บท
ตั้งค่า

บทที่๖ ออกเดินทาง

ดวงอาทิตย์เริ่มลอยขึ้นปกคลุมไปทั่วผืนป่า เเสงแดดอุ่น ๆ ของยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างบานหนึ่ง และกระทบเข้ากับใบหน้าคมของชายหนุ่มรูปงาม เขาค่อย ๆ เบิกตาขึ้น ก่อนที่จะรุกขึ้นมานั่งบนที่นอนนุ่ม พลางคิดเรื่องของตัวเองไปด้วย ตัวเขาในตอนนี้ยังรู้สึกคุมเครือกับตัวเองอยู่ จากที่เคยเย็นชาไม่สนใจคนอื่นตอนนี้มันเริ่มเอียนเองไปทางใหม่ หรืออาจจะเป็นเพราะตัวเขาถูกหลอมรวมเข้ากับความคิดของเจ้าของร่างคนเก่าก็เป็นได้ ถึงได้ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกในตอนนี้ที่เขาเคยสัมผัสในอดีตอันแสนนานมันค่อย ๆ กลับมาเหมือนเก่า ไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้คืออะไร ความรู้สึกรักหรือ หรือว่าความรู้สึกผูกพันกับครอบครัวในโลกนี้ ตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ว่ามันคอยเยียวยาความเจ็บปวดและความโดดเดี่ยวให้เขาเรื่อยมา

     “บ้าเอ้ย นี่เราคิดอะไรอยู่เนี่ย” เพอร์สันบ่นและเอามือกลุมหน้าผาก ก่อนที่จะรุกออกจากที่นอนและไปยังห้องอาบน้ำ

     เขารีบอาบน้ำและทานอาหารเพื่อไปยังสวนหลังปราสาท และวันนี้ก็เป็นวันที่สิบสองของการหมักแล้ว เขาเดินดูไร่องุ่นที่มีพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จากองุ่นที่มีหนึ่งไร่ตอนนี้กลายเป็นสิบไร่เสียแล้ว เขาเดินดูอยู่นานก่อนที่จะเดินไปดูโรงไวน์ของเขา

     “เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กันรึ” เพอร์สันถามเวสที่เดินชมโรงไวน์ของเขา

     “ข้าพึ่งมาถึงเมื่อครู่นี้เองขอรับ” เวสกล่าวอย่างนอบน้อม “พอดีทหารบอกว่าท่านบอกให้ข้ามารอท่านที่นี่”

     “งั้นมาเริ่มกันเลยดีกว่า” เพอร์สันกล่าว ก่อนที่จะบอกให้เวสควบคุมน้ำองุ่นจากถังหมักค่อย ๆ เทลงไปในถังบ่มทีละถัง จนในช่วงเวลาเที่ยงของวันในที่สุดก็เสร็จ เขาจ่ายเงินค่าจ้างให้เวสก่อนที่จะยกถังบ่มที่บรรจุน้ำองุ่นได้เพียงครึ่งถัง แบกขึ้นไปที่ปราสาทและให้เมิธเทใส่แก้วในระหว่างทานอาหาร ซึ่งอาหารมื้อเที่ยงนี้คือสเต็กเนื้อวัวซึ่งมันเข้ากันได้ดีกับไวน์ของเขา

     “นี่รึคือไวน์ที่เจ้าเคยบอกแม่” เลดี้จิอันน่าถาม หลังจากที่เมิธเอามาเสริฟ

      “ใช่แล้วท่านแม่ ส่วนที่ข้าเอามาให้ลองดื่มพึ่งผ่านการทำไปแค่สองขั้นตอน ซึ่งมันต้องทำอีกขั้นตอนหนึ่งถึงจะได้ไวน์ที่มีรสชาติยอดเยี่ยม” เพอร์สันบอก “พอดีมันมีถังหนึ่งที่น้ำองุ่นไม่เต็มถัง ข้าเลยเอามาให้ได้ลองชิม แต่ว่าท่านพ่อและท่านแม่ต้องทานสเต็กเข้าไปก่อนนะและค่อยดื่มไวน์ตามเข้าไป” เขาอธิบาย

     “นี่มัน!! อร่อยมาก” ลอร์ดอลันตลึง เขาไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เพอร์สันเรียกว่าไวน์จะอร่อยขนาดนี้ ซึ่งรสชาติของมันผสมผสานกับเนื้อสเต็กได้อย่างยอดเยี่ยม

     “อืมมมม รสชาติไร้ที่ติจริง ๆ ลูก” เลดี้จิอันน่าบอก

    “ที่จริงดื่มธรรมดาก็อร่อย แต่ไวน์แดงนี่เป็นไวน์แดงรสชาติเข้มข้น เมื่อดื่มกับพวกเสเต็กเนื้อวัวที่มีซ้อสเข้มข้น เนื้อแกะ และอาหารประเภทอื่นๆ ที่มีรสเข้มข้นหรืออาหารประเภทครีมซ้อสมันจะอร่อยขึ้นเป็นอย่างมาก” เพอร์สันบอก

     “เจ้าบอกว่าผ่านการทำไปสองขั้นตอนงั้นรึ” ลอร์อลันถามหลังที่ยกไวน์ขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว “เมิธเทไวน์เพิ่มซิ” เขาหันไปบอกคนรับใช้ ก่อนที่จะหันมาหาเพอร์สัน “แล้วการทำไวน์ในขั้นตอนสุดท้ายต้องใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ถึงจะได้รสชาตที่ยอดเยี่ยม”

     “ใช้เวลาอีกประมาณ หกเดือนถึงสองปีท่านพ่อ” เพอร์สันตอบ พลางจิบไวน์ไปด้วย เขาคิดว่าไวน์ในตอนนี้ยังไม่อร่อยเท่าที่ควร อาจเป็นในโลกเก่าเขาเคยดื่มไวน์ที่อร่อยกว่านี้หลายเท่าตัวมาก่อนก็เป็นได้ ‘ต้องพัฒนาและปรับปรุงอีกเยอะเลยแฮะ’ เขาคิด

     “ใช้เวลาขนาดนั้นเลยรึเนี่ย!” เลดี้จิอันน่าอุทานขึ้น

     “บ่มถึงหกเดือนก็สามารถดื่มได้แล้วครับ แต่ถ้าบ่มนานกว่านั้นจะยิ่งมีรสชาติอร่อยขึ้น” เพอร์สันตอบ

     “ถึงอย่างนั้นมันก็นานมากเลยนะ” ลอร์อลันตกใจ

      “มันนานแต่ก็คุ้มค่า” เพอร์สันบอก “ข้าสั่งให้ช่างไม้ทำถังบ่มเพิ่มแล้ว และเมื่อได้ผลองุ่นรอบใหม่จะมีโจนคอยช่วยดูแลในเวลาที่ข้ากลับไปเรียน และเมื่อข้ากลับอีกทีในปีหน้า ก็สามารถนำไปขายได้แล้ว”

     “เจ้าวางแผนไว้หมดแล้วซินะ นอกจากการวางแผนการค้าไวน์แล้วเจ้ายังมีแผนที่จะทำอะไรต่อไป” ลอร์ดอลันกล่าวในเชิงถาม

     “พื้นที่หลังปราสาทมีพื้นที่กว้างขวาง ในอนาคตข้าคิดว่าจะนำองุ่นอีกหลาย ๆ พันธ์มาปลูกและทำไวน์” เพอร์สันบอก เขาและครอบครัวต่างคุยกันเรื่องต่าง ๆ มากมายก่อนที่จะไม่ได้คุยกันอีกนานเพราะเพอร์สันจะเดินทางไปเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้

     ในเวลาพลบค่ำดูเหมือนทุกสิ่งอย่างจะเงียบสงัดจนน่าใจหาย เสียงของใบไม้สั่นไหวไปกับแรงลม เสียงหวีดหวิวของลมเข้ากระทบกับโสนประสาทของเพอร์สันที่ยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ริมหน้าต่าง เขามองดาวดวงน้อยใหญ่ส่งแสงระยิบระยับแข่งกับดวงจันทร์สีเหลืองนวล พลางคิดถึงเรื่องต่าง ๆ มากมายในโลกนี้ คิดถึงเรื่องการไปศึกษาที่สถาบันอัศวินศักดิ์สิทธิ์ คิดถึงเรื่องที่จะได้ออกไปเรียนรู้โลกภายนอก ซึ่งมันน่าค้นหายิ่งขึ้นเมื่อเขาไม่ต้องคอยหลบซ้อนและคอยใช้ชีวิตในเงามืดอีกต่อไป เขาสามารถไปไหนมาในได้อย่างไม่ต้องกังวลสิ่งใด ความรู้สึกตื่นเต้นและน่าค้นหามันคอยย้ำเตือนเขายิ่งขึ้นเมื่อจะได้ออกเดินทางในวันพรุ่งนี้

     “พรุ่งนี้แล้วที่ข้าจะได้ออกผจญภัย” เขาพูดกับตัวเองแล้วเงยมองดวงจันทร์ลูกกลมโตที่สุกสว่างยามค่ำคืน

     รุ่งเช้าของวันหลังจากที่เตรียมตัวที่จะออกเดินทาง ลอร์ดอลัน เลดี้จิอันน่า เมิธ และโจน ต่างออกส่งเพอร์สันที่หน้าปราสาท

     “ไว้เจอกันปีหน้านะ ท่านพ่อ ท่านแม่ เมิธและโจนขอให้พวกท่านทุกคนสุขภาพแข็งแรง” เพอร์สันกล่าวลา หลังจากที่ขึ้นไปอยู่บนหลังม้า เขาสวมชุดเกราะสีดำเทาเเวววาวดูน่าเกรงขามยิ่ง

     “เดี๋ยวก่อน!! เจ้าลืมรึไงว่าต้องรอทหารไปคุ้มกันในระหว่างเดินทาง” ลอร์ดอลันรีบบอก หลังจากที่เห็นเพอร์สันกำลังดึงบันเหียนม้า

     “ข้าไม่ต้องการหรอกท่านพ่อ” เพอร์สันกล่าวเสียงเรียบ

      “นี่เจ้า!!” ลอร์ดอลันร้องขึ้น แต่เมื่อเขาสบตากับดวงตาสีฟ้าทะเล เขาจึงมีท่าทีเปลี่ยนไป “เฮ้ออออ ได้ถ้าเจ้าอยากไปคนเดียวก็ตามใจ”

     “นี่ท่านทำไมถึงอนุญาตให้ลูกไปคนเดียว” เลดี้จิอันน่ากล่าวเสียงดุไปทางลอร์อลัน ก่อนที่จะหันมาหาเพอร์สัน “แม่ไม่อนุญาต เจ้าต้องรอทหารไปคุ้มกัน”

      “ท่านแม่!! ข้าดูแลตัวเองได้ไม่ต้องห่วง” เพอร์สันพยามพูดกล่อม

     “ปล่อยลูกไปเถอะ ในเมื่อเขาแสดงความเด็ดเดี่ยวเช่นนั้นแล้ว และเพอร์เองก็แข็งแกร่งขึ้นมาก” ลอร์ดอลันช่วยกล่อมอีกคน

     “นี่ท่านนอกจากไม่ช่วยห้ามแล้ว ยังเข้าข้างลูกอีกหรอ” เลดี้จิอันน่าโวยวาย

     “เชื่อข้าซิ ข้าเคยพูดผิดรึไง” ลอร์ดอลันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จนทำให้เลดี้จิอันน่าเริ่มใจอ่อน

     “แต่ว่า……” เลดี้จิอันน่ายังคงเป็นห่วงลูกชายอยู่ นางรู้ว่าตอนนี้เพอร์สันนั้นแข็งแกร่งขึ้นจนเหมือนคนละคน แต่ว่าด้วยความเป็นแม่ยังไงก็อดที่จะห่วงลูกไม่ได้ “ไปเถอะลูกแม่ ขอให้ลูกเดินทางปลอดภัย” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเมื่อต้องจากลูกอีกครั้งเกือบหนึ่งปี

     “ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย” โจนกล่าวพลางยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น

     “ขอให้ท่านเพอร์สันเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ” เมิธกล่าวลา

     เพอร์สันพยักหน้าก่อนที่จะดึงบันเหียนม้าออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามองอีก เขาควบม้าวิ่งออกมาจากตัวแคว้นอย่างรวดเร็วและวิ่งผ่านขึ้นเนินเขาลูกแล้วลูกเล่า ตอนนี้แสงอาทิตย์บนยอดเขาเริ่มแผดกล้าขึ้น คงจะเป็นเวลาราวเกือบสิบสองนาฬิกา ทางตะวันออกเฉียงเหนือ เขาเดินมาถึงถนนที่ชื่อว่ายอลถนนหักเลี้ยวขวาตัดลงมาในเขตราบต่ำ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านกีฟ แต่มีทางแยกซ้ายมือทอดยาวผ่านป่าฮารูสไปยังหมู่บ้านเฟรินนี่ เขาดึงบันเหียนม้าและมุ่งไปทางป่าฮารูสซึ่งเป็นเส้นทางไปเมืองหลวง

       ลมตะวันตกพัดมาในหมู่ไม้ ใบไม้ส่ายไหวกระซิบกระซาบ ไม่ช้าถนนก็เริ่มขมุกขมัว สักพักหนึ่งเพอร์สันก็นั่งพักรับประทานอาหารมื้อเที่ยงหรืออาจจะเป็นมื้อบ่ายแก่ๆ ก็ว่าได้เพราะว่าตอนนี้ก็เลยเวลาเที่ยงมามากแล้ว สักพักหนึ่งก็มีเสียงร้องเพลงดังกังวานขึ้น เสียงเพลงใกล้เข้ามาในจุดที่เขากำลังนั่งพัก ก่อนที่จะปรากฏขบวนกลุ่มพ่อค้าเร่กำลังเดินทางผ่านพอดี

    “เฮ้ พ่อหนุ่มเจ้าจะเดินทางไปไหนรึ” ชายวัยกลางคนหุ่นท้วมคนหนึ่งร้องถาม เมื่อลงมาจากเกวียนและเดินมาหาเพอร์สัน

     “ข้ากำลังมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านเฟรินนี่” เพอร์สันกล่าวเสียงเรียบ

     “โอ้ววว! ไปที่เดียวกันรึนี่” ชายคนนั้นอุทานขึ้น “พวกเราเหล่าคณะพ่อค้ากำลังเดินทางไปค้าขายที่หมู่บ้านนั้นพอดีเลย สนใจร่วมเดินทางไปกับพวกเราไหม”

     “ท่านกล้ารับคนแปลกหน้ารึท่านลุง” เพอร์สันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

     “มาเถอะข้าดูคนออก ข้าน่ะเป็นถึงหัวหน้าพ่อค้าเชียวนะ” ชายหุ่นท้วมบอก “อีกอย่างดูเหมือนว่าท่านจะเป็นคนของตระกูลเทรย์เวอร์ซินะ ข้าสังเกตเห็นสัญลักษณ์รูปค้างคาวบนโล่ของท่าน”

       “ท่านมีสายตาที่เฉียบแหลมนะ สมกับที่เป็นพ่อค้าจริง ๆ ” เพอร์สันกล่าว “ข้ามีนามว่าเพอร์สัน ยินดีทีได้รูจัก”

     “ข้ามีนามว่าเนล ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าตกลงที่จะมากับพวกเราใช่ไหม” เนลถามย้ำ

     “ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าก็ตกลงที่จะร่วมทางไปด้วย” เนลยิ้มตอบรับ เมื่อเพอร์สันพูดเสร็จก็ลุกไปดับไฟเก็บสำภาระและขึ้นหลังม้าขี่ตามคณะเหล่าพ่อค้าที่มีสิบกว่าคนเห็นจะได้พร้อมกับทหารรับจ้างหกคน

       ทั้งหมดเดินทางลัดเลาะไปตามแนวป่ายิ่งเดินทางเข้าไปลึกเหล่าต้นไม้ก็ยิ่งบดบังแสงอาทิตย์ ซึ่งทางเดินเส้นนี้คดเคี้ยวยาวไปถึงลาดเขารกทึบขึ้นไปสู่ยอดเขาแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นทั้งหมดก็โผล่พ้นจากเงาไม้ เบื้องหน้าคือทุ่งกว้างใหญ่ ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงสู่พื้นป่าท้องฟ้าสีส้มแผ่กระจายไปทั่ว

     เพอร์สันนั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่บนทุ่งกว้าง ซึ่งริมทุ่งทั้งสามด้านมีป่าละเมาะล้อมรอบ เวลายามค่ำคืนย่างกายมาถึงสายลมพัดกระโชกเข้ามา เมฆหมอกลอยกระจายไปทั่วฟากฟ้า ท้องฟ้ายามราตรีปรากฏแสงระยิบระยับของหมู่ดาวน้อยใหญ่ทั้งหลาย ไฟจากกองไม้ลุกโชติช่วงไปทั่วทุ่งกว้างโดยมีเหล่าคณะนั่งดื่มเบียร์และดื่มเหล้าสนทนากันในเรื่องต่าง ๆ เสียงโหวกเหวกโวยวายของเหล่าพ่อค้าดังขึ้นเป็นระยะ

      “ไวน์ที่ท่านพูดถึงฟังดูแล้วมันชั่งน่าอร่อยยิ่งนัก ปีหน้าซินะถึงจะบ่มเสร็จ” เนลถามขึ้นหลังจากที่จับกลุ่มคุยกันกับเหล่าพ่อค้าและพากันนั่งฟังเรื่องเพอร์สันที่เล่าออกมา

     “ท่านพอมีให้ข้าได้ลองชิมสักหน่อยหรือไม่” พ่อค้าหนุ่มที่มีนามว่า ฟรานถามขึ้น

     “เขาก็บอกว่าปีหน้าถึงจะบ่มเสร็จเจ้าฟังไม่รู้เรื่องหรือไงฟราน” พ่อค้าร่างผอมที่มีนามว่า ลาซูกล่าวขึ้น

     “ข้าพกมาอยู่นะพอดีข้าเอามาลองชิมหลังจากที่ผ่านขั้นตอนที่สอง” เพอร์สันบอกก่อนที่จะเดินไปหยิบเอาไวน์ในกระเป๋าเป้บนอานม้า มาให้กลุ่มพ่อค้าได้ลองชิม “รสชาติมันอาจจะยังอร่อยไม่เต็มที่นะ” เขายื่นขวดไวน์ให้เหล่าพ่อค้า

     “รสชาติเยี่ยมจริง ๆ ข้าไม่คิดเลยว่าองุ่นจะสามารถสร้างรสชาติที่ล้ำลึกขนาดนี้ อีกอย่างดูเหมือนว่ามันจะสามารถทำให้เกิดอาการเมาได้อีกด้วย” เนลบอกพลางยกขวดไวน์ขึ้นดื่มอีกอึก

     “พอเลย ท่านคือหัวหน้าพ่อค้า ควรจะแบ่งให้กับทุกคนด้วยซิ” ลาซูรีบดึงขวดไวน์ออกจากมือของเนล ก่อนที่จะก็ยกขึ้นดื่มและตามด้วยเหล่าพ่อค้าที่เหลือ พ่อค้าทั้งหมดต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันอร่อย

     “ท่านมีแผนการที่จะขายในปีหน้าซินะ” เนลถาม “งั้นพวกข้าก็ขอเป็นเจ้าแรกที่จะไปซื้อกับท่าน”

     “ข้ายินดี” เพอร์สันกล่าว พลางทอดสายตามองเข้าไปในป่า  “ฟังดูสิ” เพอร์สันพูดเสียงดังขึ้น “มันชั่งไพเราะเหลือเกิน”

      เสียงประสานบรรเลงบทเพลงอันแสนเพราะพริ้งอยู่ในป่าลึกดังกึกก้องขึ้น เสียงเพลงนั้นชวนให้คนที่ฟังตกอยู่ภายในภวังค์ เสียงหวานของเหล่าภูตที่บรรเลงออกมาฟังแล้วชวนให้ทั้งเหล่าคณะที่นั่งฟัง คิดถึงความอบอุ่นของครอบครัวและคนอันเป็นที่รัก เพอร์สันหลุดออกมาจากภวังค์เหงื่อไหลทั่วบนใบหน้าอันขมเข้มเมื่อนึกถึงอดีต

     “เสียงร้องของเหล่าภูตชวนให้ลุ่มหลงซะจริง”ลาซูพูดขึ้นและบ่ายหน้ามาทางเพอร์สันและเนล “พวกท่านคิดอย่างไรกับบทเพลงของภูต”

       เพอร์สันเดินออกมาโดยไม่ได้ตอบคำถามของลาซู เขาเดินไปที่ลำธารที่อยู่ใกล้ทุ่งกว้าง “ข้าขอโทษ ริฮานน่า พอสน่าพ่อขอโทษ ” เพอร์สันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทาและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ชายที่ดูเยือกเย็นสุขุมในยามนี้ดวงตาแดงก่ำมีน้ำตาไหลซึมออกมา เขายืนมองลำธารไหลลาดต่ำลงไปจากเนินทุ่ง นานพอควรก่อนเดินกลับไปที่พัก

       “ท่านเป็นอะไรรึเปล่า ข้าเห็นท่านหน้าซีดมาแต่ไกลเลย” เนลถามขึ้น

       “ข้าไม่เป็นไรหรอก ข้าเพียงแต่ปวดหัวนิดหน่อย นอนพักสักคืนก็คงจะหาย” เพอร์สันบอกอย่างปัดๆ

       ”ท่านนอนพักเถอะ” ลาซูที่กำลังเมาได้ที่บอก

      เพอร์สันพยักหน้ารับ “ข้าขอตัวไปนอนก่อนแล้วกัน” เขาเดินเข้าไปในซุ้มใกล้โคนต้นไม้ ทิ้งตัวลงนอนและข่มตาหลับเพื่อสลัดความเศร้าในใจ

       เพอร์สันลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก เขาลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้าเดินไปที่ต้นไม้ที่สว่างจ้าอยู่กลางทุ่ง ดอกไม้ของต้นส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวนัยน์ตาสีฟ้าทะเล ผิวพรรณสีน้ำผึ้งผมสีบลอนด์ทองยาวปลิวไสว ใบหน้างดงามหาใครเสมอเหมือน ซึ่งนางนั่งอยู่โขดหินใต้ต้นไม้ใหญ่ โดยมีเด็กน้อยผมสีน้ำตาลหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งอยู่ข้าง ๆ

      “ริ...ริฮานน่า พอสน่า” เพอร์สันร้องขึ้น “ข้าคิดถึงพวกเจ้าเหลือเกิน” เขาพูดออกมาอย่างแผ่วเบา แต่แล้วดวงตาเขาก็เบิกโพลงขึ้น เมื่อลูกและภรรยาอันเป็นที่รักตรงหน้า มีเลือดไหลซึมออกมาที่ต้นคอ มันไหลออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนท่วมย่อมหญ้าบนทุ่งกว้างเป็นสีแดง

       “ริฮานน่า พอสน่า!!!” เพอร์สันร้องตะโกนขึ้น เขาหลุดออกจากภวังค์ของการหลับใหลพร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากและมีเหงื่อไหลอยู่เต็มใบหน้าคม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel