บท
ตั้งค่า

บทที่๕ ว่าด้วยเรื่องของการทำไวน์

 โลกนี้แตกต่างจากโลกเก่าอยู่มาก ถึงจะมีอารยธรรมที่คล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่หลายอย่างทั้งศาสนาวัฒนธรรม ภาษาของที่นี้มีสำเนียงแบบชาวอังกฤษเหมือนในโลกเก่าแต่ตัวอักษรนั้นกับแตกต่างกันอยู่มาก และโลกเก่ามีสิ่งนั้นแต่โลกนี้ไม่มีนั้นก็คือ “ไวน์”

     ไวน์เป็นเครื่องดื่มแรกที่เกิดขึ้นเองด้วยการหมักบ่มตามธรรมชาติในแอ่งน้ำใต้ต้นองุ่น ธรรมชาติได้สร้างไวน์ขึ้นมาเอง โดยที่มนุษย์คาดคิดไม่ถึง เมื่อฝนตก น้ำที่ชะล้างหน้าดินบริเวณใต้ต้นองุ่นเกิดเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ และองุ่นที่สุกจนเต็มที่ตกหล่น หมักบ่มอยู่ในแอ่งน้ำใต้ต้นองุ่นนี้เอง การหมักบ่มเกิดการเปลี่ยนน้ำตาลในองุ่นให้เป็นแอลกอฮอล์ มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นเป็นฟองอากาศลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำในแอ่ง เมื่อมนุษย์สังเกตเห็นเกิดความสงสัยจึงไปลองชิมดู ด้วยรสชาติที่หวานอร่อยน่าหลงใหล จึงดื่มกินไปมากพอดูจึงเกิดอาการมึนเมา ไร้สติ จากนั้นด้วยความกลัวโดยไม่รู้สาเหตุที่มา จึงหวาดกลัวไม่กล้าไปยุ่งกับแอ่งน้ำนี้อีก ไวน์จึงถูกลืมเลือนไปนานแสนนาน จนกระทั้งมนุษย์คิดค้นผลิต “เบียร์”  ขึ้นมาเมื่อหกพันปีก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นต่อมาในช่วงหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อนคริสตกาล ไวน์ก็ถูกผลิตขึ้นมาด้วยฝีมือมนุษย์ โดยไวน์ส่วนใหญ่นิยมดื่มกันมากในหมู่ชนชั้นผู้ดี นักบวช และเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความเชื่อต่างๆทางศาสนาด้วยแต่นั้นก็เป็นประวัติของไวน์ในโลกเก่า และไวน์ในโลกใหม่เมื่อมันไม่มีการทำเกิดขึ้นเขานี้แหละจะเป็นคนสร้างประวัติไวน์ขึ้นมาเองและชื่อของเขาต้องถูกจารึกในฐานะผู้คิดค้นไวน์ขึ้นมา

     หลังจากที่เพอร์สันจ้างช่างไม้เพื่อสร้างเครื่องทำไวน์ ช่างและลูกมืออีกจำนวนหนึ่งก็พากันมาสร้างที่โรงนาเก่าหลังปราสาทของเขาเพราะเครื่องทำไวน์มีขนาดใหญ่ จึงต้องออกมาทำในสถานที่ ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์งานที่ช่างทำออกมาถือว่าถูกใจเขามาก

     ประมาณสามสัปดาห์ก่อนเครื่องทำไวน์เสร็จ เขาทดลองสร้างยีสต์ขึ้นมา ยีสต์เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการทำไวน์ แต่เดิมการหมักไวน์ยีสต์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยยีสต์มีอยู่ในผลไม้ แต่การอาศัยธรรมชาตินั้นจะทำให้ได้การเจริญของยีสต์ที่ไม่แน่นอน ในการหมักอาจเกิดยีสต์ที่มีคุณสมบัติที่ไม่ต้องการ และการหมักจะเกิดขึ้นช้า นี่เป็นเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องสร้างยีสต์ขึ้น ยีสต์ที่หมักไวน์นั้น มาจากแหล่งกำเนิดสามแหล่ง ได้แก่ ผิวของผลองุ่น เครื่องมือในโรงหมัก และจากยีสต์ที่เติมลงไป

     เพอร์สันเริ่มจากการเอาเมล็ดองุ่นมาคั้นด้วยมือ จนได้น้ำองุ่นขึ้นมา เขาชิมน้ำองุ่นเพื่อดูว่ากรดและน้ำตาลเหมาะสำหรับเลี้ยงยีสต์หรือไม่ ซึ่งลิ้นของเพอร์สันสามารถรับรู้กลิ่นและรสได้อย่างยอดเยี่ยมโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องวัดค่ากรดและน้ำตาล หลังจากที่เขาเพิ่มส่วนที่เป็นกรดและน้ำตาลให้เหมะสมเขาก็นำไปหมักใส่โหลแก้วที่สูงประมาณหกสิบเซนติเมตรห้าโหล และปิดท้ายด้วยการเอาผ้าหนา ๆ มาคลุมและหมัดด้วยเชือก หลังจากนั้นเขาก็คอยดูการเจริญเติบโตของยีสต์ที่มาจากผลองุ่น และเขย่าขวดโหลทุกวันโดยก่อนเขย่าต้องหมัดผ้าให้แน่นก่อน เมื่อเขย่าเสร็จแล้วค่อยคลายความแน่นลง ซึ่งการหมักในครั้งนี้ทำเพื่อคัดเลือกยีสต์หลักที่สามารถทนต่อปริมาณของแอลกอฮอล์ นั้นก็คือยีสต์ S. cerevisiae ในช่วงระยะแรกของการหมัก ยีสต์สายพันธุ์ต่าง ๆ จะค่อยๆ ลดจำนวนลง และตายไปในที่สุด เนื่องจากทนปริมาณแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้นขององุ่นไม่ได้ และยีสต์ S. cerevisiae ก็จะเจริญเป็นยีสต์หลัก ซึ่งยีสต์ตัวนี้เขาจะเติมลงไปในการหมักไวน์เพื่อตัดปัญหาปริมาณยีสต์ที่ไม่แน่นอนในถังหมัก ที่อาจก่อให้เกิดรสชาติที่ไม่ดีและไม่มีคุณภาพ

     เนื่องจากยีสต์ S. cerevisiae มีจำนวนน้อยมาก เพราะฉะนั้นหลังจากผ่านการเพาะสัปดาห์แรกไปแล้ว เขาจึงเตรียมน้ำองุ่นชุดใหม่ที่ต้มและฆ่าเชื้อต่าง ๆ รวมถึงยีสต์ที่ไม่ต้องการออกไป เขาเทน้ำองุ่นชุดใหม่ลงไปในโหลอีกสิบโหล ก่อนนำเชื้อยีสต์ของชุดแรกใส่ลงถังอาหารชุดใหม่ทั้งสิบโหลเพื่อขยายพันธุ์ยีสต์ S. cerevisiae ให้มีจำนวนมากขึ้น หลังจากนั้นก็ทำตามวิธีการแบบชุดแรก เมื่อผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ดูเหมือนว่าการเพาะยีสต์จะประสบความสำเร็จเพราะมีฟองอากาศลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำองุ่น

     ในช่วงเวลาบ่ายของวัน

     “เครื่องทำไวน์ที่ท่านสั่งให้ทำเสร็จแล้วนะครับ” ช่างไม้กล่าวเมื่อเดินมาหาเพอร์สันในขณะที่กำลังซ้อมดาบในช่วงบ่ายอยู่หน้าลานกว้างของปราสาท

     “เยี่ยมมาก” เพอร์สันกล่าวในขณะเอาดาบใส่เข้าฝัก “นี่คือเงินส่วนที่เหลือตามที่ตกลงกันไว้” เขาบอกพลางยื่นถุงเงินให้ช่างไม้

     หลังจากนั้นเขาจึงเดินออกไปหลังปราสาทและเข้าไปในโรงนาเก่า เขาเดินตรวจดูถังหมักไวน์สามถังที่มีความสูงประมาณสองเมตรและถังหมักไวน์ปากกว้างสามถัง ตามด้วยเครื่องบดสี่เครื่อง และสุดท้ายคือถังบ่มไวน์อีกจำนวนหนึ่ง เมื่อเช็คเรียบร้อยแล้วเขาก็สั่งให้คนใช้มาทำความสะอาดโรงนาเพื่อเตรียมทำไวน์

