๒ เขาคือโลกทั้งใบ (๓)
ชีวาพรนิ่งเงียบเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างเมื่อได้ยินสิ่งที่กลัวมาตลอด ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ถึงความรู้สึกของเมืองหมอกที่มีต่อตน เพียงแค่ยึดสถานะคู่หมั้นเอาไว้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเป็นของเธอ พอมาวันนี้ที่ความจริงตีแสกกลางหน้า หล่อนจึงยืนนิ่งค้าง ส่ายศีรษะไปมาอย่างเชื่องช้า พยายามปฏิเสธและคิดว่าบิดากำลังโกหก
“ว่าไงนะคะ พี่หมอกขอถอนหมั้นโซ่เหรอ พ่อเอาอะไรมาพูด ไม่จริงหรอก...โซ่จะไปถามพี่หมอกให้รู้เรื่อง” ก้าวเท้าออกจากห้องนอนของตน กำลังจะเปิดประตูแต่ถูกคุณชัชพลสั่งห้ามเสียงดัง เป็นครั้งแรกที่ท่านขึ้นเสียงกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน
ไม่อยากให้ลูกไปขอร้องอ้อนวอนคนที่ไม่รักให้ดูน่าสมเพช ท่านเดินเข้าไปกอดชีวาพรเอาไว้ ร่างบางได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เบิกตากว้างห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล แต่มันก็ทำได้ยากเมื่อเสียใจจนความรู้สึกนั้นกลั่นออกมาเป็นน้ำตา
“ไม่ต้องไป! เขาถอนหมั้นแล้วก็บอกพ่อกับแม่ว่าไม่ได้รักลูก ไม่เคยรักลูกเลยสักครั้ง เขามองลูกเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งแค่นั้น”
“ไม่จริง พ่อโกหก” พึมพำเสียงเบาแล้วปล่อยโฮทันที คุณชัชพลยิ่งกอดลูกสาวแน่นดว่าเดิมด้วยความสงสาร ลูบศีรษะมนเป็นการปลอบปะโลมแล้วผละออกเล็กน้อย
“พ่อพูดเรื่องจริง แล้วเราก็ห้ามไปหาเขาอีก อยู่ในห้องเตรียมตัวลาออกแล้วไปเรียนที่แคนาดา พ่อจะให้คนเตรียมโรงเรียนกับมหา’ลัยเอาไว้ให้เอง” วางแผนอนาคตทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่คนที่ยึดติดกลับโวยวายแล้วก้าวถอยหลัง ส่ายหน้าไม่ยอมรับกับแผนทุกอย่างที่ท่านวางเอาไว้
หล่อนไม่เชื่อหรอกว่าเมืองหมอกจะถอนหมั้น บิดาต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ...
“ไม่ไป โซ่ไม่ไป พ่อโกหก พ่อโกหก!” โวยวายพลางทรุดลงนั่งบนพื้น สะอื้นไห้จนตัวโยนเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งสงสารลูกมากกว่าเดิม แต่ก็เลือกจะให้ชีวาพรอยู่กับตัวเอง ท่านทั้งสองเดินออกจากห้องแล้วปิดประตูเสียงเบา
“คุณ ทำแบบนี้จะดีเหรอ” คนเป็นแม่ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของลูกก็สงสาร อยากไปขอร้องเมืองหมอกให้หมั้นกับลูกสาวของนางต่อไป แต่รู้ดีว่าหากทำอย่างนั้นก็เป็นการทำร้ายทั้งสองทางอ้อม
“โกรธให้สุด เสียใจให้สุดลูกจะได้ตัดใจเร็วขึ้น ผมทำเพื่อลูก...”
“ฉันสงสารยัยโซ่”
“ผมก็สงสาร แต่ทำยังไงได้ล่ะ ผู้ชายเขาไม่รักลูกเราจะไปบีบคอบังคับก็ไม่ได้ เราคงทำได้แค่ดูแลหัวใจของโซ่ให้กลับมารักตัวเอง” หวังว่าความรักของคนในครอบครัวจะช่วยเยียวยาหล่อนจากอาการอกหักได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม
“ค่ะ”
ชีวาพรร้องไห้เพียงลำพังแล้วมองแหวนหมั้นที่สวมใส่ติดกายตลอดเวลา เพียงแค่คิดว่าต้องถอดมันออกหัวใจก็คล้ายจะแตกออกเป็นเสี่ยง เธอส่ายหน้าพลางกุมมือเอาไว้แน่น ไม่อยากเสียชายหนุ่มไปแต่ก็ไม่รู้จะรั้งเขาไว้อย่างไร
ทำไมถึงไม่รักกัน...
การรักเธอมันยากสำหรับเขานักหรือ
ใช้เวลาในการเตรียมทุกอย่างเพียงแค่หนึ่งเดือนก็เสร็จเรียบร้อย เหมือนว่าคุณชัชพลปูทางไว้ให้บุตรสาวแล้ว หล่อนแค่ต้องไปทำเรื่องขอวีซ่าแล้วก็เตรียมด้านภาษา ส่วนโรงเรียนก็จัดหาไว้พร้อมเหลือแค่เข้าเรียนตามปกติ
ช่วงสัปดาห์แรกหล่อนนอนร้องไห้ตลอดจนมารดาต้องมานอนเป็นเพื่อน คอยพูดคุยเล่าเรื่องราววัยเด็กหรือการท่องเที่ยวในโลกกว้าง กล่อมจนกว่าลูกสาวจะหลับ สัปดาห์ต่อมาก็พาไปเรียนเสริมภาษาและออกท่องเที่ยวต่างจังหวัด
ทำทุกทางเพื่อไม่ให้ชีวาพรได้พบกับเมืองหมอก ไม่อย่างนั้นก็กลัวว่าลูกจะไม่ยอมไปต่างประเทศด้วยกัน ส่วนแหวนหมั้นก็ส่งคืนบ้านมงคลทิวัตถ์เรียบร้อยแล้ว
กระทั่งถึงวันเดินทางที่ปิดบ้านทั้งหลัง ราวกับว่าต่อจากนี้คงไม่มีคนมาอาศัย ดวงหน้าหวานเหลียวมองบ้านที่อยู่มาตลอดสิบเจ็ดปีอย่างอาลัยอาวรณ์ น้ำตาคลอเบ้าจวนเจียนจะไหล จนเธอต้องบอกตัวเองให้อดกลั้นความเศร้าเอาไว้
“โซ่ขอไปหาพี่หมอกได้ไหม” จังหวะที่กำลังจะขึ้นรถ ก็มองไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม ลาทุกคนในบ้านนั้นแล้วเหลือเพียงผู้เดียวที่หล่อนยังไม่ได้พบ
เมืองหมอก...อดีตคู่หมั้นและเป็นรักเพียงหนึ่งเดียวของเธอ
“พี่พาไป”
ชานนท์ไม่อาจปล่อยน้องสาวไปคนเดียวได้ แม้จะเห็นว่าชีวาพรดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ไม่ซึมเศร้าและเอาแต่ร้องไห้หาพี่ชายข้างบ้าน แต่เกรงว่าร่างบางกำลังเก็บอาการเอาไว้ แค่เดินยังคล้ายจะล้มตลอดเวลา จึงต้องประคองแล้วพาไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม
พวกตนหยุดอยู่หน้ารถยนต์ที่เพิ่งขับเข้ามาในเขตรั้วบ้านแล้วจอดหน้ามุข ได้ยินเสียงของเมืองหมอกเอ่ยด้วยความสดใส เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่หล่อนเห็นเขายิ้มเต็มปาก มือบางเผลอกำเข้าหากันแน่น
“เข้ามาสิน้ำค้าง พ่อกับแม่รออยู่ข้างใน”
ร่างสูงไม่ได้เสียใจเลยที่เธอกำลังจะไปต่างประเทศ ซ้ำยังพาผู้หญิงคนอื่นเข้าบ้านอีกต่างหาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนหล่อนคงอาละวาดไปแล้ว ทว่าตอนนี้ไม่มีแรงกระทั่งจะโวยวาย จึงเรียกเขาเสียงเบา
“พี่หมอก”
ร่างสูงเหลียวกลับมามองก็พบหญิงสาวที่คุ้นหน้าเป็นอย่างดีมายืนจ้องเขม็ง ด้วยสัญชาตญาณก็รีบโอบไหล่แฟนสาวเอาไว้ กลัวหล่อนจะมาทำร้ายศิศิรา โดยลืมคิดถึงจิตใจคนมองว่าจะเจ็บปวดมากแค่ไหนกับภาพตรงหน้า
“โซ่จะไปแคนาดาแล้วเลยมาลาค่ะ”
บอกเสียงสั่นแล้วยิ้มให้เขา ชายหนุ่มจึงคลายใจเมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ได้มาร้าย
ชานนท์รับรู้ถึงแรงสั่นไหวของน้องสาว สงสารชีวาพรจับใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เหลียวมองน้องตลอดกลัวว่าหล่อนจะล้มพับลงกับพื้นเสียก่อน เมื่อเห็นภาพบาดตาบาดใจ
“เดินทางปลอดภัยนะ” เมืองหมอกบอกเพียงเท่านั้นแล้วเข้าบ้านพร้อมแฟนสาว หล่อนทำได้แค่มองภาพตรงหน้าอย่างเลือนรางเพราะมีม่านน้ำตาบังเอาไว้ ทรุดลงกับพื้นแล้วร้องสะอื้นไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ ค่อยยันกายลุกยืนแล้วก้าวกลับบ้านของตัวเอง
“ร้องออกมาเลย พี่อยู่กับโซ่นะ” ขึ้นมานั่งบนรถที่เคลื่อนตัวไปยังสนามบิน หล่อนก็ยังพยายามไม่ร้องไห้ ทั้งกัดปากแล้วกำมือเอาไว้ ชานนท์เห็นอย่างนั้นก็ทนไม่ไหว คว้าน้องเข้ามากอดพลางบอกให้แสดงความอ่อนแอออกมา
“ฮือ”
หล่อนจึงปล่อยโฮอย่างไม่อาย เสียใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะตนเป็นเพียงแค่น้องสาวข้างบ้าน ไม่ใช่คู่หมั้นของเขาอีกต่อไป
