๒ เขาคือโลกทั้งใบ (๔)
5 ปีผ่านไป
ชีวาพรในวัยยี่สิบสองปีเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศแคนาดา คณะเศรษฐศาสตร์ตามที่ครอบครัวแนะนำ เพราะเธอไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร บิดาบอกว่าเรียนทางด้านนี้ไปทำงานหลายสายก็ตามน้ำ ถึงจะยากจนต้องพยายามเข็นตัวเองให้ผ่าน
วันนี้ได้ใบปริญญามาครอบครองจึงดีใจมาก
ตัดสินใจถูกแล้วที่มาเจอโลกกว้าง หล่อนได้ทำหลายอย่างที่ตอนอยู่ไทยไม่ได้ทำ มีเพื่อนหลากหลายมากขึ้นซึ่งส่วนมากเป็นต่างชาติ
แต่สิ่งเดียวที่ไม่อาจทำได้คือการหาแฟน ผู้ชายทุกคนที่เข้ามาล้วนมีข้อติไปหมดทุกอย่าง ไม่เคยมีสักคนที่จะสามารถเข้ามานั่งในใจของหล่อนได้
หญิงสาวจึงได้โสดมาจนถึงทุกวันนี้
“โซ่กำลังเดินทางค่ะ พ่อแม่รออีกหน่อยนะ พี่ชาไปถึงหรือยัง” คุยโทรศัพท์กับบุพการีเพราะเย็นนี้นัดดินเนอร์ที่ร้านอาหารดัง กว่าจะได้ไปใช้เวลาในการรอคิวเกือบหนึ่งสัปดาห์ วันนี้จะได้เฉลิมฉลองกันสักทีอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
พี่ชายของตนก็เพิ่งได้วันลาพักร้อนจึงนัดรับประทานอาหารด้วยกัน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้หล่อนที่จัดแจงทุกอย่างจะไปสายสุด มัวแต่เลือกชุดและแต่งหน้าลืมดูเวลาซะสนิท
‘ถึงแล้ว รอโซ่อยู่ในร้านเนี่ยแหละ’
“อีกห้านาทีค่ะ รับรองว่าโซ่จะรีบไปหาทุกคนอย่างด่วนจี๋ พริบตาเดียวลืมตามาก็จะเห็นโซ่ทันทีเลยค่ะ” เดินแกมวิ่งไปตามทางเท้า ที่พักกับร้านอาหารไม่ไกลกันมากนัก เธอคิดว่าเดินไปสะดวกกว่า ผ่านร้านดอกไม้ที่คุ้นเคยกับเจ้าของร้านเป็นอย่างดีเพราะมาซื้อไปใส่แจกันบ่อยครั้ง
วันนี้ซื้อดอกไม้ไปให้ครอบครัวดีกว่า คิดอย่างอารมณ์ดีแล้วเลือกดอกไม้มาหนึ่งช่อ ดวงหน้าหวานแต้มยิ้มตลอดเวลาจนแม่ค้าอดทักไม่ได้
“คาร์เนชั่นช่อหนึ่งค่ะ...คุณแม่ชอบ”
“คุณสดใสกว่าทุกวันนะคะ”
“ฉันเพิ่งเรียนจบค่ะ กำลังจะไปทานข้าวกับครอบครัวแล้วก็กลับไทย” เวลาห้าปีที่ผ่านมาไม่ได้กลับประเทศไทยเลยสักครั้ง เธอยอมรับว่ายังคงไม่ลืมชายหนุ่มผู้เป็นรักแรก อยากรู้เรื่องราวของเขาเสมอมาจนกระทั่งทราบจากเมืองน่านว่าเขาได้เลิกรากับแฟนสาวไปเมื่อปีที่แล้ว
หล่อนดีใจเป็นอย่างมาก แทบจะตีตั๋วบินกลับไทยแต่ก็ต้องรอพ่อแม่และพี่ชาย ตอนนี้ตนโตขึ้นแล้วจะต้องเอาชนะใจเมืองหมอกด้วยลุคสาวสวยผู้แสนเพียบพร้อมให้จงได้
“โอ้ ยินดีด้วยค่ะ”
“นี่ดอกไม้ของคุณ”
“ขอบคุณค่ะ” รับช่อดอกไม้มาถือไว้แล้วเร่งฝีเท้าเพื่อไปตามนัด ปากอวบอิ่มแย้มยิ้มตลอดเวลาจนกระทั่งมาถึงร้านที่ควรเปิดเพลงคลอเสียงเบา กับบรรยากาศหน้าร้านที่เงียบสงบ แต่วันนี้กลับมีรถตำรวจมาจอดเรียงราย แล้วยังปิดกั้นบริเวณโดยรอบอีกต่างหาก
เกิดอะไรขึ้น...หล่อนมาผิดร้านหรือเปล่า
“ทำไมถึงมีตำรวจ” พึมพำเสียงเบาแล้วเข้าไปใกล้สถานที่เกิดเหตุเมื่อมั่นใจว่าไม่ได้มาผิดร้าน
“เกิดอะไรขึ้น” ถามคนที่มายืนมุง
“เกิดเหตุกราดยิงในร้านอาหาร ตอนนี้ตำรวจกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ เห็นว่าคนในร้านไม่มีใครรอดเลยสักราย น่าจะตายเกือบสิบหกคนได้” ได้ยินอย่างนั้นก็ปล่อยช่อดอกไม้ในมือร่วงลงพื้น หูอื้อตาลายแข้งขาพลันอ่อนแรงจนทรุดลงบนพื้น ส่ายศีรษะไปมาแล้วตะโกนเรียกครอบครัวเสียงดัง
“พ่อแม่พี่ชา!!”
ศพถูกหามใส่เปลออกมาข้างนอก เธอรีบถลาเข้าไปหาคนในครอบครัวที่เหลือเพียงร่างกายแต่ไร้ซึ่งลมหายใจ ร้องไห้เสียงดังแล้วกอดศพของคนทั้งสามเอาไว้ ไม่นานก็หมดสติจนต้องพาส่งโรงพยาบาล
ข่าวการจากไปของเอกอัครราชทูตซึ่งถูกกราดยิงในร้านอาหารโด่งดังไปทั่วเมือง คุณอรัญพรที่อ่านชื่อผู้วายชนม์ถึงกับช็อค รีบวิ่งเข้าบ้านแล้วเรียกหาแม่สามีซึ่งกำลังนั่งดูรายการโทรทัศน์อย่างเพลิดเพลิน
“คุณแม่คะ เกิดเรื่องแล้วค่ะ” ตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล จนคนอายุเยอะแต่ยังแข็งแรงหันไปมอง พลางส่งสายตาปรามกับท่าทีกระโตกกระตาก ไม่สมกับเป็นภรรยาของนักธุรกิจใหญ่เอาเสียเลย แต่เวลานี้ใครจะมานั่งรักษามารยาทกันล่ะ
เธอตกใจกับเรื่องน่าสลดที่เกิดกับคนใกล้ตัวมากกว่า
“อะไรเหรอ”
“เกิดเหตุกราดยิงในร้านอาหารที่แคนาดา คุณชัช นินแล้วก็ชานนท์อยู่ในนั้น...ตอนนี้เสียชีวิตหมดแล้วเหลือแค่หนูโซ่ที่รอดคนเดียว” ข่าวร้ายสร้างความตกใจให้ท่านเป็นอย่างมาก พลันหายใจติดขัดจนต้องหยิบยาหอมมาดม นึกสงสารหลานสายที่สูญเสียคนในครอบครัวไปทั้งหมด
“ตายจริง แล้วโซ่เป็นยังไงบ้าง”
“กำลังเคลื่อนย้ายศพกลับไทยมาทำพิธีทางศาสนา ส่วนโซ่ก็เอาแต่เหม่อลอยไม่พูดจา ให้หลานมาอยู่ที่นี่กับเราได้ไหมคะ”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว เราก็จัดการเรื่องงานศพช่วยหลานด้วย โธ่หนูโซ่ของย่า...” ชีวาพรไม่มีญาติที่ไหนแล้ว กลายเป็นคนตัวเปล่าเล่าเปลือยอย่างแท้จริง หล่อนฟื้นจากการหมดสติก็เอาแต่เหม่อลอยไม่พูดจา กอดรูปของคนในครอบครัวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ดวงตาแดงก่ำผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ใบหน้าหวานซีดเผือดไม่มีสีเลือดเลยสักนิด
งานศพของคุณชัชพล คุณชญานินและชานนท์ถูกจัดขึ้นที่วัดใหญ่เพื่อรองรับคนเป็นจำนวนมาก การจากไปกะทันหันของทันสร้างความเศร้าโศกแก่คนรอบข้าง งานสวดอภิธรรมวันแรกคนมาเต็มศาลาเพื่อเคารพศพผู้ล่วงลับ
บุตรสาวที่เหลือรอดเพียงคนเดียวนั่งเหม่อมองภาพของครอบครัวที่วางเรียงหน้าโลง ทุกคนยิ้มให้เธอแต่กลับไม่มีเสียงพูดเล็ดลอดให้ได้ยิน เธออยากได้ยินเสียงของท่านอีกครั้ง อยากกอดพ่อแม่และพี่ชายเอาไว้ ทว่าทุกคนกลับทิ้งหล่อนไป...อย่างไม่หวนกลับ
คุณอรัญพรเป็นธุระต้อนรับแขกเพราะดูจากสภาพของหลานสาวคงทำหน้าที่ไม่ไหว เมืองหมอกเหลียวมองร่างบางบ่อยครั้งด้วยความสงสาร เขาเพิ่งเคยเห็นหล่อนในสภาพที่คล้ายกับร่างไร้วิญญาณครั้งแรก
อยากเข้าไปปลอบแต่คิดว่าคงรอให้จบงานค่อยคุยดีกว่า...เหมือนว่าชีวาพรจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อเพียงแค่มีคนปลอบ