เวลาสาย ๆ ของอีกวันเพอร์สันเดินสำรวจคนงานที่เขาจ้างมากำลังพากันเก็บองุ่นอย่างรีบเร่ง เวลาบ่ายของวันมีชายร่างหนากำยำสี่คนกำลังนั่งหมุนเครื่องบดองุ่น และที่จะมีน้ำองุ่นค่อย ๆ ไหลลงไปในถังด้านล่าง ก่อนที่จะเอาน้ำองุ่นและเปลือกใส่ลงไปในถังหมักปากกว้าง เป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพื่อให้ง่ายในการแยกเอากากผลไม้ออก หลังจากนั้นจึงทำการหมักในถังปากแคบต่อไป การหมักองุ่นแดงจะหมักทั้งเปลือกเพื่อสกัดสีและแทนนินจากเปลือกองุ่น

     หลังจากที่การหมักผ่านไปแล้วหนึ่งวัน เพอร์สันมาที่โรงนาเพื่อเทเชื้อยีสต์ลงไปในถังหมักใบใหญ่ทั้งสามถัง โดยใส่เชื้อยีสต์ที่ทำการเพาะเลี้ยงใส่ลงไปในถังหมักหนึ่งส่วนในสิบของถัง ตลอดทุกขั้นตอนที่เขาเริ่มทำมาจะมีโจนมาคอยช่วยตลอด โจนนั้นเป็นคนทำสวนให้กับตระกูลเทรย์เวอร์ตั้งแต่รุ่นปู่ของเพอร์สัน ซึ่งเพอร์สันคิดว่าแกไว้ใจได้จึงจะให้แกมาคอยช่วยในเรื่องการผลิตไวน์ในครั้งต่อ ๆ ไป ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์เขาจ้างผู้ใช้ธาตุน้ำคนหนึ่งที่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่พอควบคุมน้ำได้ เขาสั่งให้ชายคนดั่งกล่าวแยกน้ำองุ่นออกจากเปลือกองุ่นก่อนที่ลูกจ้างจะบังคับน้ำองุ่นจนลอยขึ้นหนือพื้น และส่งลงไปในถังหมักอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันสะดวกดีกว่าการทำในโลกเก่าเสียอีก

     “แล้วการหมักในรอบที่สองใช้เวลาหมักเท่าไหร่กันรึนายท่าน” โจนถาม ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาเป็นชายแก่ ๆ ที่มีอายุประมาณห้าสิบกว่า ๆ

     “ใช้เวลาในการหมักอีกสิบสองวัน” เพอร์สันตอบ ก่อนหันหน้าไปหาผู้ใช้ธาตุน้ำและยื่นเงินให้ “นี้คือเงินค่าจ้าง อีกสิบสองวันข้าจะจ้างเจ้ามาอีกทีนะเวส”

     “ได้ขอรับ” เวสกล่าวสั้น ๆ ก่อนที่จะขอตัวกลับไปทำธุระทางบ้าน เขาเป็นชายวัยกลางคนและมีหุ่นท้วม

     “ข้าว่าจะให้คนมาปลูกองุ่นพันธุ์นี้เพิ่มกว่าจะโตและสามารถเก็บเกี่ยวได้ก็คงเป็นปีหน้าหรือปีกว่า ๆ” เพอร์สันบอก “องุ่นพันธุ์นี้มีชื่อว่าอะไรนะ”

     “องุ่นพันธุ์นี้เลดี้จิอันน่าให้เอามาจากในปาเขตชายแดน มันเป็นองุ่นป่าข้าเลยมิรู้ชื่อสายพันธุ์ของมันขอรับ” โจนตอบ

     “ไม่มีชื่องั้นหรอ? มันเกิดและโตในป่าเขตชายแดนที่อยู่ในเขตของแคว้นนี้ งั้นข้าเรียกมันว่าองุ่นพันธุ์ฟาร์โอฮายแล้วกัน” เพอร์สันกล่าว

     “เป็นชื่อที่ดีครับนายท่าน” โจนพูดพลางยิ้มไปด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินคุยกันเรื่อย ๆ จนถึงปราสาท

      วันนี้ในช่วงบ่ายแก่ ๆ เพอร์สันเดินออกไปสำรวจป่าเขตชายแดนเพื่อสำรวจป่าในแถบนี้ให้มากขึ้น เขาใช้ความสามารถของแวมไพร์ที่พึ่งได้กลับคืนมา ซึ่งเป็นความสามารถเหมือนค้างคาวคือ เสียงอุลตราโซนิก เมื่อเขาส่งคลื่นออกไปคลื่นเสียงอุลตราโซนิกนี้จะสะท้อนกลับมาเมื่อไปกระทบสิ่งกีดขวาง สมองของเขาจะแปลความหมายและสามารถบอกได้ว่าคลื่นเสียงที่เปล่งออกไปนั้นไปกระทบอะไร เหยื่อหรือศัตรู อยู่ห่างออกไปเท่าใด ทิศทางไหน และเคลื่อนที่ไปรวดเร็วเพียงใด

      ‘มีออร์คสองตัวอยู่ทางซ้ายมือห่างไปหนึ่งกิโลเมตร ข้างหน้าดูเหมือนจะมีสัตว์อสูรตัวใหญ่ห่างไปประมาณเจ็ดร้อยเมตร แต่ว่าทางซ้ายมือไกลจากที่พวกออร์คอยู่ออกไปอีกหน่อยในถ้ำมันจะมีแร่หายากอยู่นี่นา’ เพอร์สันคิดในใจ ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทางซ้ายมือ เขาเหยาะม้าไปเรื่อย ๆ พลางใช้คลื่นเสียงอุลตราโซนิกไปด้วยเพื่อดูการเคลื่อนไหวของเจ้าออร์คพวกนั้น เขาลงจากหลังม้าและผูกมันไว้กับต้นไม้แถวนั้น ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินไปข้างหลังของเจ้าออร์คสองตัวและขว้างมีดสั้นออกไป มีดสั้นจากมือทั้งสองข้างที่ห่อหุ้มพลังจิตวิญญาณพุ่งไปปักที่หัวของมันสองตัวอย่างแม่นยำ โดยที่พวกมันไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องใด ๆ ออกมา

     หลังจากที่จัดการกับออร์คเสร็จแล้วเขาก็เดินไปค้นตัวพวกมันแต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสนใจ จึงหยิบเอามีดที่ปักอยู่ที่หัวของมันทั้งสองเก็บใส่กระเป๋า ก่อนที่จะเดินไปหาม้า และขี่มันไปที่ถ้ำ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณหนึ่งร้อยเมตร หลังจากที่มาถึงเขาผูกม้าไว้แถวปากถ้ำ ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินลงไปในถ้ำมืด ๆ เขาเดินสำรวจอยู่นานและพบว่าแร่ชนิดนี้มีชื่อว่า แร่เกล็ดมังกร เพราะมันมีทั้งความคงทนสูงและสามารถใช้จัดการกับมังกรได้ แต่ก็ใช่ว่ามันจะพบได้ทุกที่แต่คงเป็นเพราะเขามีความสามารถของคลื่นเสียงอุลตราโซนิกเลยทำให้ตรวจพบ แต่ปัญหาคือแร่มันฝังอยู่ในเนื้อหินและเขาก็ไม่ได้เอาอุปกรณ์ขุดเจาะมาด้วย จึงทำได้เพียงตรวจดูแร่ต่าง ๆ ในถ้ำ ก่อนที่จะกลับออกไปปากถ้ำและขี่ม้ากลับปราสาท

     วันต่อมาเพอร์สันขอเงินทุนจากเลดี้จิอันน่าเพิ่มเพื่อจ้างคนไปเอาองุ่นจากในป่าเขตชายแดนเพื่อนำมาปลูกที่สวนเพิ่ม ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาขอจะราบลื่นไปด้วยดี ในเวลาบ่ายของวันลูกจ้างประมาณสิบคนกำลังทำการปักชำกิ่งองุ่นลงไร่สวนหลังปราสาทอย่างขยันขันแข็ง หลังจากที่ไปเอามาในป่าหลายร้อยกิ่ง  

     ในช่วงเวลานั้นเพอร์สันเองก็เตรียมอุปกรณ์ขุดเจาะเข้าไปถ้ำในป่าเขตชายแดน เขาใช้คลื่นเสียงอุลตราโซนิกในการขุดเจาะไปด้วยทำให้เขาสามารถขุดเอาแร่ออกมาได้ง่ายขึ้น

     “ในที่สุดก็ได้แร่หายากมาจนได้” เขาพูดพึมพำและมีเหงื่อไคลท่วมตัว ขณะยกมันขึ้นมาดู มันมีลักษณะเหมือนลูกกลม ๆ และมีตุ่มขึ้นขุขระเหมือนเกล็ดมังกรและมีสีเงินวาววับเหลือบน้ำเงิน ก่อนที่เขาเดินออกมาจากในถ้ำก็พบว่าเวลานี้ใกล้จะมืดค่ำเสียแล้ว “ไม่คิดเลยว่าข้าจะใช้เวลาขุดนานขนาดนี้”

     เขารีบเร่งฝีเท้าของม้าให้ไปถึงปราสาทให้เร็วที่สุด เพื่อไปให้ทันอาหารค่ำ พลางคิดเรื่องแร่เกล็ดมังกรไปด้วยว่าจะตีเป็นดาบหรือเป็นอาวุธชนิดไหนดี เขาเองนั้นเมื่ออยู่บนโลกเก่าในช่วงยุคกลางเคยทำงานเป็นช่างตีอาวุธมาก่อน จึงไม่แปลกเลยที่เขาคิดจะตีอาวุธขึ้นมาเอง ด้วยประสบการณ์การตีอาวุธอย่างยาวนานเกือบร้อยปี เขามั่นใจเลยว่าอาวุธที่เขาจะตีออกมามันต้องไร้ที่ติอย่างแน่นอน เมื่อเขามาถึงปราสาทก็รีบดิ่งไปโต๊ะอาหารที่อยู่ในห้องโถงกว้างกลางปราสาททันที

     “เจ้ามาช้าเพอร์ เจ้าไปเถลไถลที่ไหนมา” ลอร์อลันกล่าวเสียงดุ ขณะที่หั่นเนื้อสเต็กเข้าปาก

     “ข้าออกไปสำรวจป่าเขตชายแดนน่ะท่านพ่อ” เพอร์สันกล่าวขณะที่ลากเก้าอี้ออกมานั่งข้าง ๆ เลดี้จิอันน่า

     “นี่ลูกไปทำอะไรมาในป่า ทำไมเนื้อตัวถึงได้มอมแมมแบบนี้ รู้ไหมว่าในป่าตอนนี้มันอันตราย” เลดี้จิอันน่าถามลูกชาย พลางใช้มือดึงสื้อของเพอร์สันขึ้นมาดู

     “พอดีข้าเข้าไปขุดแร่ในถ้ำกลางป่าลึกมา ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอกท่านแม่ ข้าสามารถดูแลตัวเองได้แล้วตอนนี้” เพอร์สันกล่าวขณะนำเนื้อสเต็กเข้าปากและเคี้ยวตุ้ย ๆ ตอนนี้เขาสามารถทานอาหารแทนเลือดได้แล้วซึ่งมันวิเศษสำหรับเขามาก แต่การดื่มเลือดเขาเองก็ต้องดื่มเป็นประจำก่อนการฝึกพลังจิตวิญญาณเสมอ

     “เจ้าไปขุดแร่มางั้นรึ?” ลอร์อลันขมวดคิ้ว และหันมาหาเพอร์สัน “แล้วเจ้าได้แร่อะไรมาหรือไม่”

     “แร่เกล็ดมังกรน่ะท่านพ่อ” เพอร์สันกล่าวสั้น ๆ และให้ความสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า

     “แร่เกล็ดมังกรงั้นรึ!!” ลอร์อดอลันกล่าวอย่างตกใจ “เจ้านี้มันโชคดีจริง ๆ ไหนข้าขอดูหน่อยซิ” เขาถามก่อนวางซ่อมและมีดลง

     “หยุดเลยทั้งคู่!! นี่คือเวลาทานอาหาร” เลดี้จิอันน่าดุ ก่อนหันหน้าไปหาเพอร์สัน “ส่วนลูกน่ะทานอาหารเสร็จแล้วก็รีบไปอาบน้ำซะ มันดูไม่ดีสำหรับลูกขุนนาง” นางส่งสายตาดุ ๆ ให้ลอร์ดอลันและเพอร์สัน ทำให้ทั้งคู่ตั้งใจทานอาหารโดยไม่มีการกล่าววาจาใด ๆ อีกเลย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel