บท
ตั้งค่า

บทที่ 3: พี่คะ! ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าลืมกินยาให้ตรงเวลา! [2/2]

“ตำหนักหลวง...”

“ค่ะ นี่แหละ พระราชวังคยองบกที่ฉันบอกว่าจะพาคุณมา”

ดูแปลกตาไปกว่าเดิมมากทีเดียว แต่ก็มั่นใจว่ามันคือพระราชวังหลวงที่กษัตริย์และเชื้อราชวงศ์แห่งโชซอนใช้เป็นที่ประทับอย่างแน่นอน ก่อนที่จะเดินอาดๆ ตรงไปยังทางเข้าโดยไม่สนใจมีนาที่คุยกับเขาเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย

หญิงสาวสบถพึมพำตามลำพังก่อนจะรีบสาวเท้ายาวๆ ตามไป

“คุณอย่าเดินไปไหนมาไหนเองคนเดียวสิคะ ฉันบอกแล้วไงว่าที่นี่มันไม่ใช่ที่ของคุณ”

ทุกคำพูดเข้าหูชายหนุ่มชัดเจน หากแต่ครั้งนี้เขาค้านในใจ

มีพระราชวังหลวงก็เท่ากับว่าเป็นโลกของเขาแล้ว ทว่าก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดทหารเวรยามถึงไม่รักษาการณ์ให้รัดกุม ปล่อยให้พวกสามัญชนเดินเข้าออกกันอย่างเสรี

หรือว่าจะมีเทศกาล?

อดคิดอย่างนั้นไม่ได้ หากแต่ทบทวนดีๆ แล้ว ช่วงนี้ก็ไม่ได้มีเทศกาลรื่นเริงอะไร ไม่มีแผนที่จะจัดงานพวกนี้ด้วยเพราะโชซอนกำลังอยู่ในช่วงระส่ำระสายจากการรุกรานของแผ่นดินจีน ผู้คนมากมายอดอยากล้มตาย ข้าวยากหมากแพงไปทุกหย่อมหญ้าเช่นนี้ ใครมันจะอุตริมาจัดงานเทศกาลให้สิ้นเปลืองกัน ถึงจะเป็นพระราชโองการ แต่พวกขุนนางต้องค้านอย่างแน่นอน

ถึงจะคิดไปก็ไม่ได้คำตอบ คังยูจึงตั้งใจจะเข้าไปสอบถามด้วยตนเอง ก้าวอาดๆ ไปจนมีนาต้องรีบคว้าแขนเสื้อ

“เดี๋ยวก็หลงหรอกค่ะ”

“ข้าคุ้นชินกับที่แห่งนี้มากกว่าเจ้าแน่ ไม่ต้องเกรงว่าข้าจะหลง” น้ำเสียงทุ้มตอบกลับอย่างถือดี

มีนาไม่อยากจะต่อเถียงด้วยหรอก แต่ก็อดพูดไม่ได้

“แต่ฉันมั่นใจว่าคราวนี้ฉันคุ้นชินกว่าคุณ”

คังยูก็ไม่อยากจะสนใจเช่นกัน ทว่าก็ถูกหญิงสาวลากเข้าไปข้างในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ดวงตาเรียวดุจพญาเหยี่ยวเหลือบมองมือเล็กขาวนวลที่จับชายแขนเสื้อเขาอย่างตำหนิในขณะที่มีนาเอาแต่ก้าวฉับๆ เดินนำหน้าไป

จับมือถือแขนอีกแล้ว...เป็นหญิงไร้ยางอายจริงๆ เสียด้วย

ขาดการอบรมสั่งสอนที่ดี แต่คังยูไม่เข้าไปยุ่มย่ามเรื่องของหญิงผู้นี้หรอก อีกไม่นานก็ต้องแยกจากกันแล้ว

หากแต่พอจะเอ่ยปากบอกให้เธอส่งเขาเพียงแค่นี้ น้ำเสียงหวานใสก็ดังมาให้ได้ยินเสียก่อน

“หลบมาทางนี้ก่อนค่ะ เขาจะเปลี่ยนเวรยามกัน”

สิ้นเสียงก็มีทหารประจำพระราชวังเดินขบวนออกมาทำพิธีเปลี่ยนเวรยามอย่างพร้อมเพรียง โดยปกติแล้วพิธีนี้จะมีทุกวันในช่วงเวลาสิบโมงเช้าและอีกครั้งตอนบ่ายสอง หากเป็นนักท่องเที่ยวล่ะก็ มีนาคงจะพูดได้เต็มปากเลยว่ามาได้จังหวะทีเดียว แต่ไม่ใช่ในครั้งที่เธอพาผู้ชายคนนี้มาหาทางกลับบ้าน

พิธีเปลี่ยนเวรยามกินเวลาประมาณยี่สิบนาที คนจำนวนมากหยุดยืนดูและถ่ายรูปกิจกรรมดังกล่าวจึงทำให้หญิงสาวไม่สามารถเดินฝ่าผู้คนไปยังตำหนักข้างในได้ ต้องรอจนกว่าพิธีจะเสร็จ ทว่าการที่เธอตัดสินใจยืนรออย่างนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดอยู่ไม่น้อย เพราะพอคังยูเห็นพิธีดังกล่าว เขาก็สะบัดแขนเสื้อออกจากการเกาะกุมของมีนาทันที

มีนาหันไปมองก็เห็นรองเจ้ากรมหนุ่มพยายามจะแทรกฝูงชนออกไปยังพิธีกรรมข้างหน้า

“เดี๋ยวๆ คุณจะไปไหนน่ะ” มีนาร้องถามเสียงหลงเลยทีเดียว ถลาเข้าไปคว้าข้อมือใหญ่ของอีกฝ่ายไว้ด้วย

คังยูชะงัก หันมามองเล็กน้อย ตอบอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปบอกให้ทหารพวกนั้นพาข้าเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

“เฮ้ย เดี๋ยว”

ยังไม่ทันที่มีนาจะได้พูดอะไรต่อ รองเจ้ากรมหนุ่มก็ดึงมือเธอออก เดินอาดๆ เข้าไปยังลานว่างที่มีพิธีอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกสายตาจับจ้องมายังชายหนุ่มในชุดโบราณที่เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาในระหว่างการพิธีด้วยสายตางุนงง ก่อนที่เขาจะเดินไปหยุดยังชายคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวคล้ายกับหัวหน้ากองทหาร พลันเอ่ยปาก

“ข้าคิมคังยู รองเจ้ากรมแห่งฮันยาง บุตรชายมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย มีความประสงค์จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท ใต้เท้าช่วยไปกราบทูลให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”

สิ้นเสียง ใบหน้าคร้ามของคู่สนทนาก็มีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่ฉาบพรายขึ้นมาทันควัน

คังยูคิดเอาเองว่าเขาคงจะพูดไม่ชัดเจนพอว่าเขาเป็นใคร อีกฝ่ายถึงได้ทำหน้าสงสัยและไม่ตอบสิ่งใดกลับมา จึงว่าด้วยน้ำเสียงดังกว่าเดิม

“ข้าคือคิมคังยู รองเจ้ากรมแห่งฮันยาง บุตรชายมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย มีความประสงค์จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท ขอใต้เท้าช่วยไปกราบทูลให้ข้าด้วย”

น้ำเสียงหนักแน่นและกึกก้องทำเอาทุกคนในบริเวณนั้นเงียบอย่างพร้อมเพรียง ทุกชีวิตหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลาไว้ จะมีก็แต่มีนาเท่านั้นที่ยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองพลางพึมพำ

“อีตาบ้าเอ๊ย”

ขณะที่คังยูเชิดหน้าขึ้น วางท่าทางน่าเกรงขาม

ในเมื่อรู้แล้วว่าข้าคือผู้ใดก็รีบยกก้นของพวกเจ้าไปเสียทีสิ เจ้าพวกหมูขี้เกียจ

ด้วยความเป็นมืออาชีพ คนที่แต่งชุดเหมือนหัวหน้าทหารประจำพระราชวังคนนั้นจึงแสร้งทำทุกอย่างไปตามปกติโดยไม่เอ่ยคำใดออกมาแม้แต่น้อย คังยูเห็นแล้วผิวเนื้อระหว่างคิ้วก็ย่นเข้าหากัน

เป็นเพียงข้าราชการมูบัน[ มูบัน เป็นชนชั้นย่อยของขุนนางสมัยโชซอนในชนชั้นยังบันเรียกว่า “ชนชั้นนักรบ” คือขุนนางฝ่ายบู๊ ส่วนขุนนางฝ่ายบุ๋นจะเรียกว่า มุนบัน หรือ “ชนชั้นปราชญ์” ขุนนางฝ่ายบู๊ยังบันเป็นชนชั้นที่มีเอกสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมปกครองบ้านเมือง ลูกหลานของชนชั้นยังบันเท่านั้นที่มีสิทธิ์สอบควากอ หรือสอบเข้ารับราชการในระดับสูง]ชั้นผู้น้อย กล้าดีเช่นไรมาเมินข้า!

รองเจ้ากรมหนุ่มหัวเสีย การที่ถูกเมินใส่เช่นนี้เท่ากับถูกหมิ่นเกียรติเลยทีเดียว เขาจึงเอื้อมมือไปแย่งเอาดาบปลอมที่หัวหน้าทหารคนนั้นเหน็บไว้อยู่ข้างเอวมาถือในมือมั่น ก่อนที่ใครๆ จะรู้ตัว ปลายดาบก็จ่อไปยังคอหอยของหัวหน้าทหารเป็นที่เรียบร้อย

“อย่าเมินข้า ใต้เท้าเองก็รู้ดีว่าข้าเป็นใคร”

“ผะ...ผมไม่รู้”

คนถูกจู่โจมเปิดปากออกมาจนได้ แต่เป็นการส่งเสียงสั่นเทาออกมา

มีนาเห็นภาพนั้นก็อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา

ซะ...ซวยแล้วๆๆ!

คำนี้ผุดพรายขึ้นในหัวของเธอนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งก็ซวยอย่างที่เธอคิดจริงๆ เมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพากันกรูเข้ามาควบคุมชายหนุ่มท่าทางประหลาดคนนั้น คราแรกก็เชิญออกจากลานกว้างไปดีๆ ทว่าคังยูกลับต่อต้านด้วยการสะบัดดาบในมือฟาดไปยังคนพวกนั้นคนละทีสองที ก่อนจะว่า

“จะไปกราบทูลฝ่าบาทว่าข้าประสงค์จะเข้าเฝ้าหรือพวกเจ้าจะยอมเสียหัวที่นี่”

เขารู้ว่าการกระทำของเขาช่างอุกอาจ หากเขาทำอย่างนั้น มีหวังตระกูลคิมถึงคราววินาศแน่ เขาก็แค่ขู่เท่านั้นแหละ แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่ถูกขู่ คำพูดของเขาไม่ได้สำคัญเลยแม้แต่น้อย ทุกคนมีความเห็นเดียวกันโดยไม่ต้องลงความเห็น

ผู้ชายคนนี้มันสติไม่ดี!

เท่านั้นความชุลมุนก็อุบัติขึ้น ในเมื่อเชิญออกดีๆ แล้วไม่ไปก็ต้องพากันรุมเข้าจับกุม

ด้วยความที่คังยูเป็นนักรบมีฝีมือและรั้งตำแหน่งรองเจ้ากรมมือปราบ เขาไม่ยอมให้ถูกจับกุมโดยง่าย เมื่อชายหลายคนกรูเข้ามาหาเขา ดาบในมือก็สะบัดออกไป ร่ายรำกระบวนยุทธ์ที่เคยร่ำเรียนมา เขาไม่ต้องการสังหารคนพวกนั้นจึงทำแค่ส่งทหารไม่ได้เรื่องพวกนี้ลงไปนอนกองกับพื้นทีละราย

มีนาเห็นแล้วก็ใจหายวาบ ความชุลมุนส่อเค้าจะทวีมากขึ้นไปอีกก็ตอนที่มีรถตำรวจขับมาจอดทางด้านหน้าของพระราชวัง พร้อมกับตำรวจหลายนายที่เข้ามาล้อมจับผู้ชายคนนี้

ต่อให้คังยูมีฝีมือวิทยายุทธ์ดีแค่ไหน แต่เมื่อถูกรุมจากผู้ชายตัวไล่เลี่ยกันเป็นสิบ เขาก็สู้ไม่ไหวเหมือนกัน เมื่อเขาถูกจับกุมตัว ชั่ววินาทีนั้นมีนาต้องตัดสินใจทันทีเลยว่าจะทำอย่างไรต่อ

ทะ...ทำเป็นไม่รู้จักแล้วทิ้งไว้ที่นี่เลยก็แล้วกัน!

อยากทำอย่างนั้นอยู่นะ แต่พอเห็นคังยูถูกจับเอามือไพล่หลังใส่กุญแจมือแล้ว เธอก็ทนปล่อยให้เขาไปเผชิญชะตากรรมตามลำพังไม่ได้ จำต้องวิ่งพรวดเข้าไปหาตำรวจพลางร้องตะโกนอย่างรวดเร็วเมื่อถูกตำรวจนายหนึ่งกันเอาไว้

“พี่คะ! หนีมาอยู่นี่น่ะเอง ฉันบอกแล้วไงคะว่าอย่าลืมกินยาให้ตรงเวลา อาการออกอีกแล้วเห็นไหม!” จากนั้นก็หันไปหัวเราะแห้งๆ ให้กับตำรวจที่กันเธอเอาไว้อยู่ “ญาติฉันน่ะค่ะ พอดีเขาสติไม่ค่อยดี มีอาการทางประสาทนิดหน่อย ชอบคิดว่าตัวเองเป็นทหารจากยุคโชซอน ฮ่ะๆ”

เป็นการหัวเราะกลบเกลื่อนที่หญิงสาวอดสมเพชตัวเองไม่ได้ หากคนน่าสมเพชกว่าคือคังยูนี่แหละ

ถ้าอยากรอดจากซังเตก็ต้องยอมเป็นอปป้าสติไม่สมประกอบไปก่อนนะเจ้าคะท่านรองเจ้ากรม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel