกโรงพยาบาลโดยให้พยาบาลดูแลดมิสา
ยาเริ่มหมดฤทธิ์และคนที่นอนหลับใหลลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกเจ็บที่ข้อมือ ภาพต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาจนจำทุกอย่างได้ หล่อนใช้ความกล้าหาญทั้งหมดเพื่อปลดพันธนาการที่คล้องเอาไว้ออก ไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า
คัตเตอร์ที่วางบนโต๊ะของเขาเธอแอบหยิบมาใช้ไม่ให้ชายหนุ่มรู้ตัว ยอมถึงขนาดจะสละชีวิตเพื่อขอแลกกับอิสรภาพ หวังว่าภูวิศคงไม่กักขังหล่อนไว้
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น เขาวางเหยือกน้ำไว้โต๊ะข้างเตียงค่อยเข้ามาจับมือข้างที่ไม่บาดเจ็บมากุมไว้แน่น ดวงตาคมมีน้ำใสคลอก่อนลูบศีรษะมน
“น้ำ” ไม่ได้ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารตั้งแต่เช้า เริ่มคอแห้งจึงได้ร้องขอน้ำเพื่อดับกระหาย ร่างสูงกุลีกุจอรินน้ำลงแก้วพลางประคองคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นนั่ง แทบจะป้อนถึงปากหากหล่อนไม่รับไปดื่มเองไม่สนใจเขาสักนิด
“ดีขึ้นไหม” รับแก้วเปล่าจากหล่อนแล้วนำไปวางไว้โต๊ะสูง ดมิสาไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่มองข้อมือของตนเองซึ่งมีผ้าพันแผลไว้
วินาทีที่ตัดสินใจเฉือนคมมีดลงบนเนื้อกายมันไม่เจ็บสักนิด ชาไปทั้งร่างกายจะค่อยทวีความปวดขึ้นทีละน้อย จนสุดท้ายหล่อนก็เลือกจนปิดการรับรู้แล้วหลับไปทันที ไม่อาจทนเห็นเลือดของตัวเองได้ รู้ทั้งรู้ว่ากลัวเลือดมากแค่ไหน
แต่ก็ยังจะเลือกวิธีนี้ เพราะมันจะทำให้กรงขังถูกเปิดออก และเธอสามารถโบยบินออกไปได้อย่างอิสระ
“ปล่อยฉันไปได้ไหม ฉันไม่อยากอยู่กับคุณแล้ว ฉันไม่อยากอยู่แล้วจริงๆ” เอ่ยเสียงเครือพร้อมปล่อยน้ำตาให้ไหลเปื้อนแก้ม บอกความต้องการของตนเองที่ภูวิศไม่อาจรับได้
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนลำคอแห้งผาก ยามมองแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของหล่อน ไหนจะประโยคที่แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการจะอยู่ใกล้กันอีก
“เรื่องของเรามันควรจบตั้งแต่ห้าปีก่อน คุณไม่น่ามารื้อฟื้นเลย ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่ต้องมาเจ็บอีก” เธอคงลืมเขาไปได้แล้ว เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างแท้จริงไม่ใช่เข้ามาอยู่ในวังวนเดิม ที่หาทางออกเท่าไหร่ก็ไม่เจอสักที
“เธอจะให้ฉันปล่อยเธอไปได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้ฉันต้องการเธอ” ก้าวเข้าไปจับมือเล็กมากุมเอาไว้ พร้อมบอกความในใจด้วยการจ้องเข้าไปในดวงตากลมโต อยากให้หล่อนรู้ถึงความรักที่เขามีให้ ทว่ามันอาจจะไม่สามารถเข้าไปถึงกลางใจได้
ดมิสามีปณิธานอันแน่วแน่ ว่าต้องการออกจากชีวิตภูวิศ
“แล้วคุณจะให้ฉันอยู่กับคุณทั้งๆ ที่ฉันคิดฆ่าตัวตายตลอดเวลาเหรอ คุณต้องการอย่างนั้นใช่ไหม คุณอยากให้ฉันตายจริงๆ ใช่ไหม” ระบายความอึดอัดที่อยู่ในใจ
“ฉันไม่อยากอยู่กับคุณแล้ว ฉันยอมตายดีกว่าถ้าได้อยู่บ้านเดียวกับฆาตกรที่ฆ่าพี่ชายตัวเอง” ถึงรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนฆ่า แต่สภาพก่อนหน้าของเดชธรรมบ่งบอกให้รู้ว่าร่างสูงใจร้ายกับอีกฝ่ายมากแค่ไหน
หล่อนต้องทนอยู่กับคนแบบนี้จริงเหรอ อยู่กับความหวาดระแวงและกินแหนงแคลงใจ แบบนี้จะเรียกว่าความรักได้อย่างไร
“ฉันไม่ได้ทำ” พูดเสียงอ่อน เสียใจที่เธอตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นคนผิด
“คุณปล่อยฉันไปเถอะนะ ปล่อยฉันไปเถอะ อย่าให้ฉันอยู่เหมือนตายทั้งเป็นเลย” อ้อนวอนเขาด้วยน้ำตานองหน้า ภูวิศเม้มปากแน่นพลางกลั้นน้ำตาจนดวงตาแดงก่ำ
“เธออยากไปจากฉันจริงเหรอ” สองดวงตาสบกัน ราวกับว่ากำลังค้นหาความรู้สึกจริงที่อยู่ใต้ก้นบึ้งหัวใจ
ดมิสามองตอบไม่หลบสายตา เธอไม่อยากไปจากเขา...
แต่การอยู่ด้วยกันทั้งที่ความรู้สึกตอนนี้มีเพียงความหวาดกลัว ระแวง ไม่เชื่อใจแล้วจะขับเคลื่อนความรักได้อย่างไร สู้ตัดความสัมพันธ์เสียตั้งแต่ตอนนี้จะไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็หลงเหลือภาพดีๆ ที่มีให้แก่กัน
“ค่ะ ฉันไม่อยากอยู่กับคุณ” ตอบกลับเสียงเรียบ ทำเอามือหนาที่กุมมือเธอไว้ค่อยปล่อยออกอย่างแผ่วเบา น้ำตาลูกผู้ชายไหลลงมาจนต้องรีบปาดออกทันที
เจ็บเหมือนครั้งที่โดนเธอหักอกไม่มีผิด แต่มันยิ่งรุนแรงกว่าในเมื่อสองถึงสามเดือนที่ผ่านมามีแต่ความทรงจำดีๆ สำหรับเขา ตื่นเช้าเห็นใบหน้าหวานข้างกาย มีอาหารจากฝีมือของหล่อนวางไว้เต็มโต๊ะ กลับบ้านได้เจอคนรักดูทีวีคอยท่า
เป็นภาพในฝันที่ต่อจากนี้คงไม่มีอีกแล้ว...
“ได้ ฉันจะปล่อยเธอไป” สิ้นคำนั้น เหมือนพันธนาการที่เคยร้อยรัดขาหล่อนได้หลุดออก เขาหมุนกายเดินออกจากห้องพักกว้างของโรงพยาบาล เปิดประตูและปิดลงเสียงเบา ร่างหนานั่งที่เก้าอี้หน้าห้องพลางยกมือขึ้นปิดใบหน้า ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเพื่อระบายความอัดแน่นในใจ
ไม่ต่างจากดมิสาที่สะอื้นจนตัวโยนหลังเขาออกจากห้อง หล่อนปิดปากร้องไห้ไม่ให้ใครได้ยินเสียง ใช่ว่าเธอจะแข็งแกร่งดังที่แสดงให้เขาได้เห็น หญิงสาวเจ็บปวดไม่แพ้กันที่ต้องเลือกเส้นทางนี้
จากกันเพื่อให้บาดแผลในใจได้ทุเลา และหากมีวาสนาร่วมกัน ก็คงได้พบกันอีกครั้งในวันข้างหน้า ที่ความเจ็บปวดได้จางหายไปแล้ว
ดวงตาคมลืมขึ้นในเช้าของวันใหม่ แสงแดดไม่อาจส่องเข้ามาได้ในเมื่อมีม่านหนาป้องกันเอาไว้ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งก่อนเหลียวมองนาฬิกาดิจิตอลซึ่งวางโต๊ะข้างหัวเตียง มันค่อนข้างเช้าและฟ้าข้างนอกยังไม่สว่างมากนัก แต่เขาก็เลือกจะลุกขึ้นไปเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกาย
ร่างสูงกำยำเดินออกจากบ้านหลังงามแล้ววิ่งตั้งแต่หน้าบ้านตนเองไปยังฟิตเนสของทางหมู่บ้านจัดสรร ใบหน้าคมเรียบนิ่งไม่บอกอารมณ์แต่กลับกระชากใจสาวที่ตื่นเช้ามาออกกำลังกาย บรรยากาศโดยรอบมีผู้คนเข้ามาใช้บริการประปราย
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเหงื่อออกเต็มแผ่นหลังกว้างก่อนเขาจะวิ่งกลับบ้านตนเอง เปิดประตูได้กลิ่นหอมของอาหารที่แม่บ้านเริ่มเตรียมวัตถุดิบ ขายาวก้าวขึ้นไปด้านบนก่อนจะเข้าห้องน้ำเพื่อชำระกาย
น้ำจากฝักบัวไหลรดร่างสูงจนเปียกชุ่ม ไออุ่นแผ่กระจายไปทั่วห้องจนเกิดเป็นฝ้า มือหนายันผนังเอาไว้คิดถึงความฝันเมื่อคืนที่ย้อนไปในอดีต
เมื่อ 7 ปีที่แล้ว...
เขาเกือบจะลืมเลือนมันไป แต่ภาพเหล่านั้นยังมาย้ำเตือนให้จดจำ หญิงสาวที่เดินจากไปทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล หล่อนต้องการเพียงกระเป๋าและโทรศัพท์ของตนเอง ส่วนพวกเสื้อผ้าหรือข้าวของที่ได้จากเขากลับไม่สนใจสักนิด ไปฟังสวดงานศพของเดชธรรมก่อนแยกย้ายกัน โดยไม่สามารถแก้ตัวใดๆ ได้ทั้งสิ้น
หญิงสาวตัดขาดการติดต่อ ปิดทุกช่องทางและหายสาบสูญไปจนเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันทันที ภูวิศต้องข่มใจไม่ตามหาหรือจ้างนักสืบ
สุดท้ายก็เก็บรักเอาไว้ภายในใจ...
“อังเคิล” เด็กน้อยในชุดนักเรียนของโรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้านวิ่งเข้ามาหาเขาพลางปีนมานั่งบนตัก จากที่เคยทำหน้าบึ้งตึงก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ยูไปส่งไอที่สคูลได้ไหม มัมไม่ว่าง” เด็กน้อยที่โดนบังคับให้พูดไทยเอ่ยอ้อนคุณลุงของตนเอง ถึงมารดาจะเพียรบอกและจ้างครูคนไทยมาสอนถึงบ้านแต่ก็ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่
วินเซนต์ คูเนอร์ เด็กชายลูกครึ่งอเมริกัน-ไทย โดยมีบิดาเป็นคนอเมริกันประกอบอาชีพเอกอัครราชทูตที่มาประจำการยังประเทศไทย ส่วนมารดาเป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ไทย ที่พูดไทยคล่องทั้งที่อาศัยอยู่ต่างประเทศมาโดยตลอด
หันมาเขี้ยวเข็นลูกชายตนเองบ้าง แต่เด็กน้อยก็ยังไม่ค่อยกล้าพูดสักเท่าไหร่ เวลาพูดผิดหรือสลับประโยคมักจะโดนคนอื่นหัวเราะและเพื่อนล้อเลียนเสมอ
“พี่ภูคะ ฝากไปส่งวินหน่อยนะ” หญิงสาวที่มีเลือดเอเชียครึ่งหนึ่งแต่รูปร่างหน้าตานั้นบ่งบอกว่าเป็นคนเอเชียร้อยเปอร์เซ็นเดินเข้ามาบอกพี่ชายต่างมารดา
หล่อนได้มารดาที่เป็นคนไทยมาเต็มๆ ทั้งรูปร่างบอบบาง ผมสีดำขลับ ดวงตาสีอัลมอนและจมูกเข้ารูปขนาดพอดี ไม่ได้โด่งมากเกินไป คนเป็นพี่ชายเสียมากกว่าที่ได้พ่อทั้งขนาดรูปร่าง และหน้าตาออกฝรั่งผสมไทยจนสามารถจับไปเป็นนายแบบหรือพระเอก
“ได้สิ” หล่อนยิ้มรับพลางวางกระเป๋าของลูกน้อยไว้บนเก้าอี้ เรียกวินเซนต์มาหาพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาค่อยเดินออกไปยังรถยนต์ที่ติดเครื่องรอ
“ไอไม่อยากไปสคูล” เมื่ออยู่กันสองคนจึงเอ่ยขึ้น คนตัวเล็กนั่งประจำที่ของตนเองแล้วพูดเสียงแผ่ว คุณลุงจึงหันไปมองใบหน้าเล็กที่ก้มลงมองมือตนเอง
“หิวข้าวไหม” จากที่แต่ก่อนพูดคุยภาษาอังกฤษก็โดนน้องสาวสั่งห้าม ให้พูดประโยคภาษาไทยแทนเพื่อลูกชายจะได้เรียนรู้
“กินแล้ว..คับ” ไม่ค่อยชินที่ต้องมีคำลงท้าย แต่ก็พยายามจะพูดให้คุ้นปาก เงยหน้าขึ้นมองคุณลุงแล้วกลับไปปีนป่ายขึ้นบนตักหนาอีกครั้ง
“ไอไม่ไปสคูลได้ไหม” ย้ายจากนิวยอร์กมากรุงเทพฯ ซึ่งแทบจะเรียกว่าอีกซีกโลก ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ยิ่งภูมิอากาศก็เหมือนคนละโลก เด็กน้อยปรับตัวไม่ค่อยได้ สัปดาห์แรกร้องไห้ตลอด ผ่านมาสองเดือนจึงดีขึ้นบ้าง
“ทำไมไม่อยากไป” ลูบศีรษะหลานแล้วถามเสียงนุ่มอย่างที่ไม่มีใครเคยได้รับจากเขา ระยะเวลาเจ็ดปีให้หลังภูวิศเหมือนเป็นอีกคน เก็บตัวมากขึ้น ทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาว่างให้ตนเอง ไม่คบหาใครจนบิดาเริ่มเป็นห่วง
“ไอโดนบูลลี่” ตอบเพียงเท่านั้นคนเป็นลุงก็หน้าขรึม คำว่าบูลลี่ค่อนข้างร้ายแรงในต่างประเทศ และหลานชายของตนก็ไม่เคยโดนมาก่อน