“โซ่...นมสตรอว์เบอร์รี่ที่โซ่ชอบ ดื่มหน่อยนะ” ทุกคนกลับหมดแล้วเหลือเพียงร่างบางที่นั่งเฝ้าหน้าโลงศพไม่ยอมลุกไปไหน เขาจึงได้ยื่นนมสตรอว์เบอร์รี่ที่หล่อนดื่มเป็นประจำให้อีกฝ่าย ดวงหน้าหวานค่อยผินมามองเขา พร้อมน้ำตาเม็ดใหญ่ที่ไหลอาบแก้ม
“พี่หมอก”
“พ่อ แม่...พี่ชา ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครอยู่แล้ว” บอกเสียงเบาแล้วหันกลับไปหาครอบครัวที่ล่วงลับ เหม่อมองอยู่อย่างนั้นแล้วโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้ท่านต้องจากไป
หากวันนั้นไม่นัดพบที่ร้านอาหาร ถ้าตนไม่มาสายจนเหลือรอดเพียงคนเดียว ป่านนี้เราก็ได้อยู่พร้อมหน้าสี่คนพ่อแม่ลูกแล้ว
“มีพี่ไง พี่อยู่ตรงนี้กับโซ่” นึกสงสารหล่อนจับใจจนคว้าร่างบางมากอดเอาไว้ เธอกระพริบตาปริบไม่ได้ยกมือกอดตอบ แต่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ หลังจากหนาวเหน็บมาหลายวัน เมื่อเขาผละมองก็จ้องดวงหน้าคม
“พี่หมอกจะทิ้งโซ่ไปเหมือนพ่อแม่พี่ชาไหม จะทิ้งโซ่หรือเปล่า”
“ไม่ทิ้งหรอก พี่ไม่มีวันทิ้งโซ่ไปไหน พี่จะอยู่กับโซ่...กินนมก่อนนะ” ยื่นเครื่องดื่มให้หล่อน หญิงสาวยังไม่ได้กินอะไรทั้งวัน มีนมตกถึงท้องก็ยังดี
“อยู่กับโซ่นะ ห้ามทิ้งโซ่นะ ฮือ โซ่ไม่เหลือใครแล้ว ไม่เหลือแล้ว...” รับนมมาดื่มแล้วร้องไห้เป็นเผาเต่าแทบไม่รู้รสชาตินมหวานเพราะมันขมปร่ากับเรื่องที่เกิดอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว อ้อนวอนชายหนุ่มเมื่อเขาคือที่พึ่งเดียวของหล่อน
“ครับ พี่จะไม่ทิ้งโซ่” รับปากด้วยความสงสาร โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นจะเป็นพันธนาการรัดตนเอาไว้ให้ดิ้นไม่หลุด
เพราะหลังเสร็จจากงานศพของครอบครัวหล่อน คุณอนัญพรก็พูดกับบุตรชายเสียงเครียด เรื่องที่หยิบยกขึ้นมาก็ค่อนข้างน่าตกใจสำหรับเขาพอสมควร
“แต่งงานเหรอครับ”
“ใช่ แม่อยากให้ลูกแต่งงานกับน้อง ตอนนี้ลูกก็โสดน้องก็ไม่เหลือใคร ถ้าแต่งงานกันจะได้รับน้องเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกคนจะได้สบายใจ...คุณย่าห่วงน้องมากไม่เป็นอันกินอันนอน หมอกทำเพื่อย่าหน่อยได้ไหม”
เข้าใจเจตนาของทุกคนเป็นอย่างดี เห็นชีวาพรมาตั้งแต่เล็ก พอทุกคนจากไปเหลือหล่อนไว้คนเดียวก็นึกห่วงว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร การได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกันจึงดีต่อหญิงสาว โดยไม่คิดถึงใจของเขาเลยสักนิดว่ารักหล่อนหรือเปล่า
เหมือนครั้งที่บังคับหมั้นไม่มีผิด...
“ถ้าทุกคนต้องการแบบนั้น ผมก็จะแต่งงานกับโซ่ครับ” ชายหนุ่มยอมรับปากเพราะสงสารหล่อนเช่นเดียวกัน
สภาพของชีวาพรเหมือนคนพร้อมจะจากไปตลอดเวลาหากไม่มีหลักยึดเหนี่ยว เขาจึงเอาตัวเองเป็นหลักให้หล่อนได้พึ่งพิง
โดยไม่คิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่ผิดพลาดในอนาคต...
