บท
ตั้งค่า

๖ แยกทาง (๑)

แยกทาง

ภูวิศสังเกตได้ว่าหญิงสาวแปลกไป กลายเป็นคนเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ไม่แย้งถึงเขาจะพยายามกวนประสาทมากแค่ไหนก็ตาม กลับทำเพียงยิ้มเล็กน้อยและไม่ขัดขืนสักนิด อาจจะเป็นเพราะหล่อนอยู่ในช่วงประจำเดือนอารมณ์เลยไม่คงที่หรือเปล่า

ได้แต่สงสัยทว่าไม่กล้าถามอะไร แม้กระทั่งบนโต๊ะอาหารที่เคยมีเสียงพูดคุยก็เงียบเชียบราวนั่งคนเดียว เงยขึ้นมองคนตรงข้ามเธอก็เอาแต่ตักข้าวเข้าปาก แบ่งเขตอย่างชัดเจนจนรับรู้ถึงบรรยากาศแสนอึมครึม

“อยากออกไปข้างนอกไหม” คนทนไม่ไหวคือเจ้าของบ้าน ไม่อยากเห็นดวงตากลมโตที่เคยมีชีวิตชีวาต้องแห้งเหี่ยว อยากเรียกคืนความสดใสแก่หล่อนถึงรู้ว่ามันอาจจะยากสักหน่อยก็ตาม เขาไม่ใช่ความสุขของดมิสาอีกต่อไปแล้ว

และเป็นตนเองที่เลือกเส้นทางนี้...

“ไม่กลัวฉันหนีหรือไง” เห็นปกติไม่อนุญาตแม้กระทั่งเดินไปหน้ารั้ว คราวนี้แปลกที่จะพาออกไปข้างนอก

“ฉันไปด้วยเธอจะหนีได้ยังไง ไปกันเถอะ” ยกน้ำขึ้นดื่มยังไม่เสร็จด้วยซ้ำมือเล็กก็ถูกเขาคว้าแล้วดึงให้ลุกขึ้นเดินตามไปข้างนอก

ตรงไปยังรถซีดานสีเข้มไม่ลืมเปิดประตูข้างคนขับให้หล่อน ส่วนตนเองก็อ้อมไปอีกทางค่อยเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ดมิสาแอบอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อคิดว่าตนเองจะได้ออกจากกรงขังสักที ถึงจะเป็นเวลาเพียงแปบเดียวก็ตามที

ขอออกไปเห็นแสงสีหรือรถราข้างนอกบ้างเถอะ ถูกขังให้อยู่เพียงบ้านซึ่งหันไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้และผู้ติดตามจนชินตาก็รู้สึกเบื่อ หมดอาลัยตายอยากในชีวิตจนเผลอคิดว่าหากตายไปก็คงจะดี

“เราจะไปไหนกัน” เห็นเขาขับมาเรื่อยจึงเอ่ยถามขึ้น ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ตอบแล่นรถตามทางที่มีแสงไฟสาดส่อง กระทั่งออกจากเขตชานเมืองเข้าอีกจังหวัด ดวงตากลมโตเหม่อมองบรรยากาศข้างนอกพลันหันมาถามเขา

“เปิดกระจกได้ไหม” ไม่ตอบด้วยคำพูดทว่ากระจกก็ค่อยเลื่อนลงอย่างช้าๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มเผยรอยยิ้มออกมาก่อนเอนศีรษะพิงตรงประตูพลางหลับตาลงช้าๆ

สายลมพัดผ่านหอบเอากลิ่นอายดินให้ได้สูดเข้าปอด เพิ่งได้สัมผัสคำว่าอิสระในรอบสามเดือนที่ผ่านมา แต่ก็ใช่ว่ามันจะมีเพียงความทุกข์ ในเมื่อบางครั้งที่อยู่กับภูวิศใจกลับมีความสุข มันเต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับเขาอีกครั้ง

เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อห้าปีก่อนที่คบกัน พี่ภูที่ปากแข็งแต่แสนใจดีอ่อนโยน ยอมทำตามคำขอของหล่อนทุกอย่าง และชอบหาเศษหาเลยกับแฟนสาวเสียเหลือเกิน หลับตาลงก็เห็นภาพเหล่านั้นจนเผลอปล่อยน้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงใบหน้า

ไม่ต้องเช็ดน้ำสีใสมันก็ถูกลมพัดหายไปเสียแล้ว อยากให้ความโศกเศร้าของเธอถูกพัดไปเหมือนน้ำตา

คำตอบของชายหนุ่มที่บอกวันนั้นยังเด่นชัด มันคือคำปฏิเสธในการเริ่มต้น เขาไม่ต้องการที่จะสานสัมพันธ์กับเธอมากไปกว่านี้แล้ว อย่างมากก็แค่ตัวประกัน เครื่องมือแก้แค้น ที่ระบายอารมณ์ ตุ๊กตาไร้ชีวิต นั่นใช่ไหมที่เขาให้หล่อนเป็น

เจ็บจนพูดไม่ออก หัวใจเหมือนถูกแทงด้วยเข็มซ้ำๆ นับพันเล่ม เมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากวงจรนี้สักที ทั้งที่ลืมได้แล้วแท้ๆ เขาจะกลับเข้ามาอีกทำไม

กลับมาสร้างความทรงจำที่ยากจะลืมอีกทำไมกัน...

ดวงหน้าคมผินมองคนข้างกายเห็นหล่อนเหม่อลอยก็ค่อยเอื้อมมือไปหวังลูบศีรษะมน กระทั่งหยุดชะงักเมื่อคิดว่าหากทำเช่นนี้จะเป็นการให้ความหวังหรือเปล่า จะยิ่งผูกพันมากกว่าเดิมไหม คิดดังนั้นจึงลดมือมาจับพวงมาลัยเช่นเดิม

ทำไมความสัมพันธ์ของเขากับเธอมันยากเย็นขนาดนี้

ถ้าวันนั้นดมิสาไม่นอกใจ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น...

สุดท้ายคนผิดก็ยังเป็นเธออยู่ดี

รถยนต์จอดลงริมชายหาดที่ผู้คนบางตา เขาเปิดประตูรับลมข้างนอก มองไปยังเบื้องหน้าที่มืดสนิท เห็นดวงจันทร์ที่สะท้อนบนผืนน้ำกว้างใหญ่ สายลมพัดผ่านกายจนรู้สึกหนาว พอหันไปมองหญิงสาวซึ่งนั่งข้างกันเห็นว่าหล่อนชันเข่าขึ้นกอดตนเอง

“หนาวไหม” เอ่ยขึ้นขณะเสียสละเสื้อนอกของตัวเองให้หล่อน ดวงตากลมโตลืมขึ้นแล้วมองใบหน้าคมนิ่ง

“อย่าทำแบบนี้เลย เลิกทำเหมือนให้ความหวังกันสักทีถ้าสุดท้ายคุณจะเขี่ยฉันทิ้ง” หล่อนรวบเสื้อเขาแล้วคืนเจ้าของพลางเปิดประตูออกไปข้างนอก ค่อยก้าวอย่างช้าๆ แล้วนั่งลงบนพื้นทรายที่เบื้องหน้าเป็นทะเลแสนเวิ้งว้าง

รอบข้างเงียบสนิทเสียจนหดหู่ นึกว่าตนเองอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้กระทั่งได้รับรู้ถึงความอบอุ่นจากเสื้อหนาที่คลุมกายหล่อนอย่างแผ่วเบา

“คลุมไว้ อากาศหนาวเดี๋ยวจะไม่สบาย” ข้างกายเคยว่างก็ถูกแทนที่ด้วยร่างสูงซึ่งมาด้วยกัน เขาไม่ได้มองเธอเพราะดวงตาจ้องไปยังดวงจันทร์ที่อยู่บนผืนน้ำ

“จันทร์ที่อยู่บนผืนน้ำ ต่อให้อยากได้มากแค่ไหนก็เอามาครอบครองไม่ได้หรอก รู้ไหมว่าทำไม...เพราะมันเป็นแค่เงาสะท้อน เป็นภาพลวงตาไงล่ะ”

เหมือนความรักของพวกเขา ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ก็ไม่อาจจะครอบครองไว้ได้ สุดท้ายก็ต้องเสียมันไปอยู่ดี

ภูวิศกำลังบอกให้เธอตัดใจใช่ไหม เขากล้าพูดได้อย่างไรในเมื่อตัวเองเป็นคนกักขังเธอเอาไว้ แล้วอย่างนี้จะใช้ความสามารถที่ไหนตัดชายหนุ่มออกไปได้

อีกไม่นานหรอก...เดี๋ยวก็เป็นอิสระแล้ว

ทนหน่อยนะมิ อดทนเอาไว้ก่อน

เช้าวันต่อมาชายหนุ่มขับรถกลับบ้านตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสาง เมื่อคืนพวกเขานอนอยู่บนรถยนต์ ทอดอารมณ์ไปตามเสียงคลื่นสาดซัด ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกเหมือนว่าจมอยู่ในความคิดของตนเอง ประตูรั้วเปิดออกอัตโนมัติ และเมื่อรถจอดสนิทเธอก็รีบเปิดประตูเดินเข้าบ้านทันที

ดวงหน้าหวานเรียบสนิทในขณะที่ชายหนุ่มเองก็มีสีหน้าอ่อนล้าไม่ต่างกัน พุ่งเข้าห้องน้ำแล้วอาเจียนออกจนแทบไม่เหลืออะไรในท้อง ค่อยลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาก่อนขึ้นไปบนห้องนอน หยิบเสื้อผ้าออกมาแล้วไปชำระกายที่ห้องข้างๆ เพราะหญิงสาวใช้ห้องน้ำ

“สวัสดีครับ ว่างครับ ได้ครับ ครับ” รับโทรศัพท์จากสายสำคัญ และเมื่ออีกฝ่ายเข้าเรื่องเขาก็ตอบกลับทันที มันเป็นเรื่องสำคัญที่ครุ่นคิดมาทั้งคืนว่าควรเอาอย่างไรต่อไปกับชีวิต

การนำเดชธรรมมาทรมานเช่นนี้มันนานพอที่อีกฝ่ายจะจดจำความเจ็บปวดได้แล้ว ต่อจากนี้คงส่งให้ดำเนินการทางกฎหมาย โดยมีคนช่วยคือท่านผู้กำกับของสถานีตำรวจนครบาลที่อีกฝ่ายสังกัดอยู่ โทษทางวินัยคงโดนไม่น้อย

หากไม่เข้าคุกก็โดนให้ออกจากราชการ แต่ถ้าแค่ถูกย้ายให้ไปประจำสน.อื่นเขาไม่ยอมแน่

แต่งตัวออกมาจากห้องน้ำ เดินลงข้างล่างทันเห็นร่างบางทำกำลังขะมักเขม้นกับการทำอาหารเช้า หล่อนสวมใส่ชุดเดรสที่เขาซื้อให้ สวยหวานน่ารักช่างเหมาะกับใบหน้าราวเทพธิดานั่นเหลือเกิน หากให้เลือกเองดมิสาคงเมินชุดแบบนี้ และใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์แทน

“ทำไมไม่พักผ่อน” หน้าสวยไร้เครื่องสำอางแต่ยังดูงดงามจนไม่อาจละสายตาได้ เสียแต่ว่าไร้ซึ่งรอยยิ้มจนดูเหมือนคนไม่มีชีวิตชีวา

“ฉันหิว” ถึงจะบอกแบบนั้นแต่รู้ดีว่าหล่อนเป็นห่วงเขา ดมิสาเห็นว่าอาหารเช้าสำคัญที่สุด หากไม่ได้กินสมองจะตื้อไปทั้งวัน จึงลงมาทำข้าวเช้าให้ภูวิศทุกวัน

เมนูวันนี้คือออมเล็ทและขนมปังปิ้งพร้อมกาแฟดำที่เขาชอบนักหนา ทว่าหล่อนไม่แม้แต่จะแตะต้องเพราะมันขมเสียเหลือเกิน วางอาหารไว้ตรงหน้าร่างสูงก่อนจะเดินเลี่ยงไปเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ค่อยออกมานั่งรับประทานข้าวเช้าด้วยกัน

หล่อนเลือกรับประทานข้าวผัดที่อุดมไปด้วยพืชผักนานาชนิด ไม่มีใครพูดอะไรและหญิงสาวเองก็เลือกจะเงียบ จนเจ้าของบ้านกินข้าวเช้าหมดเกลี้ยงจึงได้หยิบผ้าขึ้นเช็ดริมฝีปาก แล้วเอ่ยพอให้ได้ยินกันสองคน

“คืนนี้ฉันกลับดึก ไม่ต้องรอกินข้าวเย็นนะ” ร่างบางพยักหน้าเข้าใจ

ถึงอยากจะรอกินข้าวเย็นมากแค่ไหนก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะหล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะหนีให้พ้นจากกรงขังในวันนี้

เงยหน้ามองใบหน้าคมราวต้องการซึมซับช่วงเวลาสุดท้ายให้มากที่สุด ก่อนที่จะจากกันไปโดยไม่ได้เอ่ยคำล่ำลา ดูเหมือนว่าภูวิศจะไม่เอะใจสักนิด เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ค่อยจัดสูทให้เข้าทรงแล้วเดินออกจากห้องรับประทานอาหารเพื่อทำงานสำคัญ

ดวงตากลมโตหลับลง ปล่อยน้ำสีใสให้ไหลออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะปาดมันออกพลางสูดลมหายใจเข้าปอด ถ้าเธอไม่ทำอะไรสักอย่างก็คงต้องอยู่แบบนี้ไปตลอด ซึ่งรังแต่จะสร้างบาดแผลให้ตัวเองเสียเปล่า ฉะนั้นการหนีออกจากกรงขังแห่งนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ค่อยลูบหน้าท้องแบนราบซึ่งมีเด็กน้อยค่อยเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ

ช่วงเที่ยงของวันเธอทำอาหารให้ผู้ติดตามซึ่งเฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ ของบ้านได้กินอย่างอิ่มท้อง ไม่มีใครเอะใจสักนิดว่านอกจากกับข้าวที่แสนอร่อยแล้ว หล่อนยังมีแผนแยบยลที่จะหนีออกจากบ้านหลังนี้ด้วย

ดมิสาทำข้าวเที่ยงมาให้กินทุกวันจนคุ้นในรสมือแสนอร่อย หลายครั้งที่นั่งล้อมวงรับประทานอาหารด้วยกัน วันนี้ก็ไม่แตกต่าง หนุ่มร่างสูงนับสิบกินข้าวด้วยความเอร็ดอร่อยโดยหญิงสาวเติมให้ไม่ขาด

หลังจากนั้นจึงเก็บจานไปล้าง ทำทุกอย่างเหมือนปกติ จนกระทั่งเห็นชายหนุ่มหลายคนเริ่มง่วง บ้างแอบไปหลับในห้องน้ำ บ้างนั่งลงบนพื้นเอากายพิงผนัง แม้กระทั่งเสกสรรที่เป็นหัวหน้าผู้รักษาความปลอดภัยก็ออกอาการอย่างเห็นได้ชัด

และเมื่อฝืนไม่ไหวจึงได้คิดว่าของีบสักพักแล้วกัน ร่างสูงทรุดนั่งลงกับพื้น ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปในอวกาศเคว้งขว้าง

และทำให้ร่างบางซึ่งมองเหตุการณ์ทุกอย่างยิ้มออก หล่อนเข้าไปค้นตัวเสกสรรเพื่อหากุญแจที่กักขังอิสรภาพพี่ชายตนเองเอาไว้ ไม่นานก็เจอจึงรีบไปยังโกดัง ค่อยเปิดประตูเสียงเบาเห็นเดชธรรมนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม

สงสารจับใจไม่คิดว่าคนที่เคยดูแลตัวเองอย่างดีตลอดเวลา ส่งยิ้มให้เธอเสมอต้องมาพบชะตากรรมเช่นนี้ ทว่าจะโทษภูวิศฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกในเมื่อพี่ชายของหล่อนก่อคดีเอาไว้ จนนำภัยสู่ตัวเองแท้ๆ เลย

“มิ ช่วยด้วย” เงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นแสงสว่าง เอ่ยน้ำเสียงแหบแห้ง ดวงตาแสดงความเหนื่อยล้า ทั้งท่าทีอ่อนแรงจนต้องเข้าไปปลดโซ่ตรวนออกจากขาและแขนของอีกฝ่าย แกะเชือกที่มัดตัวติดกับเก้าอี้ออกจนร่างสูงเป็นอิสระ

“เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะค่ะ ก่อนที่เขาจะกลับมา” ช่วงบ่ายแสงแดดร้อนแรงแผดเผา เป็นจุดสังเกตได้ง่าย แต่หล่อนกลับเลือกช่วงเวลานี้เพื่อหนีออกจากบ้านที่ห่างไกลผู้คน

จากบ้านไปหน้าปากซอยไม่น่าจะเกินเจ็ดร้อยเมตร ถ้าเดินไปก็น่าจะไหวอยู่ ส่วนข้าวของต่างๆ ทั้งกระเป๋าเงินและเครื่องมือสื่อสารเธอไม่อาจทราบว่าภูวิศเก็บไว้ไหนจะทิ้งมันไว้ที่นี่ เงินติดตัวมีแค่หนึ่งพันซึ่งเอามาจากกระเป๋าสตางค์ของเสกสรรเมื่อครู่

ขอโทษขอโพยฝ่ายนั้นอยู่ในใจแล้วค่อยพยุงพี่ชายให้ลุกขึ้น คาดว่าช่วงนี้หนุ่มนักบริหารคงกำลังยุ่งกับงาน จึงเหมาะที่จะหนีมากกว่าช่วงกลางคืน

“ฝืนหน่อยนะคะ” เห็นเดชธรรมอ่อนแรงก็พยายามให้กำลังใจ เดินมาถึงหน้ารั้วโดยผ่านผู้ติดตามที่นั่งหลับกันเป็นแถว ยานอนหลับของหมอช่างออกฤทธิ์แรงเสียจริง เลื่อนประตูรั้วออกแล้วพาชายหนุ่มออกมาได้สำเร็จ

ถอนหายใจอย่างโล่งอก มองถนนด้วยใบหน้าเปี่ยมความหวัง หากเป็นไปได้อยากให้รถสักคันแล่นผ่านมา แต่คงยากในเมื่อทั้งซอยมีเพียงบ้านหลังเดียวเท่านั้น เธอฝืนใจพาพี่ชายเดินไปปากซอยทั้งที่เดชธรรมมีใบหน้าซีดเซียว ทั้งบาดแผลตามร่างกายอย่างน่าเวทนา

หล่อนมองก็เม้มปากแน่น ก่นด่าคนทำอยู่ในใจแต่พอนึกถึงสิ่งที่ตำรวจหนุ่มทำกับคนอื่นบ้างก็พูดไม่ออก ทำเพียงพาร่างสูงออกจากซอยนี้ให้เร็วที่สุด

ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กังวลว่าเจ้าของบ้านจะกลับมาเสียก่อนถึงเขาอาจกลับดึกก็ตาม หล่อนไม่ไว้ใจอะไรทั้งนั้นจนกว่าตนเองจะรอดจริงๆ

บรื้น

เสียงรถยนต์ดังขึ้นจากด้านหลังจนต้องหันไปมอง หล่อนยิ้มออกมาด้วยความดีใจหวังจะยกมือขึ้นโบก ทว่าความเร็วของเครื่องยนต์ที่เร่งมาตรงหน้าทำให้เริ่มใจไม่ดีเสียแล้ว เดชธรรมเองก็เหลียวหลังไปมองก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร คำพูดของคนคนนั้นดังขึ้นในหัวทันที

‘ถ้าวันไหนแกถูกจับได้ ชีวิตของแกจะจบลงทันที ยอมรับข้อนี้ใช่ไหม’ ลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางหันมองน้องสาวที่ตนเองรักสุดหัวใจ

รักในฐานะคนรักไม่ใช่พี่น้องอย่างที่หล่อนเข้าใจมาตลอด

รถยนต์เร่งเครื่องเข้าใกล้เรื่อยๆ หญิงสาวตกใจจนสติไม่อยู่กับตัว อยากขยับแต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่ทำตามเสียแล้ว เมื่อเห็นว่ามันใกล้เข้ามาเรื่อยพลันใจก็หยุดเต้นหลับตาลงยอมรับชะตากรรมของตัวเองว่าคงสิ้นบุญในชาตินี้แล้ว

ผลัก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel