บท
ตั้งค่า

บทที่๙ ถล่มรังโจรตอนจบ

แอรีสหันกลับไปสบตากับโจรด้วยสายตานักฆ่า โจรคนนั้นสัมผัสได้ถึงจิตอาฆาตก่อนจะร้องตะโกนขึ้นอย่างหวาดหวั่น “มีผู้บุกรุก!!”

แอรีสปล่อยจิตวิญญาณและชักดาบคู่เข้าฟันโจรที่ร้องตะโกนขึ้นเมื่อครู่อย่างไม่ปราณี พวกโจรเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเมื่อครู่ ต่างพากันวิ่งออกมาจากตัวบ้านและล้อมรอบเพอร์สันและแอรีส ทั้งคู่หันหลังชนกันและเข้าปะทะกับพวกมันอย่างไม่หวั่นเกรง พวกมันพากันล้มตายเกลื่อน ส่วนพวกที่เหลือรอดไม่กี่คนต่างวิ่งกับเข้าไปในกำแพงบ้าน

“คงต้องลุยไปตรง ๆ ล่ะคราวนี้” เพอร์สันว่า “ถ้าเจ้าอยากมายุ่งนักก็ตามใจ แต่อย่ามาเกะกะข้าก็แล้วกัน”

“ข้ามีนามว่าแอรีส” ชายร่างใหญ่บอก “ฝีมือดาบของเจ้าชั่งเก่งกาจนัก เจ้ามีนามว่าอะไรรึ”

“ไม่จำเป็นต้องบอก” เพอร์สันตอบกลับ พลางโล่งอกในใจเมื่อรู้ว่าแอริสยังไม่รู้ว่าเขาคือใคร

“ไม่ประสงค์เอ่ยนามก็ไม่เป็นไร” แอรีสบอกและยิ้มที่มุมปาก

ทั้งคู่ก้าวพรวดเข้าไปที่ประตูกำแพง ลูกธนูพุ่งหวีดหวิวสาดเข้ามาตามทางเดิน ขณะที่ทั้งคู่กระโดดกลับมา พวกเขานำศพพวกโจรมาเป็นโล่บังลูกธนู และวิ่งเข้าปะทะกับพวกกองธนู เวลาหลังจากนั้นไม่นานพวกโจรในบ้านก็ออกมาสมทบกับพวกกองธนู การโจมตีเป็นไปอย่างดุเดือด แต่ความดุดันของฝ่ายรับก็ทำให้พวกมันต้องหวาดผวา ทั้งคู่สังหารพวกมันไปหลายศพ เมื่อโจรเกือบยี่สิบคนล้มลงตายเกลื่อนแล้ว พวกที่เหลือก็เผ่นหนีกันแตกกระเจิง ทิ้งฝ่ายรับไว้โดยที่ทั้งคู่ไม่มีใครบาดเจ็บ

แอรีสเดินตามเพอร์สันผ่านประตูทิศใต้เข้าไป เมื่อเข้ามาอยู่ในทางเดินกว้าง ทั้งคู่เดินไปเรื่อย ๆ จนพบประตูบานหนึ่งสูงใหญ่ เปิดอ้าติดอยู่กับบานพับ ข้างหลังประตูเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างห้องหนึ่ง ทั่วบริเวณห้องมีลายแกะสลักหินอันละเอียดอ่อนและงดงาม มีชายคนหนึ่งผมสีน้ำตาลดำสวมชุดเกราะสีดำยืนรออยู่ และมือถือดาบใหญ่เตรียมออกศึก

“เจ้าคือหัวหน้ากองโจรซินะ” เพอร์สันพูดขึ้น

ใช่ เจ้าเป็นใครกัน บังอาจมาบุกรุกบ้านของข้า หรือว่าเป็นทหารรับจ้างที่เจ้าเศรษฐีนั้นส่งมา” มันถามด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวโกรธ

“ข้าคือคนที่จะมาเด็ดหัวเจ้าและก็แย่งเอาเงินที่พวกเจ้าปล้นมา” เพอร์สันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“เจ้ามาเพื่อการนี้งั้นรึ มาขโมยเงินต่อจากพวกมันเนี่ยนะ” แอรีสถามพลางยักไหล่ขึ้น

“เรื่องของข้า!! เจ้าน่ะจะไปไหนก็ไปอย่ามายุ่ง” เพอร์สันบอก

“เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่งไม่ได้ ถ้าเจ้าได้เงินมาต้องแบ่งข้าด้วยซิ” แอรีสว่า

“เฮ้ ๆ !! นี่พวกแกจะมาชุบมือเปิบเอาสิ่งที่พวกข้าหามาแทบตายไปง่าย ๆ รึไง” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ก้องกังวาน

ก่อนที่แอรีสและเพอร์สันจะได้ยินเสียงวิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พวกโจรที่เหลืออยู่วิ่งเข้ามาในห้องนับสิบคน และปิดกลั้นทางออกไว้

“ถ้าเจ้าอยากเล่นสนุกต่อ ก็ไปสู้กับพวกกลุ่มโจรนั้นเถอะ เจ้าตัวหัวหน้าเป็นเหยื่อของข้าเจ้าอย่ามายุ่งล่ะ” เพอร์สันบอก

แอรีสยิ้มตอบรับก่อนกระโจนเข้าไปหากลุ่มโจร แอรีสปล่อยพลังจิตวิญญาณระดับผู้กล้าขั้นที่หนึ่งออกมาบวกกับร่างกายที่ใหญ่โตและทรงพลัง ทำให้สังหารพวกลูกสมุนลงคนแล้วคนเล่าอย่างง่ายดาย ส่วนเพอร์สันก็พุ่งไปหาเจ้าตัวหัวหน้า เขาพุ่งหลบดาบมันด้วยความว่องไวประดุจงูเลื้อย เขาหรี่ตรงไปหามันก่อนปล่อยพลังจิตวิญญาณขั้นที่หนึ่งระดับเก้าออกมา ทั้งสองประดาบกันอย่างดุเดือด

“พลังจิตวิญญาณระดับก่อเกิดขั้นที่เก้า? จะมาสู้พลังจิตวิญญาณระดับพาราดินขั้นที่หนึ่งอย่างข้า น่าขันนัก” มันพูดขึ้นพลางแสยะยิ้มออกมาก

เพล้ง!! เพล้ง!!เพล้ง!!

ดาบใหญ่ของมันกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่ง ทุกดาบที่มันฟาดฟันออกไปล้วนบรรจุพลังที่เปี่ยมล้น แต่เพอร์สันเองก็ไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ออกมา แต่กลับกันเขาสามารถตอบโต้หัวหน้ากองโจรได้อย่างสูสี

“ฮึ่ม!!” มันกัดฟันแน่น พร้อมกระหน่ำรุกเข้ามาด้วยเพลงดาบอย่างต่อเนื่องและรุนแรงกว่าเดิม

เพอร์สันได้จังหวะก่อนจะปัดดาบของมันเบนออกไปด้านข้างและใช้เท้าถีบร่างของมันออกไป หลังจากเขาได้ทำลายจังหวะการรุกของมัน ก็พุ่งเข้าไปหามันอย่างรวดเร็ว และเงื้อดาบฟันเต็มแรงจนด้ามดาบใหญ่ของมันหักสะบั้น วินาทีนั้นเขาหมุนตัวเหวี่ยงดาบเพียงครั้งเดียว เขาก็ส่งหัวของหัวหน้ากองโจรลอยละลิ่วออกจากร่างที่ยืนแข็งทื่อ ลูกสมุนของมันต่างเผ่นหนีอลหม่านเมื่อหัวหน้าของมันสิ้นใจ

“ดาบและฝีมือมันต่างชั้นกันนะเจ้าโจรโง่” เพอร์สันพูดขึ้นหลังจากที่เดินไปหยิบหัวของมันที่อยู่บนพื้นขึ้นมาดู

“ชั่งน่าอิจฉาจริงๆ ที่ได้เป็นคนเด็ดหัวของตัวหัวหน้า” แอรีสบอก

“เจ้าเองก็ดูบ้าระห่ำกว่าที่ข้าคิดนะ” เพอร์สันว่า “ส่วนแบ่งน่ะข้าให้เจ้าสามสิบเปอร์ พอใจรึไม่”

“สี่สิบเปอร์เซ็นได้ไหม ข้าอุตส่าห์เสียพละกำลังไปตั้งมาก” แอรีสบอก ก่อนที่จะสลัดคราบเลือดออกจากปลายดาบและเก็บเข้าฝัก

“เจ้าอยากเข้ามายุ่งเองนะ” เพอร์สันว่า และเอาปลายดาบมาจ่อที่คอหอยของแอรีสอย่างรวดเร็ว โดยที่แอรีสเองก็รับมือไม่ทัน “สามสิบเปอร์เซ็น ตกลงไหม” เขาพูดย้ำ

“เอ่อออ ได้! ได้ตามที่เจ้าขอ” แอรีสกล่าว พลางหวั่นชายที่อยู่ตรงหน้า ถึงตัวเขาจะมีพลังที่มากกว่าชายในชุดเกราะ แต่ฝีมือในเชิงดาบและจิตสังหารนั้นมันต่างชั้นกับเขามาก ก่อนที่ชายในชุดเกราะจะเดินไปค้นตัวหัวหน้าโจร “แล้วเงินที่พวกมันปล้นมาจะเอาอย่างไร สงสัยว่าเราต้องไปจับตัวพวกมันที่เหลือรอดให้บอกทาง”

“ไม่จำเป็น” เพอร์สันบอก เขาใช้คลื่นเสียงอุลตราโซนิกเพื่อตรวจดูที่เก็บเงิน ก่อนที่แอรีสจะเดินตามเขาลงไปบันไดลับทางหลังบ้านจนพบที่ซ่อนของเงิน หลังจากที่เก็บเอาเหรียญเงินที่เหลือไม่มากใส่ถุง เขาก็แบกเงินถุงโตหนึ่งใบและยื่นถุงเล็กให้แอรีส “เหมือนจะมีพวกมันบางคนรีบเข้ามาเก็บและไปอย่างเร่งรีบเลยยังมีเงินทองเหลืออยู่ ถึงมันจะไม่มากนักก็เถอะ” เขาว่า

แอรีสคว้าถุงเงินจากเพอร์สัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปที่คอกม้าของพวกโจร “เจ้าจะไม่กลับเข้าหมู่บ้านรึ” แอรีสถาม

“ไม่ล่ะ” เพอร์สันพูดสั้น ๆ “ขอตัว” เขาดึงบันเหียนม้าก่อนมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านในเวลาเช้าค่ำ

“หึ! หมอนี่น่าสนใจจริง ๆ” แอรีสพูดกับตัวเองก่อนที่จะขี่ม้าตามเพอร์สันไป

เพอร์สันหันหลังกลับไปมองแอรีสที่ไล่ตามมา แต่เขาก็ไม่ได้ชะลอความเร็วลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขายิ่งเพิ่มความเร็วของม้าขึ้นไปอีก หลังจากที่ออกมาจากหมู่บ้านมาไกลหลายไมล์เขาดึงบันเหียนให้ม้าหยุดวิ่ง สายลมยามเช้าพัดเยือกเข้ากระทบร่างทั้งสอง เงาทะมึนแผ่ครึมอยู่เบื้องหน้า เสียงใบไม้ส่ายไหวไม่ขาดสาย เขาเหลือบมองไปที่แม่น้ำที่อยู่ลาดต่ำลงไปจากเนินเขาที่ทั้งคู่อยู่ ก่อนที่เขาจะหันหน้ามาหาแอรีสเพื่อพูดอะไรบางอย่าง

“อะไรของเจ้า! ตามข้ามาอีกทำไม” เพอร์สันถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“กลิ่นของเจ้ามันปกปิดข้าไม่ได้หรอกนะ อีกอย่างยังไงเราก็ต้องมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงเหมือนกันอยู่แล้ว” แอรีสตอบ “ใช่ไหม เพอร์สัน”

“เฮ้อออ! กลิ่นตัวงั้นหรอ” เพอร์สันถามเสียงเรียบ

“ใช้แล้ว ตระกูลทันเนลลี่ของข้ามีประสาทการดมกลิ่นที่ดี ไม่ทางที่เจ้าจะสามารถปกปิดตัวตนกับข้าได้” แอรีสอธิบาย

“ความสามารถของตระกูลเจ้ามันดูแปลกพิลึกจริง ๆ เหมือนสุนัขไม่มีผิด” เพอร์สันว่า “งั้นก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดหน้าตาอีกแล้ว” เขาบอกพลางถอดหมวกเหล็กสีดำเทาออกมา เผยให้ใบหน้าที่เป็นสง่าพร้อมกับสะบัดผมหยักศกสีน้ำตาลทองที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อออกไป

“ข้าเองก็ได้ยินมาว่าต้นตระกูลเจ้าในอดีตกาลสามารถควบค้างคาวเป็นฝูงได้ไม่ใช่รึ สมกับเป็นตระกูลที่มีสัญลักษณ์รูปค้างคาว แต่นั้นก็มิแปลกไปจากตระกูลข้าหรอกนะ” แอรีสว่า

“นั้นมันเป็นเรื่องเล่าตั้งแต่พันกว่าปีโน้น หาใช้เรื่องจริงไม่” เพอร์สันบอก

“เจ้าดูน่าเกรงขามขึ้นนะหลังจากที่ปิดเทอม และเจ้าก็เก่งขึ้นมากจนน่าตกใจ เจ้าพอจะเล่าลายละเอียดให้ข้าฟังได้หรือไม่” แอรีสถาม แต่ดูเหมือนว่าเพอร์สันจะไม่ปริปากพูดออกมา “ความลับซินะ ได้งั้นข้าจะไม่ถามเรื่องนั้นแล้วกัน”

วันนี้อากาศเริ่มครึ้มและร้อนอบอ้าวราวปลายเดือนพฤษภาคม มีลมจากทางตะวันออกพัดพรูผ่านกิ่งก้านกรูกระหน่ำอยู่ในดงสนดำทะมึนบนเนินเขา เมฆหนาสีเทาครึ้มลอยต่ำอยู่เหนือดงสน ก่อนที่เมฆกลุ่มนั้นจะละเลงฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ณ ถ้ำแห่งหนึ่งในดงสนลึกเข้าไปในมุมมืด เพอร์สันและแอรีสเริ่มก่อไฟและช่วยกันเตรียมอาหาร แสงยามโพล้เพล้เริ่มลอยต่ำลงและอากาศก็เริ่มเย็นขึ้นหลังจากที่ฝนหยุดตก ทั้งคู่ต่างพากันนั่งทานขนมปังแห้ง ๆ กับชาร้อน ๆ อย่างเงียบเฉียบในคนละมุม ก่อนที่แอรีสจะเป็นคนเปิดปากชวนคุยเพื่อทำลายบรรยากาศนี้

“นี่ก็ออกมาจากหมู่บ้านเฟิร์นนี่ได้สองวันแล้ว อีกประมาณสัปดาห์กว่า ๆ ก็คงจะถึงเมืองหลวง” แอรีสกล่าว ก่อนที่จะยกชาขึ้นดื่ม “ข้าว่าไปถึงเจ้าก็คงถูกบางคนในสถาบันล้อไม่หยุดแน่ แต่ถ้ามันได้เห็นเจ้าในตอนนี้ก็คงไม่กล้าแม้แต่จะสบหน้าเจ้าเป็นแน่” แต่ดูเหมือนที่เขาพูดไปจะไม่สามารถทำให้เพอร์สันอ้าปากพูดเลย

“ตระกูลทันเนลลี่ของเจ้าเป็นอัศวินซินะ” เพอร์สันถามพลางเขี้ยวขนมปังตุ้ย ๆ

“ใช่แล้ว” แอรีสตอบ “ตระกูลทันเนลลี่เป็นตระกูลเล็ก ๆ ที่ร่วมสาบานกับตระกูลเทรย์เวอร์ของเจ้า ซึ่งอาศัยอยูที่หมู่บ้านกีฟอันนี้เจ้าคงรู้ดี”

“อัศวินงั้นหรออืมมม แปลว่าในวันข้างหน้าถ้าเจ้าถูกแต่งตั้งเป็นอัศวิน ข้าก็ต้องเรียกเจ้าว่าท่านเซอร์ซินะ” เพอร์สันกล่าวพลางยิ้มที่มุมปาก

“ก็คงตามนั้นแหละ ท่านลอร์ดเทรย์เวอร์ในอนาคต” แอรีสพูดย้อน

ฝนฤดูร้อนกำลังตกปรอย ๆ ในขณะที่เพอร์สันและแอรีสเดินทางออกจากถ้ำในเวลาเช้าหลังจากที่ทานขนมปังและชาเหมือนเมื่อคืน เมื่อเดินไปได้ห้าหกไมล์ก็มาถึงไหล่เขา และถนนเส้นนี่เองได้ตัดพ้นหุบเขาพีท ทางคดเคี้ยวขึ้น ๆ ลง ๆ ไปทางตะวันออกตามไหล่เขาซึ่งปกคลุมไปด้วยดงไม้สลับกับดงหญ้า ซึ่งเมื่อพ้นหุบเขาพีทไปจะเป็นทุ่งกว้างสเตน

ในระหว่างที่ทั้งคู่เดินผ่านเส้นทางนี้มันดูเงียบสงัดและไร้ผู้คน แต่ก็ไม่แปลกที่จะดูเงียบถึงเส้นทางนี้จะไปถึงเมืองหลวงได้ไวแต่ก็มีโจรอยู่ชุกชุม ทำให้หุบเขาแห่งนี้ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรเท่าใดนัก ส่วนมากผู้คนจะไปเส้นทางที่ต้องอ้อมหุบเขาแต่ค่อนข้างใช้เวลาในการเดินทาง แต่ทั้งคู่หาได้กลัวกับเรื่องแบบนี้ไม่พวกเขากับเดินมาในเส้นทางนี้อย่างไม่สะทกสะท้าน แอรีสนั้นยังคงฮัมเพลงของเขาไปตลอดเส้นทางอย่างสบายอารมณ์

ทั้งคู่เดินมาถึงดงไม้ที่ยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้หลายต้นที่อยู่ตามริมถนนมีกรงเหล็กห้อยโต่งเต่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ในกรงนั้นมีศพเน่า ๆ ถูกขังไว้ เสียงแมลงวันและแมลงหวี่ส่งเสียงดัง “วื่อ วื่อ”และบินตอมศพทั่วบริเวณ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel