บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 1…สาเหตุของที่ ‘แสง’ ต้องอยู่ใต้เงา [5/6]

เวลาที่ผ่านไปหลายนาทีอีกที่ไม่ใช่มีผลแค่น้ำแข็ง ไมล์เองก็เริ่มที่จะคืนสติ เขากำลังกอดคน ไม่ใช่กายหยาบกายทิพย์เหนือธรรมชาติอะไรทั้งนั้น เพราะแม้จะเหมือนกันมากในหลายอย่างๆทางกายภาค แต่บางอย่างเขากลับไม่คุ้นเคยเลย อย่างแรกคือกลิ่น เธอคนนี้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ต่างกับน้ำแข็งของเขาที่เธอจะชอบน้ำหอมที่เป็นกลิ่นดอกไม้ แต่กลิ่นตอนนี้น้ำหอมกลิ่นเหมือนแป้งเด็ก

ไมล์ค่อยๆคลายอ้อมแขน แต่ก็ไม่ปล่อยให้น้ำแข็งเป็นอิสระเสียทีเดียว เขาค่อยๆหันให้ร่างบางนั้นมาเผชิญหน้ากับเขา น้ำแข็งคล้อยตามตามแรงของไมล์ แม้เธอจะหันมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วก็ตามแต่เธอก็เอาแต่ก้มหน้า ไม่กล้าสบตาค้นหานั่น

“เธอเป็นใคร?” ไมล์เอ่ยตั้งคำถาม เสียงราบเรียบบางเบา แต่แฝงความเดือดดาลเล็กๆไว้

“เอ่อ คือ เอ่อ...” น้ำแข็งกำลังคิดหาคำตอบ “กรกต นั่นคือชื่อค่ะ”

“กรกต?” น้ำแข็งพยักหน้า แต่ก็ยังไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า และคิดว่าเธอควรจะได้รับพื้นที่มากกว่าตอนนี้ น้ำแข็งจึงพยายามจะฝืนตัวเอาร่างกายออกห่างร่างกำยำที่อยู่ในชุดนอนนั้น

“คุณได้รับบาดเจ็บ ควรทำแผลก่อนนะคะ” ไมล์เปลี่ยนสายตาไปมองหลังมือตัวเองที่จับต้นแขนของน้ำแข็งไว้อย่างมั่นคง ที่มากไปด้วยซ้ำ

“เธอเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”

“เดินเข้ามาทางประตูค่ะ” น้ำแข็งไม่มีเจตนาที่จะกวนประสาทคนถาม แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดแบบนั้น เพราะเธอรู้สึกถึงแรงบีบที่มากขึ้นที่ต้นแขนของตัวเองในทันทีเมื่อคำตอบของเธอเอ่ยออกไป

“คำถามของฉันมันไม่เคลีย์หรือว่าเธอต้องการอยากลองดูว่าเวลาฉันโกรธแล้วจะเป็นแบบไหน” น้ำแข็งอยากจะร้องไห้ วันนี้วันซวยอะไรของเธอกันนะ ฤกษ์ดีมันหายไปตั้งแต่เช้าเลย

“ปล่อย ปล่อยแขนก่อนได้มั้ยคะ มันเจ็บค่ะ” น้ำแข็งร้องขอโดยที่ยังไม่กล้าเงยหน้ามองไมล์อย่างเคย ไมล์ที่โดนเตือนสติ จึงค่อยๆคลายมือและปล่อยแขนเล็กนั้นเป็นอิสระตามขอ แต่ก็ยังใช้รัศมีร่างกายควบคุมสถานการณ์ไว้อยู่

น้ำแข็งบีบแขนตัวเอง และก้มมองเสื้อนักศึกษาของตัวเองที่เลอะเประเลือดของไมล์ สมองกำลังครุ่นคิดว่าห้องนอนของเธอที่บ้านหลังนี้จะมีชุดนักศึกษาของตัวเองไว้มั้ย ใช่ๆ น้ำแข็งมีห้องส่วนตัวอยู่ที่บ้านหลังนี้ ตามความต้องการและกรุณาของคุณหญิงศศิกานต์ ที่อยากให้น้ำแข็งมาอยู่ที่นี่ แต่ด้วยเหตุผลความกตัญญูจึงทำให้ศศิกานต์ยินยอมและขอว่ายามที่ป้าของเธอไม่อยู่ น้ำแข็งต้องมาอยู่ที่นี่ อย่าได้อยู่ตามลำพังที่บ้านของป้าโดยเด็ดขาด

“ฉันต้องไปแล้วค่ะ อะไรก็ตามที่คุณต้องการรู้ คุณแม่ของคุณจะให้คำตอบกับคุณทุกอย่างค่ะ” น้ำแข็งพูดราบเรียบ เมื่อเธอได้พื้นที่แม้จะไม่มาก แต่ก็ดีกว่าเมื่อกี้มาก

“เดี๋ยว!” ไมล์เสียงเข้มขึ้น เมื่อน้ำแข็งหันหลังให้และกำลังจะก้าวย่างจากไปเมื่อพูดจบ

“ค่ะ”

“เธอรู้ว่าฉันเป็นใคร แล้วทำไมฉันถึงจะรู้ตอนนี้ไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร เกี่ยวข้องกับคุณแม่ของฉันยังไง” น้ำแข็งถอนหายใจยาวๆ

“ก็เข้าใจนะคะ ถ้าฉันเป็นคุณ แล้วใครไม่รู้เข้ามาเพ่นพ่านในบ้าน ก็ต้องอยากรู้ในทันที แต่บางครั้งเรื่องอื่นก็ควรต้องมาก่อนจะดีกว่ามั้ยคะ คุณควรเข้าไปทำแผล และถ้าให้ดีควรไปโรงพยาบาลฉีดยากันบาดทะยักนะคะ” ไมล์ไม่ตอบ แต่ดวงตาบ่งบอกว่าไม่พอใจจดจ้องมองน้ำแข็ง และครั้งนี้ไมล์สำรวจเธออีกครั้งอย่างจริงๆจัง

น้ำแข็งรู้สึกเย็นวาบ เมื่อสายตาของไมล์กวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าสองสามรอบอย่างช้าๆและพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน คนอะไรแค่สายตาก็เหมือนจะฆ่าคนได้เลย

แต่น้ำแข็งกลับงงงัน เมื่อเธอคาดการณ์ผิดถนัดที่คิดว่าจะเจอคำถามอะไรจากเขา แต่กลับกลายเป็นว่า เขาเดินผ่านเธอไป ห่างไปเรื่อยๆ ไม่หันกลับมามองเธออีกเลย จนแผ่นหลังของเขาหายเข้าไปในตัวบ้าน น้ำแข็งจึงย่อเข่าเก็บมีดเล็กและต้นใบเตยที่ระเนระนาดอยู่บนพื้นหญ้า และเดินไปทางเดียวกับไมล์แต่น้ำแข็งแยกไปทางซ้ายเพื่อกลับเข้าไปในครัว ต้นใบเตยเพื่อเอาไปต้มกับข้าวสำหรับมื้อเช้าของทุกคนในบ้าน และใบเตยกับน้ำดื่มที่แสนจะโปรดปรานของคุณหญิงศศิกานต์

ไมล์จับจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ตอนนี้เขารู้สึกอย่างเดียวคือ โกรธ เหตุผลที่โกรธเขาไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาโกรธ โกรธตัวเองและเธอคนนั้น เธอคนที่เหมือนกับน้ำแข็ง น้ำแข็งของเขา สองมือกำแน่นจนของเหลวสีแดงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไมล์ก็ไม่สนใจปล่อยให้ทุกอย่างเงียบสงบในห้องน้ำนานหลายนาที จนสายตาเหลือบมองนาฬิกาใกล้เวลามื้อเช้าแล้ว ไมล์ไม่อยากให้ทุกคนสงสัย เลยจัดการตัวเองพร้อมกับแต่งตัวในชุดที่เป็นกึ่งทางการ เชิ้ตขาวแขนยาวกับกางเกง สแล็คสีดำ และเดินลงไปยังห้องอาหารข้างล่าง คุณตาและคุณแม่นั่งรอเขาอยู่แล้ว

“มือ มือไปโดนอะไรมา” ศศิกานต์เอ่ยถามทันที เมื่อไมล์ทรุดลงนั่งฝั่งตรงข้ามและยกมือขึ้นหยิบแก้วน้ำดื่ม

“มีดบาดนิดหน่อยครับ” ไมล์เหลือบมองหลังมือตัวเองนิดหนึ่งก่อนตอบ แบบไม่เดือดร้อนและแยแสอะไร

“ไม่หน่อยเลยนะ แม่ว่าไปฉีดยากันบาดทะยักเสียหน่อยเถอะ”

“ครับ” เอกพจน์เหลือบมองหลานชาย บางอย่างในตัวไมล์เปลี่ยนไปมาก แม้จะยังเป็นเรื่องเล็กๆที่ไมล์ยังตามใจมารดาที่เป็นมาโดยตลอดก็ตามที แต่บางอย่างมันขัดๆกับความรู้สึกของเขาตอนนี้แปลกๆ ไมล์เป็นประเภทดื้อเงียบ ถ้าเงียบนั้นคือไมล์แค่รับฟัง แต่ถ้าไม่รับปากว่าจะทำ นั่นก็คือไม่ทำ

“ไปตามมาได้แล้ว” เอกพจน์เหลียวไปข้างหลัง บอกกับเด็กในบ้านที่เข้าใจดีว่าหมายถึงใคร แต่จันทร์ยังไม่ทันจะได้ขยับ น้ำแข็งก็เดินเข้ามา พร้อมกับในมือถือถาดที่มีข้าวต้มกลิ่นหอมใบเตยลอยนำแตะจมูกคนที่นั่งอยู่ และแน่นอนว่าไมล์อยู่ในสายตาของศศิกานต์ทันที แต่...

ไมล์กลับไม่มีท่าทางให้ศศิกานต์ได้จับพิรุธอะไรเลย เมื่อเขาแค่ขยับพิงพนักให้จันทร์ที่เข้ามาช่วยน้ำแข็ง ยกชามข้าวต้มวางตรงหน้าเขา หลังจากที่วางให้คนอื่นแล้ว

“น้ำแข็ง นั่งลงได้แล้วจ๊ะ”

! คราวนี้ไมล์มีท่าทางตอบกลับทันที กับคำเรียกขานนั้น ‘น้ำแข็ง’ อย่างงั้นเหรอ ดวงตาฟ้าครามที่ค่อยๆเข้มมากขึ้น มองน้ำแข็งที่นั่งลงตามคำของมารดา ข้างๆมารดาของตนอย่างเป็นกันเอง

“ไมล์ แม่ขอแนะนำ นี่น้ำแข็ง น้ำแข็งนั่นพี่ไมล์ เรียกพี่ไมล์ว่าพี่ไมล์ก็ได้จ๊ะ” น้ำแข็งกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก กับรอยยิ้มนิดๆให้กับศศิกานต์ก่อนที่จะหันไปยกมือไหว้ไมล์อย่างเป็นทางการ

“สวัสดีค่ะ” น้ำแข็งที่ถือว่าตัวเองเป็นผู้น้อยที่ต้องรักษามารยาท จึงเป็นฝ่ายนอบน้อมอย่างน่าดูชม ตรงข้ามกับไมล์ที่ถึงแม้จะไม่โผงผางใส่ แต่สายตานั้นก็ไร้ซึ่งมิตรภาพที่ดี และแน่นอนว่าเอกพจน์และศศิกานต์ก็ไม่ได้ตาบอด แต่ทั้งสองก็ไม่เอ่ยกล่าวตำหนิไมล์ ศศิกานต์จึงทำลายบรรยากาศอึมครึมนี้โดย...

“น้ำแข็งทำไมถึงสวมเสื้อยืดละ”

“อ๋อ น้ำแข็งซุ่มซ่าม เสื้อนักศึกษาเลอะนะคะ พี่กันยาเลยจัดการให้อยู่” ศศิกานต์พยักหน้าและบอกให้ทุกคนลงมือทานได้แล้ว

น้ำแข็งก้มหน้าลงมือกินข้าวต้มกุ้ย แม้เธอจะรู้สึกตลอดเวลาถึงสายตาเย็นๆของคนตรงข้าม อุ้ย! เมื่อสองคนที่ใจตรงกัน เอื้อมไปจับช้อนกลางในจานยำไข่ต้มยางมะตูม น้ำแข็งตกใจรีบถดถอยมือตัวเองออกมาทันที และเปลี่ยนไปหยิบขวดซอสแม็กกี้แทน บนโต๊ะยังคงเงียบแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในสายตาของผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นด้วย แต่ทุกคนก็เลือกที่จะเงียบ

น้ำแข็งรู้สึกเหมือนมือเธอจะไหม้ แค่สัมผัสโดนมือของคนตรงข้าม เพียงแค่เสี้ยววินาที แต่ยังกับว่าตอนนี้มือเธอถูกเขาบีบรัดอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย ทำไมเธอถึงหายใจไม่ค่อยออกนะ

“ไมล์ วันนี้มีโปรแกรมจะไปไหน” เอกพจน์เอ่ยถามหลานชาย

“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษครับ ก็คงต้องไปฉีดยาตามความต้องการของคุณแม่ครับ”

“เราไม่คุ้นเส้นทาง ให้สายันต์ขับรถไปให้แล้วกัน”

“คุณแม่ต้องไปไหนไม่ใช่เหรอครับ” ไมล์มองการแต่งตัวของมารดา ก็รู้ทันที เพราะสายันต์เป็นคนขับรถให้กับมารดาของตนแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้สายันต์จะเป็นคนสนิทอีกคนของคุณตาที่ติดตามและขับรถให้ตลอดเวลาสลับกับลุงใบ

“งั้นน้ำแข็ง นั่งบอกทางพี่ไมล์เขาไปได้มั้ยจ๊ะ เพราะโรงพยาบาลกับมหา’ลัย ก็ทางเดียวกัน” ศศิกานต์ได้โอกาส จึงไม่อาจปล่อยไปได้ และนั่นทำให้น้ำแข็งถึงกับตัวแข็งทันที เธอยังเงียบและรอให้ไมล์ปฎิเสธ แต่รอ เวลาผ่านไปเกือบนาที ก็ไม่มีเสียงอะไรออกมา

“ค่ะ” น้ำแข็งจึงมีทางออกเดียว

“อย่างไรแล้วก็ช่วยเป็นธุระจัดการให้พี่เขาด้วยนะ หมอนนท์ไม่อยู่ ในโรงพยาบาลก็ไม่มีใครที่รู้จักพี่ไมล์ ถ้าขืนให้ไปกรอกประวัติ อะไรพวกนี้ มีหวังพี่เขาพาลจะไม่ไปฉีดยาเอาง่ายๆ” ศศิกานต์ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดไปอีกครั้ง จึงฝากฝังไมล์กับน้ำแข็งเสียดิบดี และศศิกานต์ก็รู้ว่าเธอไม่ผิดหวังแน่นอน

“รุกหนักไปมั้ย” เอกพจน์เอ่ยกับบุตรสาวที่แยกกันออกมาจากห้องอาหารกันตามลำพัง

“คุณพ่อว่า ไมล์เขาแปลกๆมั้ยคะ ไม่มีท่าทางแปลกใจอะไรเลย อย่างกับว่าสองคนนี้เจอกันแล้ว” ศศิกานต์ไม่ได้ตอบคำถามของบิดา แต่แปลกใจและตามไม่ทันความคิดของบุตรชายตนมากกว่า ในเมื่อไมล์ไม่แสดงท่าทางอะไรเลย ศศิกานต์ก็คิดว่าตนก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอะไร แม่ลูกกันก็พอจะรู้จักรู้ใจกันบ้างถึงไม่มากนักในตอนนี้ ตอนที่ไมล์เติบโตเป็นผู้ชายสมชายแล้วก็ตาม

“ไมล์ไม่ใช่คนช่างซัก เราต่างก็รู้ดี เมื่อก่อนยังพอคาดเดาได้ แต่ตอนนี้พ่อรู้สึกว่าไมล์เขาเปลี่ยนไป เก็บอารมณ์ความรู้สึกได้ดีมาก เอาเถอะ อย่างไรแล้ว ก็ระวังหน่อย ให้เขาสองคนสมัครใจเองอย่าได้ถึงกับไปบังคับกัน และอย่าได้ทำให้ไมล์รู้สึกว่าเราเอาความรู้สึกของเขามาล้อเล่น” เอกพจน์เตือนศศิกานต์ ตามประสาคนที่ผ่านโลกมามาก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel