ตอนที่ 1…สาเหตุของที่ ‘แสง’ ต้องอยู่ใต้เงา [6/6]
น้ำแข็งที่ขอตัวกลับขึ้นมาห้องนอนของตนที่มีอยู่ในบ้านหลังนี้ แม้เสื้อนักศึกษาจะถูกเปลี่ยนกลับคืนร่างของเธอนานแล้ว แต่น้ำแข็งก็ไม่อยากที่จะรีบลงไปเลยทั้งๆที่มีคนรออยู่ก็ตาม
“น้องยังไม่เสร็จเหรอ” ศศิกานต์หมายถึงน้ำแข็ง เมื่อเดินมาถึงห้องรับแขกเพื่อที่จะออกไปข้างนอก แต่เห็นบุตรชายนั่งอ่านหนังสืออะไรสักเล่มอยู่
“ครับ” ไมล์ตอบรับสั้นๆ
“งั้นเดี๋ยวแม่ไปดูให้ก่อนแล้วกัน”
“ไม่ต้องหรอกครับแม่ ผมไม่ได้รีบอะไร” ไมล์วางหนังสือในมือและลุกขึ้นยืนเข้าไปหอมแก้มมารดาและกล่าวลา ศศิกานต์ยอมโอนอ่อนผ่อนตามใจไมล์ และก่อนจะไปศศิกานต์เหมือนมีอะไรอยากเอ่ยอยากถามไมล์ แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่ถาม เพราะมันจะไปกระตุ้นเรื่องน้ำแข็งอีกคนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับมากเกินไป แม้เธอจะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมบุตรชายไม่มีคำถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธออยากอธิบายว่า เรื่องน้ำแข็งที่อยู่ชั้นสองของบ้าน มันเป็นพรหมลิขิต แต่เอาเถอะ! ให้พวกเขาตัดสินใจเองดีกว่า
น้ำแข็งที่ต้องลงมาจนได้ เธอเดินไปยังห้องรับแขก และเห็นเขานั่งอยู่เพียงลำพัง เขากำลังอ่านหนังสือ น้ำแข็งเกิดความลังเล และเหมือนเธอจะยังไม่ได้ไปลาคุณท่าน นั่นเป็นเหตุผลให้น้ำแข็งได้ต่อเวลาหายใจของตัวเองไปได้อีก น้ำแข็งที่หันหลังกลับและไปยังระเบียงที่เอกพจน์ชอบไปอยู่ที่นั้น โดยมีสายตาเยือกเย็นติดตามไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว
“ไปได้สักทีนะ” ไมล์เอ่ยเสียงเบาๆ แต่แฝงความประชดประชันไว้ เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสิบนาที น้ำแข็งก็กลับมาปรากฎตัวอีกครั้ง
“ขอโทษค่ะ” น้ำแข็งรู้ตัวแต่เธอก็ไม่ได้สำนึกผิดอะไร แต่เธอก็ยังเอ่ยคำ ขอโทษออกไป
“ถ้าไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูด ก็อย่าพูดออกมา เพราะมันเป็นหนึ่งในกลุ่มคำในหลายๆคำที่เป็นคำศักดิ์สิทธิ” น้ำแข็งมองไมล์เธอไม่เข้าใจความหมาย แต่รู้สึกถึงความไม่พอใจที่ไมล์ส่งมา น้ำแข็งจึงเลือกที่จะเงียบเสียง และยืนอยู่กับที่ รอ เธอรอให้เขาขยับและเธอค่อยเดินตามหลังไปห่างๆแบบเงียบๆแล้วกัน
ไมล์จ้องมองใบหน้างดงามน่ารักแบบที่ชอบนั้นอยู่นาน เขากำลังมองหา เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ ผู้หญิงตรงหน้าอาจจะไปทำศัลยกรรม คุณแม่อาจจะเป็นเจ้าของความคิดนี้ แต่คิดแบบนั้นไมล์ก็รู้สึกไม่ดีนัก เพราะนั้นเขาก็คิดไม่ดีกับแม่
ไมล์ที่ยืนนิ่งจ้องมองใบหน้าหวานละมุนนั้นอยู่นาน แต่ต้องขยับก้าวเท้าเดินออกจากห้องรับแขกไปยังรถที่ถูกเลือกมาให้เขาแล้ว รถเบนซ์ของแม่ ไมล์ก้าวขึ้นประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัย น้ำแข็งที่เดินตามมาอย่างห่างๆ จำต้องเร่งฝีเท้าทันที เมื่อไมล์ที่เข้าไปในรถแล้วเขาสตาร์ทรถทันที น้ำแข็งแม้จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่ในใจกลับอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขาจะไปเลยโดยไม่รอเธอหรือทิ้งเธอไว้ ก็ดีนะ! เธอเต็มใจให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น
ไมล์เคลื่อนรถออกไปทันที เมื่อน้ำแข็งไม่สมหวัง แต่ทันทีที่เข้ามานั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้ว น้ำแข็งก็ล้วงโทรศัพท์ของตนเองออกมา เธอกดอะไรอยู่ไม่นานเสียงแรกที่เกิดขึ้นภายในรถคือเสียงนำทางจากแอฟแมพ [maps]
“หนวกหู” ไมล์คำรามออกมาอย่างไม่พอใจ
“ขะ...ขอโทษค่ะ” น้ำแข็งรีบปิดทันที “อ๊ะ! อย่าคะ ไม่ต้องขึ้นสะพาน” น้ำแข็งรีบเอ่ยบอก เมื่อไมล์กำลังขึ้นทางต่างระดับ “มันเลยโรงพยาบาลค่ะ”
ไมล์ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ทำตามที่น้ำแข็งบอก
Grrrrr Grrrr น้ำแข็งหันไปมองไมล์ทันที เมื่อเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นมา
“ตาม สบาย” ไมล์เอ่ยย้ำทีละคำ น้ำแข็งจึงพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ และกดรับสายโดยเอามือป้องปาก
“นาย”
“พี่สาว เย็นนี้ผมไปรับพี่ที่ มหา’ลัย นะครับ”
“อีกแล้วนะ”
“นะครับ ผมก็อยากดูแลมื้อเย็นให้กับพี่สาวอีกสักมื้อ”
“เจอกันที่เดิมแล้วกัน ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาให้เปลืองค่ารถ”
“ไม่เอาหรอกแบบนั้นพี่สาวก็เอาแต่นั่งรถเมล์ ผมไปหาพี่แล้วเรานั่งแท็กซี่กลับกันนะครับ” น้ำแข็งแอบชำเลืองมองไมล์ที่ยังเงียบสงบอยู่ แต่ถ้านานกว่านี้ เขาอาจจะไม่พอใจเอาก็ได้ น้ำแข็งจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็วและกดวางสาย
“ถึงแล้วค่ะ เลี้ยวซ้าย” น้ำแข็งรีบร้องบอกไมล์ เมื่อหันมามองด้านหน้า ไมล์ยังเงียบอยู่เช่นเดิม และเลี้ยวเข้าช่องทางเข้าของโรงพยาบาล “จอดตรงนี้ก่อนได้มั้ยคะ เดี๋ยว เอ่อ น้ำ...ดิฉันจะเข้าไปจัดการเรื่องกรอกประวัติ”
“ฉันไม่ใช่คนขับรถของเธอ” ไมล์พูดออกไปและเคลื่อนรถเข้าช่องรับบัตร สู่อาคารจอดรถ น้ำแข็งชำเลืองมองหน้าด้านข้างของไมล์ เขาสงบนิ่ง นิ่งจนเธอคิดว่าไมล์ไม่อาจแยกแยะระดับคำพูดที่สุภาพแบบที่สุภาพชนทั่วไปเขาใช้กัน
น้ำแข็งยังคงเหมือนเดิม เธอเดินตามหลังไมล์ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินออกจากลานจอดรถ ลิฟท์ที่มาเปิดพอดีเมื่อไมล์เดินมาถึง ไมล์เดินเข้าไปและปล่อยให้ประตูลิฟท์ปิดไม่ใส่ใจน้ำแข็งที่เดินมาถึงพอดี และก็ไม่ทัน
“อะไรของเขาละเนี่ย” น้ำแข็งร้องเสียงเบาอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กดเรียกลิฟท์ เธอเลือกที่จะเดินลงบันได เพราะเค้าเตอร์กรอกประวัติอยู่ชั้นล่างไปอีกแค่สองชั้น
ไมล์ยืนรอน้ำแข็งหน้าเค้าเตอร์ ดวงตาเข้มหรี่ลงเมื่อร่างบางในชุดนักศึกษากำลังเดินมาทางนี้ น้ำแข็งไม่สนและไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ไมล์ทำไว้กับเธอ แค่รีบจัดการสิ่งที่ต้องจัดการ และแยกย้าย หัวสมองของเธอคิดแค่นี้
“ผิดแล้ว!” ไมล์ที่ยืนเงียบมาตลอด แต่สายตามองเอกสารที่น้ำแข็งกรอกอยู่ตลอด
“ผิด?”
“ผู้ติดต่อฉุกเฉิน ทำไมต้องเป็นคุณแม่ คุณแม่ท่านอายุมากแล้ว แล้วฉันก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียว เรื่องร้ายๆเรื่องแย่ๆ ฉันไม่อยากให้คุณแม่ต้องรับรู้เป็นคนแรก” น้ำแข็งอ้าปากค้าง เธอไม่เคยคิดแบบนี้ได้เลย ปกติผู้ติดต่อฉุกเฉินก็ต้องเป็นคนใกล้ชิดไม่ใช่เหรอ น้ำแข็งเริ่มสูญเสียจุดยืนของตัวเองเสียดื้อๆ พอเอาคำพูดของเขามาคิด ก็จริง ทำไมเราถึงให้คนที่เรารักและไว้ใจที่สุดเป็นผู้รับเรื่องร้ายๆของเราด้วย
“แล้วให้ใส่ใครไปดีคะ?” น้ำแข็งเอ่ยถาม
“เธอ” น้ำแข็งเบิกตากว้างมองไมล์ เขาหมายถึงตัวเธอ เข้าใจตรงกันมั้ยเนี่ย แล้วเธอจะกรอกตรงความสัมพันธ์ว่าอย่างไรละ ถ้าเขาให้เธอระบุตัวเองเป็นผู้ติดต่อฉุกเฉินในประวัติของเขา
“ค่ะ” น้ำแข็งตอบรับสั้นๆ และคราวนี้เป็นไมล์ที่ต้องเบิกตากว้าง เมื่อ น้ำแข็งระบุความสัมพันธ์เขากับเธอว่า ‘เด็กในความอุปการะของมารดาเจ้าของประวัติ’
“ช่างกล้า” ไมล์เอ่ยออกมาอย่างไม่เดือดร้อนอะไร และน้ำแข็งก็ไม่สนใจ เธอเอาเอกสารไปยื่นและไปนั่งรอเรียก โดยที่ไม่หันมามองไมล์เลย และเมื่อเจ้าหน้าที่ขานเรียก
“วันนี้เป็นอะไรเหรอคะ?” เจ้าหน้าที่เอ่ยถามซักประวัติตามหน้าที่
“โดนมีดบาดหลังมือค่อนข้างสาหัสเหมือนกัน เลยอยากทำแผลและฉีดยากันบาดทะยักค่ะ” เจ้าหน้าที่พยักหน้าเข้าใจ จึงก้มลงพิมพ์ทันที และยื่นเอกสารให้กับน้ำแข็งและบอกให้เธอพาคนเจ็บไปยังแผนก ER [EMERGENCY ROOM] น้ำแข็งกล่าวขอบคุณ และเดินออกมาจากที่ไมล์นั่งรออยู่ “นี่ค่ะ คุณเดินไปตามทางเดินนี้ และยื่นเอกสารให้กับพยาบาลหน้าห้องได้เลยค่ะ เสร็จเรื่องแล้ว ขอตัวนะคะ” น้ำแข็งพูดรวดเดียวเบ็ดเสร็จจบบทความสิ่งที่ต้องพูด แต่ไมล์ก็ยังไม่รับเอกสารที่ น้ำแข็งยื่นให้
“ฉันฉีดยาแล้วเหรอ เธอถึงจะไปแล้ว” น้ำแข็งนิ่งงัน เขาไม่คิดจะทำอะไรเลยเหรอไง สิ่งที่น้ำแข็งคิดในใจ ในขณะที่ขาก้าวไปตามทางเดินที่พึ่งชี้บอกไมล์
“พูดออกมาแต่ละคำ ช่างน่าฟังจนอยากจะเป็นคนหูหนวกเสียให้ได้” น้ำแข็งบ่นพึมพำกับตัวเอง เมื่อแน่ใจว่าไมล์อยู่ห่างออกไป ไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพร่ำบ่นแน่นอน
“ฉันได้ยินนะ” แต่ไมล์พูดแทรกขึ้นมา “เธอยังมีหน้ามาบ่นอีกเหรอ ที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี่ ก็เพราะเธอ มีดนั่นอยู่ในมือเธอนะ” น้ำแข็งหันกลับมาทันที เพราะมันมากไปแล้วที่เขาจะเอาความผิดมาโยนให้เธอ
“ฉันไม่แทงคุณนับว่าดีแค่ไหนแล้ว คุณเป็นผู้ชายประเภทไหน ที่จู่ๆก็วิ่งเข้ามากอดผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน” น้ำแข็งสาดใส่ในที่สุด หลังจากที่อดทนอดกลั้นมาตลอดเช้านี้ และอีกอย่างเธอไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาบาดเจ็บ เพราะตอนนั้นเธอตกใจเสียมากกว่า
ไมล์กัดกรามแน่น สายตากวาดสำรวจใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้า ด้วยแววตาจับผิดแฝงความไม่พอใจไว้ “แล้วเธอเอาอะไรคิด ถึงไปทำศัลยกรรมใบหน้าแบบนี้มา”
!!! น้ำแข็ง อ้าปากค้าง เหวอไปเลย นี่เขาคิดว่าเธอไปทำหน้าแบบที่ตั้งใจให้เหมือนกับคุณน้ำแข็งของเขาอย่างงั้นเหรอ ผู้ชายคนนี้ หลงตัวเองได้ขนาดนี้เลย เหรอ ประสาทเหรอเปล่า ฉันเนี่ยนะจะไปทำศัลยกรรม แค่จะกินยังไม่ค่อยจะมี น้ำแข็งได้แต่คิดในใจไม่กล้าหาญถึงขนาดที่จะเอ่ยออกไป และเธอก็เลือกที่จะเงียบเสียงไว้ดีกว่า เพราะพูดไปรันแต่จะไม่จบไม่สิ้น ไปให้ไกลๆเขาจะดีกว่า ไม่งั้นอาจถูกตีความว่าเธออยากใกล้ชิดเขาก็เป็นได้ เพราะถึงขั้นคิดได้ว่าเธอไปทำศัลยกรรมให้เหมือนกับผู้หญิงที่เขารัก
“ถึงแล้วค่ะ ดิฉันกลัวเข็ม รอข้างนอกนะคะ” น้ำแข็งปดคำโต เธอหาข้ออ้างที่ไม่ต้องเข้าไปในด้านใน เพื่อที่จะต้องไปอยู่ใกล้ๆกับเขา
ไมล์แค่มองด้วยสายเหยียดหยันก่อนจะเดินเข้าไป ท่าทางแบบนั้นไปหลอกเด็กเถอะ แม้ไมล์จะมองออกว่าเป็นข้ออ้างแต่เขาก็ไม่ขัด เพราะเขาก็ไม่ได้อยากให้น้ำแข็งต้องเข้าไป ตามติดตัวเขาเหมือนกัน
[กินข้าวเที่ยวกันมั้ย] น้ำแข็งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เห็นข้อความที่พิมส่งมาทิ้งไว้ น้ำแข็งจึงตอบกลับไปว่า [ตกลง] เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ไมล์ก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“เรียบร้อยแล้วนะคะ” น้ำแข็งยิ้มออกมา เมื่อไมล์พยักหน้า “งั้น สวัสดีค่ะ” น้ำแข็งยกมือไหว้พร้อมกล่าวลา
“ฉันอนุญาตให้เธอไปแล้วเหรอ” เสียงราบเรียบที่ไม่เดือดร้อนดังตามมา น้ำแข็งหยุดฝีเท้าและหันกลับมา
“ก็เรื่องของคุณสิค่ะ หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาของดิฉันเสร็จแล้วค่ะ”น้ำแข็งพูดแค่นั้นหันกลับเร่งฝีเท้าเพื่อให้ห่างจากไมล์มากที่สุดในทันที
ไมล์ไม่ยื้อหยุดน้ำแข็ง ได้แต่มองตามด้วยสายตาเยือกเย็น และช่วงเวลาที่เหลือของวันนี้ไมล์ไม่มีอะไรที่ต้องทำสำหรับการกลับมาเมืองไทยอย่างถาวรในวันที่สาม แม้เรื่องของผู้หญิงที่ชื่อน้ำแข็งจะรบกวนจิตใจเขาไม่น้อยก็ตามทีเถอะ แต่เอาเถอะเขาก็จะใจเย็นๆ รอดูว่าเธอคนนั้น น้ำแข็ง กรกต เธอเข้ามาใกล้ชิดกับคนในครอบครัวของเขาเพื่อจุดประสงค์อะไร
ทางด้านน้ำแข็งที่สามารถขึ้นรถเมล์ได้แล้ว ก็รู้สึกโล่งใจหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น เธอไม่ชอบความรู้สึกของตัวเองยามที่ต้องอยู่ใกล้ๆกับบุตรชายของผู้มีพระคุณเลย เอาเถอะคงไม่จำเป็นต้องเจอกันบ่อยนักมั้ง
