8. แต่งแล้วห้ามหย่า
คนในห้องโถงต่างก็ตื่นตระหนก พรางเดินออกไปดูให้เห็นกับตา เมื่อพบว่าคำบอกกล่าวของหนิงซูเฟยคือเรื่องจริง
“ซูเฟย เห็นหรือไม่ฝนตกอย่างที่เจ้าว่าจริง ๆ ไยเจ้าถึงได้พยากรณ์แม่นนัก” ไท่ฮูหยินเขย่ามือหลานสะใภ้อย่างตื่นเต้น พรางชะเง้อมองออกไปด้านนอกเพื่อดูเม็ดฝนที่กำลังเทลงมา
“หลานได้กลิ่นฝนเจ้าค่ะ เลยเดาถูก” ตอบแล้วก็ยิ้มเขิน แต่ไม่ทันไรก็ต้องหุบรอยยิ้มนี้ลง เพราะเสียงของใครบางคน
“แล้วเจ้าไม่เกรงจะเดาผิดจนทำให้ขายหน้าหรือ” เสียงทุ้มเย็นจากเจ้าของจวนดังขึ้น แววตาที่มองมายังคงเฉยชาเช่นเคย
“ก็แค่ขายหน้านิด ๆ หน่อย ๆ เป็นมนุษย์อย่างไรก็ต้องเคยทำพลาดเจ้าค่ะ แค่ไม่เผลอทำใครตายก็พอกระมัง” ตอบพรางหลับตาค้อนใส่ผู้ที่นั่งจ้องตนอย่างไม่กลัวเกรง
“ใช่ ๆ ก็แค่เรื่องอับอายเล็กน้อย ไหนเลยจะต้องกลัว ย่าล่ะชอบความคิดของเจ้าจริง ๆ ซูเฟย” ไท่ฮูหยินออกปากชมก่อนจะหัวเราะชอบใจ นำพาให้หลานชายที่เพิ่งกลับมาต้องพลอยยิ้มตาม
ซานเกอจึงโน้มลงมากระซิบข้างหูผู้เป็นนายที่ยังคงสายตาอยู่ที่ร่างภรรยา “ข้าน้อยไม่เคยเห็นไท่ฮูหยินหัวเราะมีความสุขเช่นนี้มาก่อนเลยนะขอรับ ปกติเห็นแต่เงียบขรึมน่าเกรงขาม”
“เกรงว่าจะฟังคำล่อลวงมากเกินไปจึงเป็นเช่นนี้น่ะสิ เจ้าไปสืบพื้นเพของนางมา หนิงซูเฟยผู้นี้เป็นใครมาจากไหน ข้าอยากรู้เหตุใดนางถึงได้ยอมแต่งให้คนตาย” จินหยางกระซิบสั่ง
ใต้เท้าหนุ่มที่อยู่ในวัยเดียวกันยังคงป้องปากเอ่ยในสิ่งที่ตนรู้มา “ได้ยินว่านางอายุยี่สิบหกแล้ว ทว่ายังไม่เคยแต่งงาน ข้าคิดว่าที่นางยอมแต่งให้คนตาย อาจเป็นเพราะ...ไม่มีใครเอาขอรับ”
จินหยางหันขวับมองคนสนิททันที ซานเกอพยักหน้ายืนยันคำพูดตน ผู้เป็นนายจึงหันกลับไปมองภรรยาอีกครั้ง
‘นางอายุยี่สิบหกจริงหรือ’ จินหยางนึกในใจ และเขาก็เผลอมองนางราวกับไม่เชื่อสิ่งที่คนสนิทเอ่ยบอก
กระทั่งผู้เป็นย่าเอ่ยดึงสติ “หยางเอ๋อร์ ย่าขอเตือนก่อนนะว่า เรื่องแต่งงานห้ามตำหนิซูเฟยเป็นอันขาด ทุกอย่างย่าเป็นคนจัดการ ซูเฟยแค่ทำตามคำขอของย่าเท่านั้น เอาไว้หลังจากนี้เรามาคุยกันอีกที ย่าแค่อยากบอกเจ้าไว้แค่ว่า ซูเฟยเป็นสตรีที่ดี หากไม่มีนาง วันนี้ก็คงไม่มีย่าให้เจ้ากลับมาคารวะแล้ว” คนแก่เอ่ยพรางหันมาลูบมือขาวที่ยังถูกนางกุมเอาไว้
“ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ” ซูเฟยเผยยิ้ม ดวงตาคู่สวยเริ่มคลอไปด้วยก้อนน้ำใสที่เริ่มกลั่นออกมาจากความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“เด็กดี ขี้แยอีกแล้วนะ” คนแก่ว่าพรางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ล่วงแหมะออกไห้ “ดูสิ บนแผ่นดินนี้ คงมีเจ้ากระมังที่ร้องไห้แล้วน่าดูนัก ดูแก้มกับจมูกแดง ๆ นี่สิ เหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด”
“ท่านย่า มีใครที่ไหนชมว่าคนร้องไห้งามกันเจ้าคะ”
“ก็เจ้าน่ารักจริง ๆ นี่ หยางเอ๋อร์เจ้าดูสิ ฮูหยินของเจ้าร้องไห้ทีไรแก้มกับจมูกเป็นต้องแดงเป็นลูกตำลึงทุกครั้ง จะไม่ให้ย่าเอ่ยว่าน่ารักได้หรือ” ไท่ฮูหยินหันมาหาหลานชาย พรางยกมือขึ้นลูบแก้มเนียนที่มีร่องรอยคราบน้ำตาแผ่วเบา
“ขอรับ ดูท่าคงต้องทำให้ร้องบ่อย ๆ กระมัง” จินหยางตอบเสียงเรียบ ทว่าท่าทางเขาเหมือนตั้งใจจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ
“ชิ! ใครเขาจะร้องไห้ให้ท่านดู” ภรรยาตัวน้อยค้อนอีกหน
“หึหึ เจ้าสองคนนี่ช่างเหมาะสมกันจริง ๆ” คนแก่เย้าอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นท่าทางของหลานสะใภ้ ที่ดูเหมือนเกรงสามี แต่ในความกลัวนั้นกลับแฝงความยียวนเอาไว้
แต่น่าแปลก...สำหรับนางมันกลับน่าเอ็นดูมากกว่าจะทำให้หงุดหงิด และดูท่าหลานชายผู้เข้มงวดของนาง น่าจะคิดไม่ต่างกันนัก มิเช่นนั้นจินหยางคงตำหนิภรรยาตนไปแล้ว
“ท่านย่าก่อนนี้ท่านให้ข้าแต่งกับป้ายวิญญาณข้าจึงได้ยอม เพราะคิดว่าเจ้าบ่าวคงไม่ลุกขึ้นมาตำหนิที่ข้าเป็นสตรีแก่ขึ้นคานไม่มีใครเอา ทว่ายามนี้...” ซูเฟยหันไปมองสามีที่นั่งจ้อง “ตอนนี้ท่านแม่ทัพก็กลับมาแล้ว ฉะนั้นเรื่องแต่งงานเราควรให้สิทธิ์เขาตัดสินใจนะเจ้าคะ ข้าไม่อยากได้ยินคำพูดร้าย ๆ เจ้าค่ะ”
ซูเฟยรีบออกตัวเรื่องนี้ หากเป็นไปได้นางก็อยากให้แม่ทัพเสิ่นเขียนจดหมายหย่าให้เลย นางจะได้ออกไปใช้ชีวิตเร็วขึ้น
จินหยางอ้าปากตั้งท่าจะโต้ตอบ ทว่าผู้เป็นย่ากลับเอ่ยขึ้นมาก่อน “ได้อย่างไรกัน เจ้าเป็นหญิง ยอมแต่งให้คนตายก็นับว่าเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีพอทนแล้ว มาบัดนี้สามีเจ้ากลับมาแล้ว ควรต้องใช้ชีวิตครองคู่กันอย่างเป็นสุขสิมันถึงจะถูก ไม่ได้! อย่างไรย่าก็ไม่ยอมให้พวกเจ้าหย่าเป็นอันขาด” คนแก่ส่ายศีรษะไปมา และเสียงของไท่ฮูหยินก็ดังมากพอให้ทุกคนหันมาสนใจ
“จริงอย่างที่พี่หญิงว่า หลานสะใภ้ ในเมื่อเจ้าแต่งเข้าสกุลเสิ่นแล้ว เจ้าก็อย่าได้คิดเรื่องไปจากที่นี่เลย สตรีที่แต่งกับป้ายวิญญาณแล้วมาหย่าอีก ไม่มีเรือนใดอยากรับเจ้าเข้าไปร่วมวงศ์สกุลหรอกนะ เชื่อฟังพี่หญิงเถิด” ไป่จิ้งโหวเอ่ยเตือนอย่างหวังดี
“เอ่อ...” ซูเฟยอยากบอกเหลือเกินว่าตนไม่แยแสเรื่องนี้ สตรีไม่จำเป็นต้องอาศัยบุรุษ นางสามารถดูแลตนเองได้
แต่ก็นั่นแหละ นี่มันยุคโบราณ ต่อให้นางอธิบายจนปากฉีก คนเหล่านี้ก็ไม่มีทางเชื่อว่าสตรีสามารถอยู่ได้โดยไม่มีสามี
“ซูเฟย ต่อไปเจ้าอย่าได้พูดเรื่องนี้อีกรู้หรือไม่ หากเจ้าไม่ยินดีร่วมหอกับหยางเอ๋อร์ เช่นนั้นหากเขาพบเจอคนถูกใจ เจ้าก็ค่อยรับนางเข้ามา แต่งเป็นฮูหยินรองหรืออนุให้เขาก็ได้ นะ”
ซูเฟยได้แต่นั่งนิ่งงันกับคำขอร้องของไท่ฮูหยิน แต่ที่ทำให้อึ้งมากกว่า กลับเป็นการกระทำของสามีหน้านิ่งของนางต่างหาก เขากำลังเดินมาหานาง และยังเอื้อมมือมาจับให้ลุกขึ้นยืนตรงหน้าไท่ฮูหยิน ตามด้วยคำพูดอ่อนโยน “ท่านย่า หลานตั้งใจจะมีภรรยาเดียว ไม่มีทางหย่าแน่นอนขอรับ ท่านย่าเบาใจได้เลย”
“ดี! ดียิ่งนัก” มือเหี่ยวยื่นออกมากุมมือของทั้งคู่ที่กุมกันอยู่ “หยางเอ๋อร์ ย่าไม่มีทางเลือกคนผิดให้เจ้าแน่”
“หลานเชื่อขอรับ” แม่ทัพหนุ่มยิ้มอ่อนให้ย่าของตน เมื่อผู้เป็นย่าปล่อยมือ เขาก็หมุนตัวเพื่อกลับไปนั่งที่ ทว่ามือนั้นยังไม่ยอมปล่อยจากภรรยา ซูเฟยจึงต้องเดินตามแรงรั้งอย่างเสียไม่ได้ เมื่อสามีได้นั่งแต่นางไม่ได้นั่ง นางจึงเอ่ยกับคนสนิทเขาว่า
“ใต้เท้ายกเก้าอี้มาให้ที ข้าไม่อยากยืนมันเมื่อย”
“เอ่อ...” ซานเกอทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะหันมองเจ้านายตน
“อย่าเรื่องมาก ให้ยืนข้างข้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว” จินหยางเอ่ย โดยที่เขาไม่ได้เงยขึ้นมองเลยว่า ภรรยาตัวน้อยทำหน้าเช่นไร
“ชิ! ใครเขาอยากอยู่ใกล้ท่านกัน”
“อ๊ะ...นี่เจ้า” แม่ทัพหนุ่มส่งเสียงได้เพียงแค่นั้น เพราะหลังจากฮูหยินหยิกเข้าที่หลังมือเขา นางก็เดินหนีกลับไปนั่งที่เดิม
“ทำไมกลับมาล่ะซูเอ๋อร์” ไท่ฮูหยินเอ่ยถามทันที
“ท่านย่า เมื่อเช้าหลานสะดุดล้ม ตรงต้นขามีแผลเลยยืนนานไม่ได้มันปวดเจ้าค่ะ” กล่าวพร้อมกับลูบลงที่ขาของตน ซึ่งเรื่องนี้นางไม่ได้โกหก ซูเฟยสะดุดล้มกระแทกกับขอบโลงจริง ๆ และมันก็ทำให้ต้นขาฟกช้ำเป็นทางยาว เวลายืนนางจึงรู้สึกปวดมาก
แต่ทั้งหมดทั้งมวนก็เป็นเพราะความซุ่มซ่ามของนางทั้งนั้น
ทว่าผู้เป็นสามี กลับเข้าใจว่านางกำลังต่อต้าน ยามนี้เขาจึงได้มองนางด้วยสายตาคมดุ พร้อมกับกล่าวคาดโทษเอาไว้ด้วย
“รอให้หมดธุระก่อนเถิด ข้าจะจัดการกับเจ้า”
