บทที่๗ การสนทนาในโรงเตี้ยม
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทางต่อ วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวกว่าเมื่อวันก่อนมาก มีกลุ่มเมฆกำลังตั้งเค้าทางทิศตะวันออก และดูมีทีท่าจะตกลงมาเป็นฝน การเดินทางตอนกลางวันทำให้ทั้งร้อนและเหน็ดเหนื่อย อย่างไรก็ตามหลังจากเดินทางมาได้หลายไมล์ เหล่าคณะก็เดินทางมาถึงถนนที่ตัดผ่านกับป่าฮารูส ซึ่งเต็มไปด้วยต้นสนน้อยใหญ่มากมาย ทั้งหมดเข้าไปในดงไม้มืดทึบซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นยางสน
“เดินทางมาไกลมากแล้ว พักแถวนี้ก่อนเถอะ” หัวหน้าพ่อค้าพูดขึ้น
เพอร์สันลงมาจากหลังม้าและจูงม้าไปผูกไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง และนั่งลงโขดหินใกล้ ๆ พร้อมกับมองเส้นทางที่ไกลออกไปสุดสายตา พลางคิดเรื่องต่าง ๆ เรื่อยเปื่อย
“เที่ยงนี้ข้าขอเป็นคนทำอาหารได้หรือไม่” เพอร์สันหันหน้าไปถามเนลที่กำลังเดินมาหาเขา
“ท่านทำอาหารเป็นด้วยรึ” เนลถาม “เชิญเลยพ่อครัวหนุ่มท่านจะทำเมนูอะไรรึ”
“ท่านจะเป็นคนทำงั้นหรอ พอดีพวกของข้าได้กระต่ายป่ามาสามตัว” ทหารรับจ้างสองคนพูดแทรกขึ้น
“กระต่ายป่างั้นหรอ” เพอร์สันยืนคิดเมนูอาหาร ก่อนที่จะใช้คลื่นเสียงอุลตราโซนิกตรวจดูพืชผักที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้ และพบว่าพืชผักที่จะนำมาทำมันตรงกับที่เขาเคยอ่านในตำราล่าสุดก่อนมาที่โลกนี้นั้นก็คือ อาหารไทย “งั้นข้าวานให้ท่านสองคนถอนขนกระต่ายป่าแล้วกัน หลังจากนั้นก็ซอยเนื้อให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ” เพอร์สันบอกกับทหารรับจ้าง “ส่วนท่านช่วยหุงข้าวโอ๊ตทีนะ เดี๋ยวข้าขอออกไปหาพืชผักในป่าก่อน”
“ได้! เรื่องข้าวข้าจัดการเอง แต่ว่าท่านจะออกไปคนเดียวงั้นรึ” เนลถาม
“ไม่ต้องห่วง ข้าหาอยู่บริเวณใกล้นี้แหละ” เพอร์สันกล่าวก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในป่า เขาเดินไปยังจุดที่จะเก็บได้อย่างง่ายดายด้วยคลื่นเสียงอุลตราโซนิก เขาไปที่จุดแรกและเก็บเอาใบกระเพา ก่อนที่จะไปเก็บในจุดที่สองนั้นก็คือพริก และจุดสุดท้ายเขาดึงต้นออกมาจากในดินซึ่งหัวของมันมีลักษณะกลม ๆ และมีกลิ่นฉุน นั้นก็คือกระเทียม
“ดีนะที่ได้ความสามารถนี้กลับคืนมา” เพอร์สันพูดพึมพำ ถึงเขาจะไม่ชอบกินอาหารในครั้งอดีต แต่เขาเองก็ได้ศึกษาการทำอาหารมากมายในตำราในยามที่เบื่อ ๆ และวันนี้เขาก็อยากลองทำอาหารกินเองดูบ้าง หลังจากที่ออกมาจากป่าเขาก็เตรียมกระทะและเทน้ำมันมะกอกลงไป และตามด้วยกระเทียมและพริกที่เขาสับไว้ สักพักเขาเทเนื้อกระต่ายป่าลงไปผัด และเทน้ำลงไปอีกเล็กน้อย เมื่อเนื้อกระต่ายป่ากำลังสุกเขาก็เอาเครื่องปรุงที่ใกล้เคียงกับน้ำปลาและน้ำมันหอยลงไป ซึ่งหาได้จากขบวนของกลุ่มพ่อค้า เมื่อเนื้อกระต่ายสุกได้ที่ก็ปิดท้ายด้วยใบกระเพา เขาคลุกเคล้าจนทั่วก่อนยกทัพพีขึ้นมาชิม
“รสชาติจัดไปรึเปล่านะ แต่รสชาติก็ใช้ได้อยู่ หวังว่าพวกเขาจะชอบนะ” เพอร์สันพูดกับตัวเอง และแอบหวั่น ๆ ในการทำครั้งแรก ก่อนจะยกกระทะออกแล้วราดลงจานข้าวที่ถูกเตรียมไว้ “เสร็จแล้วนะทุกท่าน ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านจะชอบหรือเปล่าแต่ก็ลองทานกันดูนะ”
“น่าตาแปลกจัง ข้าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย” ลาซูถาม พลางใช้จมูกสูดดม
“ว้าวว! รสชาติจัดจ้าน แต่ว่าอร่อย” เนลอุทานขึ้นมา ทำให้ทุกคนที่กำลังลังเลที่จะทานในตอนแรกตัดสินใจตักเข้าปาก
“ท่านทำออกมาได้อร่อยจริง ๆ รสชาติจัดจ้านและอร่อยแบบนี้ข้าเองก็ยังไม่เคยทานมาก่อนเลย” ฟรานกล่าวชม ทำให้เพอร์สันคลายความกังวลในเรื่องอาหารทันที “อาหารนี้มีชื่อว่าอะไรงั้นรึ”
“ชื่องั้นหรอ อืมมมม ผัดกระเพากระต่ายป่า” เพอร์สันบอกก่อนที่จะตักอาหารเข้าปาก
หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จต่างพากันรีบเร่งเดินทางให้ถึงหมู่บ้านเฟรินนี่ก่อนค่ำ ถนนไปหมู่บ้านเฟรินนี่ มีคนเดินผ่านไปมาในถนนเส้นนี้เป็นบางครั้งบางคราว บ้างก็พบคนแคระหรือเอลฟ์เดินสัญจรเป็นครั้งคราว
เวลาเย็น ๆ ของวันในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านเฟรินนี่ หมู่บ้านนี้มนุษย์สร้างด้วยหินอยู่ประมาณสองร้อยครัวเรือน ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนลาดเขาเหนือถนน หันหน้าไปทางทิศตะวันออกกลางหมู่บ้านแห่งนี้มีบึงน้ำสีเขียวมรกตซึ่งไม่สามารถพบเห็นได้จากที่ไหน แต่ตรงที่ถนนตัดผ่านแนวรั้วเข้ามาในหมู่บ้านมีประตูใหญ่กั้นอยู่ ตรงมุมดด้านทิศใต้ที่ซึ่งถนนตัดออกจากหมู่บ้านมีประตูใหญ่อีกบานหนึ่ง ประตูสองบานนี้จะปิดในเวลากลางคืน ทั้งหมดเดินไปถึงทางแยกในหมู่บ้าน เพอร์สันบอกลากลุ่มพ่อค้าก่อนแยกทางกันตรงจุดนั้น
เพอร์สันขี่ม้าขึ้นสะพานข้ามบึงสีเขียวมรกตไปทางทิศใต้ จนมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ตัวอาคารดูกว้างขวางใหญ่โตสูงสามชั้นมีหน้าต่างหลายสิบบาน เขาปล่อยม้าทิ้งไว้ในลานของโรงเตี้ยมแล้วก้าวขึ้นบันไดเข้าไปข้างใน เละเดินไปหาชายอ้วนเตี้ยผู้หนึ่ง ศีรษะล้าน หนวดเครายาวสีส้มแซมเทา ยืนอยู่หน้าเคาร์เตอร์
“ยินดีต้อนรับท่านลูกค้า!” เขาพูดพลางโค้งคำนับ “มีอะไรให้ข้ารับใช้บ้าง”
“เฮ้! แรมเดส” ลูกค้าใส่ชุดเกราะผู้หนึ่งร้องขึ้น “ขอเบียร์อีกสองเหยือก”
เขาหันหน้ามาทางเพอร์สัน “รอสักครู่นะท่าน” เขารีบรินเบียร์อย่างรวดเร็ว “โอ๊ค! เบียร์ได้แล้วเอาไปเสิร์ฟ” เขาตะโกน “โต๊ะสี่นะ”
“มาแล้วขอรับ! มาแล้ว!” มนุษย์ครึ่งแพะหน้าตาร่าเริงคนหนึ่งวิ่งออกมา “โต๊ะสี่รับทราบ” เขาหยิบแก้วเบียร์ใบโตสองใบ วิ่งไปเสิร์ฟอย่างคล่องแคล่ว
“ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้” เขาหันมาหาเพอร์สันอีกครั้ง พร้อมกับลอยยิ้มที่เป็นมิตร
“ข้าต้องการที่พัก กับคอกให้ม้าหนึ่งตัว” เพอร์สันบอก พลางเอาศอกยันโต๊ะ
“โอ๊ค! เห็นคอร์นไหม” เจ้าของโรงเตี๊ยมตะโกน “บอกเจ้าคอร์นว่ามีม้าหนึ่งตัวให้เอาไปเข้าคอก ด่วน!” โอ๊คเมื่อได้ยินที่เจ้านายสั่งก็วิ่งเหยาะ ๆ ออกไป พร้อมกับยิ้มและหลิ่วตา “ห้องของท่านอยู่หมายเลขเก้านะขอรับ”
หลังจากที่จ่ายค่าห้องพักล่วงหน้าสองวันในราคาสิบเหรียญเงินไปแล้ว เพอร์สันก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง และเดินหาห้องหมายเลขเก้า หลังจากที่เขาเข้าไปอยู่ในห้องหมายเลขเก้าเขาก็หันมองรอบ ๆ ห้อง ห้องพักนี้ดูกว้างพอสมควร ในห้องมีเตียงนุ่ม ๆ ริมหน้าต่าง ถัดมาทางขวามีโต๊ะและมีเก้าอี้นั่งสบายตั้งไว้สองตัว เพอร์สันวางสำภาระไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะเดินลงไปข้างล่างเพื่อหาอะไรทาน
เพอร์สันเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม ลูกค้าที่จับกลุ่มคุยกันนั้นมีมากมายหลายจำพวก มีคนแคระนั่งจับกลุ่มคุยกับมนุษย์ครึ่งสัตว์บนโต๊ะใหญ่ของห้องโถง มีคนท่าทางแปลก ๆ อยู่มุมสลัวของห้อง คนอีกกลุ่มมีคนหนึ่งยืนขึ้นมาร้องเพลง ทุกคนในห้องหันไปมองเป็นตาเดียว เสียงตบมือดังลั่นและยาวนานเมื่อชายคนนั้นร้องเพลงเสร็จ เพอร์สันเดินไปนั่งที่โต๊ะกลมตัวหนึ่งใกล้เตาผิง
ระหว่างที่เพอร์สันทานอาหารเขาก็ฟังเรื่องที่ผู้คนพูดกันไปด้วย เขาเป็นคนที่มีประสาทสัมผัสดีเยี่ยมทำให้เขาได้ยินคนที่อยู่รอบบริเวณตัวเขาสนทนากันในเรื่องต่าง ๆ ส่วนใหญ่คนแคระ มนุษย์ และมนุษย์ครึ่งสัตว์กำลังสนทนาถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นรอบบริเวณแดนเผ่าปีศาจ ข่าวนี้นับวันยิ่งหนาหูขึ้น เผ่าพันธุ์ปีศาจหลายตนบุกปล้นสะดมและโจมตีหมู่บ้านรวมทั้งคณะเดินทาง ชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง หน้าตาอัปลักษณ์ พูดเป็นลางไว้ว่าในไม่ช้าคงเกิดเรื่องยุ่งยากบนทวีปนี้ ทำให้คนในกลุ่มที่นั่งฟังดูจะไม่สบายใจต่อคำพูดนี้
หลังจากที่เพอร์สันได้ฟังข่าวมากมายและจิบเบียร์ไปด้วย เขาก็ได้ยินสิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งที่มาใหม่นั่งคุยกันในสิ่งที่น่าสนใจ ชายกลุ่มนี้นั่งอยู่ด้านหน้าเขาห่างไปสามช่วงโต๊ะ
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าเศรษฐีนั้นจะมีเงินทองที่ใต้ดินเยอะขนาดนั้น” ชายผิวสีเข้มพูดขึ้น “หัวหน้าของพวกเราฝีมือฉกาจนักฆ่าลูกน้องฝีมือดีของเจ้าเศรษฐีนั้นได้มากมาย คนของเราตายไปหลายคนมาก พวกเรากว่าจะฆ่าได้แต่ล่ะคนก็แทบแย่”
“นั้นมันแกคนเดียวต่างหาก” ชายที่มีผ้าปิดตาข้างหนึ่งพูดประท้วงขึ้น “ว่าแต่ลูกสาวเจ้าเศรษฐีนั่นสวยไม่เบาเชียวล่ะ ข้าอุตส่าห์ไปแอบสังเกตการณ์คฤหาสน์หลังนั้นตั้งนาน จนได้พบลูกสาวเศรษฐีเข้า แต่วันที่ออกปล้นกับไม่เห็นซะนี่ ไม่งั้นล่ะก็ข้าฉุดเอามาด้วยแล้ว”
“ถ้าอยู่ให้ฉุดจริง ๆ ก็คงเสร็จหัวหน้าไปแล้วไม่มีทางที่จะหลุดรอดมาถึงมือแกได้หรอก” ชายหน้าเหี้ยมเกรียมที่สุดในกลุ่มพูดแซวขึ้น “แต่เจ้าเศรษฐีนั่นมันหูตาไวนัก คงหนีออกไปกับลูกสาวก่อนพวกเราจะบุกไปถึงห้องมัน”
“ช่างมันประไรตอนนี้พวกเราก็ได้เงินทองมาตั้งมาก คราวนี้แหละสบายไปอีกหลายปีเชียว” ชายร่างเล็กพูดขึ้นก่อนยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม
ชายทั้งสี่คนพูดสนทนากันในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่รู้เลยว่ามีคนแอบฟังเรื่องที่พวกมันพูดกันอย่างออกรส เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนชายกลุ่มนี้ก็พากันลุกขึ้นและพากันเดินออกจากโรงเตี้ยม ในขณะที่เพอร์สันกำละงจะลุกขึ้นตามไป ก็มีชายคนหนึ่งเดินมานั่งที่โต๊ะเขา
“จะไปแล้วรึท่านเพอร์สัน” เนลถาม ก่อนที่ลาซูและฟรานจะเดินมาที่โต๊ะนี้
“เอ่อออ” เพอร์สันอ้ำอึงพลางชะเง้อมองออกไปนอกโรงเตี้ยม
“อยู่ด้วยกันก่อนซิ” ฟรานกล่าวพลางยกแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่ม “พวกเรามานานเกือบครึ่งชั่วโมง ให้ตายซิพวกเรากับมองไม่เห็นท่าน”
“ข้ากับหัวหน้าหันหลังให้เพอร์สันเลยมองไม่เห็น เจ้าต่างหากละที่หันหน้ามาทางเพอร์สันแต่กับตาถั่ว” ลาซูว่า
“เจ้ากุ้งแห้งอย่างเจ้ามีสิทธิ์มาว่าคนอื่นด้วยหรือไง เจ้าน่ะยิ่งเดินไปเจ๊าะแจ๊ะที่โต๊ะอื่น ๆ แต่เจ้ากับไม่สังเกตเห็นเพอร์สันเลย” ฟรานเถียง ก่อนยกเหยือกเบียร์ใบโตขึ้นมาดื่ม
“ท่านพักที่นี้งั้นรึ” เนลถาม ก่อนที่เพอร์สันจะพยักหน้ารับ “ท่านจะขึ้นไปแล้วหรือเปล่า เมื่อกี้ข้าเห็นท่านดูเหมือนจะลุกออกไปแล้ว”
“ใช่ ข้าว่าจะไปนอนแล้ว แต่ในเมื่อพวกท่านมาแล้วคุยต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน” เพอร์สันพูดแก้ต่างก่อนที่จะยกเบียร์ขึ้นมาดื่ม ‘ให้ตายซิคาดสายตาจากพวกมันจนได้’ เขาคิดขึ้นมาอย่างเสียดาย “ว่าแต่พวกท่านพักที่ไหนกันรึ”
“พวกเราพากันกางกระโจมนอนกันแถวลานหมู่บ้าน” เนลตอบ “ถ้าท่านมีสิ่งของอะไรที่สนใจอยากซื้อ ลองไปที่ร้านของพวกเราดูนะ ข้าจะลดราคาให้ท่านเป็นพิเศษ”
“ขอบคุณท่านมาก” เพอร์สันพูดอย่างนุ่มนวล “ว่าแต่พวกท่านจะอยู่อีกกี่วันงั้นรึ”
“อยู่อีกสองวันก่อนที่จะเดินทางไปยังแคว้นไนเรล” ฟรานตอบ
ซึ่งแคว้นไนเรลมุ่งหน้าไปทางเดียวกันกับเมืองหลวง ก่อนที่เลี้ยวหักออกมาทางขวามือหลังจากออกจากหมู่บ้านนี้สองร้อยไมล์ พวกเขาทั้งสี่คนนั่งคุยสัพเพเหระนานนับชั่วโมงก่อนที่จะพากันแยกกลุ่มกันกับไปพัก
‘หวังว่าพวกโจรกลุ่มนั้นจะพากันกลับมาที่โรงเตี้ยมในวันพรุ่งนี้นะ แต่ที่ต้องระวังก็คือที่คนแอบมองเราจากมุมมืดของร้าน ดูเหมือนว่าจะใส่สวมเสื้อคลุมสีดำมีฮู้ดปกปิดหน้าตาไว้ น่าเสียดายที่มองไม่เห็นหน้าอย่าให้จับได้แล้วกันว่าเป็นใคร’ เพอร์สันนอนคิดอยู่บนเตียงนุ่ม ก่อนที่เขาจะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
