๗ ลูกสาวที่น่ารัก (๒)
“ไปเล่าให้ลุงฟังบนรถ ตอนนี้จะสายแล้ว” อุ้มหนูน้อยแล้วหยิบกระเป๋ามาสะพายก่อนจะพาไปยังรถยนต์คันหรู หลานชายทำหน้าบึ้งแต่ก็ไม่ได้โวยวายหรือร้องไห้ ยอมนั่งบนคาร์ซีทโดยดีแล้วกอดกระเป๋าของตนเองไว้แน่น
“โดนรังแกยังไง เล่าให้ลุงฟังหน่อย” ค่อยเคลื่อนรถไปอย่างช้าๆ โรงเรียนไม่ได้อยู่ไกลบ้านเท่าไหร่ เพราะมารดาของเด็กน้อยอยากให้เรียนใกล้ๆ เหมือนตอนที่อยู่นิวยอร์ก จะได้ไม่เหนื่อยเวลานั่งรถไปกลับ
“ไอถูกเฟรนด์เอารองเท้าไปซ่อน ล้อคำพูด เวลาพูดผิดก็ลาฟ” พูดไปด้วยแล้วก็ทำหน้าสลด
“เขาหัวเราะเหรอ” ถามกลับซึ่งวินเซนต์ก็พยักหน้า
“ใช่ เขาหัวเราะ คับ” คนเป็นลุงนิ่งคิด มองหลานผ่านกระจกมองหลังแล้วจอดเทียบฟุตบาทก่อนเดินเข้าไปในโรงเรียน วินเซนต์จับมือผู้ใหญ่แน่น รู้สึกไม่อยากเข้าไปข้างในสักนิดแต่จะหันหลังวิ่งกลับก็คงโดนหัวเราะเยาะ
ตัดสินใจยกมือไหว้ครูหน้าโรงเรียนก่อนเข้าไปห้องของตนเอง เขากอดคุณลุงแล้วไปนั่งประจำที่ของตน ในขณะที่ร่างสูงจ้องหลานชายสักพัก กวาดสายตามองเด็กในห้องเห็นจับกลุ่มคุยแต่วินเซนต์เลือกจะนั่งคนเดียวเงียบๆ
สงสัยวันนี้คงต้องคุยกับน้องสาวอย่างจริงจังเสียแล้ว เขาไม่ค่อยมีเวลาจึงไม่รู้เกี่ยวกับโรงเรียนหลานชายมากนัก แม้บ้านจะอยู่ติดกันแต่การทำงานเกือบสิบสามชั่วโมงทำให้เขาพลาดที่จะทำกิจกรรมกับน้องเขย น้องสาวหรือหลานตัวเล็ก
“มาแย่งขนมคนอื่นได้ไง ทำแบบนี้เป็นเด็กไม่ดี” กำลังจะเดินออกนอกโรงเรียนก็หันไปตามเสียงของเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังดุเด็กผู้ชายที่แกล้งเพื่อน ขายาวหยุดยืนอยู่ที่เดิมพลางจ้องหนูน้อยแก้มกลมที่ใบหน้าเอาเรื่องเต็มที่
“เราเป็นเด็กดีนะ ฮือ คูคับ ชิชาว่าผม” วิ่งไปฟ้องครูทันที หญิงตัวเล็กกลับกอดอกจ้องด้วยแววตาหาเรื่องไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด
“เบสแกล้งหนูนาค่ะ หนูนากำลังกินขนมแต่เบสแย่งไป แย่งแรงจนขนมหกเลยค่ะ” เห็นครูเดินเข้ามาจึงอธิบายให้ฟังอย่างฉะฉาน ทำเอาชายหนุ่มที่ยืนมองถึงกับแปลกใจแทบไม่ละสายตาจากหนูน้อยกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ถึงได้ยกขึ้นมารับก่อนจะเดินไปยังรถของตนเอง ขับออกไปอย่างรวดเร็วด้วยมีงานด่วนเข้ามาไม่ทันตั้งตัวโดยมีใบหน้ากลมติดตาจะผ่านมาทั้งวันก็ไม่ลืมเสียที
โรงแรมนรินยา ค่อนข้างมีชื่อเสียงและอยู่ในระดับสี่ดาว ด้วยการนำสถาปัตยกรรมยุโรปมาผสมผสานกับไทย เน้นโทนสีทองและขาว ห้อยโคมไฟระย้าโถงกลางสว่างไสวไปทั่ว กลิ่นหอมของอโรมาที่เปิดทำให้บรรยากาศสดชื่นขึ้น ทว่าใบหน้าของพนักงานกลับแห้งเหี่ยวมองไปทางไหนก็ไม่เห็นลูกค้า
ช่วงนี้โรงแรมมีปัญหาจากการที่ผู้บริหารซึ่งมีสองขั้วอำนาจดิสเครดิตอีกฝ่าย ข่าวแพร่กระจายไปทั่วว่าเป็นโรงแรมผีสิง โรงแรมเต็มไปด้วยแมลงสาป ทั้งอาหารเน่าเสียทำให้ท้องร่วง พนักงานบริการแย่ ทุกอย่างถาโถมเข้ามาจนไม่มีลูกค้า
“กลับแล้วเหรอคะพี่มิ” ออกจากห้องทำงานก็เจอลูกน้องทักทาย หล่อนพยักหน้าให้เล็กน้อยค่อยแย้มริมฝีปาก
“จ้ะ เจอกันพรุ่งนี้” สะพายกระเป๋าแล้วเดินออกจากโรงแรมทันที หล่อนอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการแผนกต้อนรับฝ่ายหน้า ไม่ต้องเข้ากะเหมือนตอนที่มาทำงานใหม่ๆ
ดมิสา ตุลากุล หัวหน้าผู้ซึ่งเป็นที่เคารพยำเกรงของลูกน้อง ถึงแม้ใบหน้าจะเด็กแต่ก็ย่างเข้าสู่วัยสามสิบแล้ว ทุกคนรับรู้ว่าเธอมีลูกแต่ไม่อาจทราบว่าใครเป็นพ่อของเด็ก ไม่กล้าถามถึงเพราะจะโดนมองแรงกลับทันที
เธอทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างดีเยี่ยมถึงแม้ตอนแรกจะมีข่าวว่าได้ตำแหน่งมาจากการใช้เต้าไต่ แต่ความสามารถก็พิสูจน์ความจริงทุกอย่าง หญิงสาวมีฝีมือมากแค่ไหน
ก้าวออกไปโบกมอเตอร์ไซค์แล้วกลับบ้านขณะที่ตะวันเริ่มคล้อยต่ำ ดูนาฬิกาเป็นเวลาหกโมงลูกสาวน่าจะถึงบ้านแล้ว รถโรงเรียนมาส่งตั้งแต่ห้าโมงอาจจะไปอยู่บ้านของคุณป้าที่อยู่ข้างกัน ตอนที่มาอาศัยใหม่ๆ ไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกจึงฝากให้คนข้างบ้านเลี้ยง
คุณป้าก็แสนดีช่วยเลี้ยงดูลูกสาวจนเติบใหญ่เข้าเรียนชั้นประถมหนึ่ง เมื่อถึงหน้าบ้านหลังเล็กก็เห็นว่าไฟเปิดอยู่ ค่อยผลักรั้วออกแล้วปิดลงเสียงเบา เดินเข้าไปข้างในพอดีกับลูกสาวที่วิ่งออกมา
“แม่กลับมาแล้ว” โผเข้ากอดมารดาทันทีจนหล่อนตั้งตัวเกือบไม่ทัน ย่อกายลงกอดตอบพลางหอมแก้มนุ่มด้วยความเอ็นดู เด็กน้อยเปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นไปรเวท กลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากบ้านจนต้องพากันเดินเข้าไปข้างใน
เห็นป้าแย้มที่หล่อนฝากลูกสาวไว้ด้วยกำลังทอดกระดูกหมูพร้อมกับหุงข้าวสวยร้อนๆ ไว้คอยท่า ใบหน้าหวานยิ้มออกมาพลางเดินเข้าไปหาแล้วค่อยยกมือไหว้ยามท่านหันมอง
“มาพอดีเลย ป้าทำทอดกระดูกหมู แล้วก็ต้มยำกระดูกอ่อนไว้ให้” ป้าแย้มอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน อาศัยกับลูกสาวลูกชายอีกสามคนแต่คงไปทำงานยังไม่กลับ เหลือเพียงตายายสองคนที่ทำอาหารไว้คอยลูกๆ
ช่วงแรกที่กลับมาเมืองหลวงใหม่ๆ หลังไปอยู่กับยายที่ชนบท ค่อนข้างกังวลว่าใครจะดูแลลูก ดีที่ป้าแย้มเอ็นดูทั้งยังเอ่ยปากช่วยเลี้ยงเด็กน้อยให้ ทำเอาหล่อนโล่งอกนึกว่าต้องเสียเงินไปจ้างพี่เลี้ยงเสียแล้ว ทั้งที่เพิ่งซื้อที่ดินและกู้เงินมาสร้างบ้านแท้ๆ
“ป้าแย้มเอากลับไปกินที่บ้านด้วยนะคะ” เห็นทำอาหารไว้เต็มจึงเอ่ยปาก
“ไม่เป็นไร ไอ้เน่งมันได้กับข้าวจากงานแต่งเพื่อนตั้งเยอะ มีแต่ของน่ากินทั้งนั้น หนูกินข้าวกับลูกเถอะ ป้ากลับก่อนล่ะ” ปลดผ้ากันเปื้อนแล้วหันไปล้างมือ
“ขอบคุณมากนะคะป้าแย้ม” ยกมือไหว้พร้อมมอบเงินให้เป็นค่าตอบแทนที่ดูแลลูกเด็กน้อยอย่างดี
“จ้ะ เดี๋ยวยายมาใหม่นะลูก” แต่ก่อนเคยปฏิเสธไปหลายครั้งว่ามาช่วยเลี้ยงเพราะเหงา ทว่าหญิงสาวก็ยังจะเอาเงินให้จึงคร้านจะเถียง จำต้องรับไว้ตามความประสงค์เจ้าของบ้าน
“คุณยายสวัสดีค่ะ” นั่งทำการบ้านอยู่โต๊ะญี่ปุ่นก็ลุกขึ้นไหว้อย่างสวยงาม ป้าแย้มเอ็นดูหลานสาวคนนี้นักจนต้องเข้าไปกอดหอมเป็นประจำ เลี้ยงดูมาตั้งแต่สามขวบ ช่างพูดช่างเจรจาจนตอนนี้ขึ้นชั้นประถมแล้ว
นางอยากมีหลานแต่ลูกๆ ก็ไม่แต่งงานเสียที เอาแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่เจอคนถูกใจจนต้องเลี้ยงลูกคนอื่นไปพลางๆ
“ชิชาเดี๋ยวแม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเรามากินข้าวเย็นกันนะ”
“ค่ะ!” ตอบเสียงดังฉะฉาน แล้วก้มหน้าทำการบ้านต่อ
เด็กหญิงมนสิชา ตุลากุล ศึกษาอยู่โรงเรียนรัฐบาลห่างจากบ้านพอสมควร แต่ก็ดีกว่าให้ลูกอยู่โรงเรียนวัดใกล้บ้านที่สภาพแวดล้อมไม่ค่อยดีนัก อาจเสียเงินจ่ายค่าเดินทางอย่างรถโรงเรียนสำหรับรับ-ส่ง ซึ่งหล่อนคิดว่ามันค่อนข้างคุ้มค่า
เดินไปยังห้องนอนของตนเองกับลูกสาวที่เป็นเตียงขนาดกว้าง ดีที่ลูกไม่ได้นอนดิ้น หลับอย่างไรตื่นเช้ามาก็ยังอยู่ในท่านั้นจนหล่อนกลัวว่ามนสิชาจะนอนไม่สบาย
เปลี่ยนเสื้อเชิ้ตเป็นเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงขาสั้น ปล่อยผมที่มัดรวบให้ยาวกลางแผ่นหลัง ค่อยลบเครื่องสำอางออกแล้วล้างหน้าด้วยโฟมให้สดชื่น หลังจากนั้นจึงออกมายังห้องครัว
“มากินข้าวได้แล้วลูก” ชะโงกหน้าไปเรียกลูกสาวที่ยังนั่งระบายสี ได้ยินอย่างนั้นก็ลุกขึ้นรวดเร็วพลางชูมือขึ้นทั้งสองข้าง
“เย้ๆ กินข้าว” ชอบเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้รับประทานอาหาร ยิ่งเป็นกระดูกหมูทอดของโปรดหรือไก่ทอดกรอบก็จะยิ่งเพิ่มความเจริญอาหารยิ่งขึ้น
ฝีมือของยายแย้มอร่อยจนต้องยกนิ้วให้ เด็กน้อยช่วยแม่คดข้าวใส่จานก่อนนั่งประจำที่ของตนเอง รับประทานอาหารเย็นอย่างเอร็ดอร่อยทำเอาคนมองต้องอมยิ้ม ยื่นมือไปหยิบเม็ดข้าวซึ่งติดข้างแก้มออกให้บุตรสาว
“ค่อยกินก็ได้ลูก เดี๋ยวข้าวก็ติดคอ” มนสิชายิ้มรับค่อยลดความเร็วลง หยิบกระดูกหมูมากัดพร้อมตักข้าวใส่ปาก ทำหน้าอร่อยจนดมิสาหลุดหัวเราะ ที่จริงช่วงเย็นเธอไม่ค่อยรับประทานอาหารแต่พอมีลูกสาวก็เปลี่ยนทันที
การกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้รักกันมากขึ้น หากว่างก็ไม่พลาดจะทำอาหารหรือกิจกรรมร่วมกับลูกสาว ทำให้ตอนนี้เป็นเหมือนเพื่อน พี่น้อง มากกว่าแม่ลูกเสียอีก
หลังรับประทานอาหารเย็นก็บอกลูกไปทำการบ้าน หล่อนจัดการล้างจานแล้วเปิดตู้เย็นนำองุ่นไร้เมล็ดกับส้มมาปอกเปลือก แกะใยออกแล้ววางในจานอย่างสวยงาม นำไปให้ลูกสาวที่ขะมักเขม้นในการคำนวณคณิตศาสตร์
“มีการบ้านวิชาอะไรบ้างลูก” นั่งลงข้างๆ พลางเอ่ยถาม
“ศิลปะค่ะ แต่หนูทำเสร็จแล้ว ละก็คณิต ภาษาไทย” พูดถึงวิชาที่ยังไม่ทำก่อนจะหันไปคิดเลข ยกมือขึ้นมานับแล้วค่อยเขียนคำตอบลงไป
“ให้แม่ช่วยไหม” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นพลางส่ายไปมาจนผมหางม้าปลิวตามแรง
“ไม่ค่ะ หนูจะทำเอง หนูทำได้” บอกอย่างแน่วแน่ค่อยก้มลงทำการบ้านด้วยความตั้งใจ ดมิสาเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มมีความสุข ลูกคือน้ำทิพย์ช่วยชโลมจิตใจที่เคยแห้งแล้งของหล่อน
เด็กหญิงมนสิชาเกิดมาด้วยความรักของแม่ ลืมตาดูโลกก็มีเพียงแม่และยายเท่านั้น เคยถามถึงพ่อบ้างแต่หลังจากเห็นมารดาร้องไห้ก็ไม่พูดถึงอีกเลย เวลามีคนมาล้อก็มักจะบอกว่าพ่อไปเที่ยว พ่อหาเงินมาให้ใช้เยอะๆ คนพวกนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจ
เห็นตัวเล็กแบบนี้แต่ค่อนข้างมีความคิดความอ่านพอสมควร และแก่นแก้วจนหล่อนปวดหัว มักมีคำถามกลับยามที่สั่งห้ามไม่ให้ทำในสิ่งที่อยากทำ ต้องอธิบายด้วยเหตุและผลถึงได้ยอมรามือ
ร่างบางลุกขึ้นไปหยิบงานมานั่งทำบ้าง ช่วงนี้ต้องจัดกะของพนักงานใหม่ ไหนจะเงินเดือน ค่าโอทีและอื่นๆ อีก ซึ่งบอร์ดบริหารยังไม่ส่งเรื่องมาให้ด้วยซ้ำ อาจด้วยเบื้องบนค่อนข้างระอุเพราะต้องการแก่งแย่งอำนาจ
โรงแรมก็เริ่มจะสูญเม็ดเงินไปตามข่าวลือ ไม่รู้ว่าจะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนได้หรือเปล่า บางทีอาจจะต้องหางานใหม่...
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” น้องสาวต่างมารดาเข้ามาภายในบ้านของพี่ชาย พวกเขาอยู่บ้านจัดสรรที่พื้นที่ค่อนข้างกว้าง มีประตูเชื่อมหากันเพื่อความสะดวก หลานตัวน้อยมักจะมาคลุกอยู่บ้านของคุณลุงมากกว่านั่งเล่นบ้านตนเอง
ร่างสูงนั่งลงบนโซฟาที่ห้องรับแขก พลางยกน้ำขึ้นดื่มแล้วจ้องใบหน้าหวานซึ่งถอดแบบมารดาออกมาไม่ผิดเพี้ยน ดีที่จิตใจไม่แข็งกระด้างเหมือนกัน
“พี่อยากให้วินเซนต์ไปเรียนเอกชน” ไม่เคยก้าวก่ายหล่อนสักครั้งเรื่องการเลี้ยงลูก แต่ครั้งนี้คงต้องขอพูดบ้าง
เอลลี่ คูเนอร์ ภริยาของนักการทูตอีกทั้งฐานะทางบ้านก็อยู่ในขั้นมหาเศรษฐี ถูกเลี้ยงมาอย่างดีเพราะเป็นคุณหนูคนเดียวของบ้าน ทุกคนมักตามใจจนติดนิสัย ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของใคร เอาตนเองเป็นใหญ่แม้กระทั่งสามีก็ต้องยอมให้ จะมีก็แต่พี่ชายที่เธอยอมฟังและทำตามเขาบ้าง...ในบางเรื่องเท่านั้น
“ทำไมคะ” เขายื่นเอกสารต่างๆ ให้น้องสาว เป็นเรื่องที่ให้นักสืบไปตามดูชีวิตแต่ละวันของหลานชายหนึ่งสัปดาห์
พบว่าวินเซนต์ถูกเพื่อนรังแกโดยไม่สามารถต่อสู้ได้ อาจเพราะเป็นฝรั่งแปลกตาสำหรับเด็กทั่วไป ทั้งคำพูดซึ่งติดเป็นไทยคำอังกฤษคำ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบเนื่องจากเป็นเด็กขี้อาย สร้างความไม่ชอบใจให้เด็กคนอื่นในโรงเรียน
ถูกแกล้งตั้งแต่ในห้องเรียนยันนอกห้อง คุณครูช่วยอะไรไม่ค่อยได้ เรียกคนที่รังแกมาทำโทษก็ยิ่งโดนหนักกว่าเดิม เขาไม่อาจทนเห็นหลานชายถูกเด็กคนอื่นกระทำได้อีกต่อไปแล้ว
“โอ้มายก็อด ย้ายค่ะ! ไอจะย้ายวินเซนต์” โกรธหน้าดำหน้าแดง ไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกน้อยจะถูกรังแก เมื่อเห็นภาพต่างๆ ก็คิดว่าจะไปเอาเรื่องโรงเรียนให้ถึงที่สุด บังอาจมาทำลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อน
ได้เจอดีแน่!
“เดี๋ยวพี่จัดการเอง พรุ่งนี้เธอต้องไปงานกับอัลไม่ใช่เหรอ” กล่าวถึงอัลเบิร์ต คูเนอร์ เอกอัครราชทูตที่มาประจำการยังกรุงเทพฯ
“จริงด้วย ฝากพี่ภูแล้วกันนะคะ” ชายหนุ่มรับคำทันที ตัดสินใจว่าจะไปคุยเรื่องนี้กับทางโรงเรียนอยู่แล้ว ไม่ต้องการให้วินเซนต์อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นอีก
พรุ่งนี้คงต้องลางานหรือไม่ก็เลิกงานเร็วเพื่อไปจัดการธุระเรื่องนี้ให้เสร็จ..
