บท
ตั้งค่า

บทที่๔ จุดเริ่มต้นของการฝึกและการทำไวน์ในต่างโลก

 เพอร์สันคนเก่านั้นเป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์และเป็นคนเหยาะแหยะ ฝีมือในเชิงดาบของเขานั้นถือว่าแย่มาก ลอร์ดอลันจังส่งเขาไปเรียนรู้ที่สถาบันศึกษาโดมินิกเมื่ออายุอย่างเข้าสิบหกปี ที่สถาบันแห่งนี้นอกจากฝึกวิชาดาบแล้ว ยังได้ฝึกศาสตราวุธต่าง ๆ อีกด้วย เช่น ทวน หอก ธนู เป็นต้น นอกจากนี้ยังสอนเกี่ยวกับศาสตร์ของศึกสงคราม และฝึกให้เป็นนักปราชญ์ มีการฝึกสอนสี่ปี ซึ่งตอนนี้เพอร์สันนั้นพึ่งจบปีหนึ่งโดยอยู่อันดับท้าย ๆ ของชั้นเรียน มันส่งผลให้ตระกูลเทรย์เวอร์เสื่อมเสีย ด้วยเหตุผลนี้เองเมื่อเขาปิดเทอมในภารคเรียนและกลับมาที่ปราสาททำให้ลอร์ดอลันเข้มงวดในการฝึก

     เพอร์สันมีพลังจิตวิญญาณระดับก่อเกิดขั้นที่สาม นั้นถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ตอนนี้บางคนก็เริ่มไปถึงพลังจิตวิญญาณระดับก่อเกิดขั้นที่แปดระดับที่เก้ากันแล้วหลายคน

     วันนี้ลอร์ดอลันให้เพอร์สันฝึกสมาธิเพื่อควบคุมการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณ ซึ่งการฝึกแบบนี้ถือเป็นการฝึกขั้นพื้นฐาน ส่วนการฝึกอีกแบบหนึ่งต้องทำสมาธิไปด้วยในระหว่างที่เคลื่อนไหว ถ้าเคลื่อนไหวได้ทรงพลังและมีสมาธิที่ดีจะทำให้พลังจิตวิญญาณกล้าแกร่งขึ้น ซึ่งร่างกายจะค่อย ๆ ดูดซับเอาพลังธรรมชาติเข้ามาเป็นพลังจิตวิญญาณ แต่นั้นก็แล้วแต่ร่างกายและพรสวรรค์ของบุคคลนั้น ๆ

เพอร์สันนั่งสมาธิอยู่หลายชั่วโมงแต่เขาก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้น ช่วงบ่ายของวันเขาจึงฝึกใช้ทวงท่าไปด้วยถึงอย่างนั้นพลังจิตวิญญาณก็แทบไม่ขยับ สิ่งนั้นทำให้เขาครุ่นคิดทั้งคืน เช้ามืดของอีกวันเขาจึงตัดสินใจแอบขี่ม้าไปที่ป่าเขตชายแดนเพื่อทดสอบอะไรบางอย่าง

ณ ป่าเขตชายแดนเขาเริ่มค้นหาสัตว์อสูรที่มีพลังแข็งแกร่ง จนเขาไปพบกับกระทิงขนยาวที่มีความสูงเกือบสองเมตร เมื่อมันเห็นเพอร์สันก็รีบพุ่งมาหาเพื่อจะใช้เขาขวิดเขาให้ตาย มันพุ่งมาด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ เพอร์สันปล่อยพลังจิตวิญญาณออกมาและกระโดดขึ้นไปขี่หลังของเจ้ากระทิงขนยาว มันสะบัดตัวไปมาอย่างรุนแรงทำให้เขากระเด็นออกมาจากหลังของมัน มันวิ่งมาหาเขาอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาเองก็วิ่งเข้าไปปะทะกับมันเช่นกัน เขาวิ่งเข้าไปใกล้ ๆ มันก่อนที่จะสไลด์ตัวลงรอดช่องขาและใช้ดาบตัดผ่านท้องของมันจนเครื่องในไหลทลักออกมา เมื่อมันตายแล้วเขาก็เอาขวดที่ทำจากเหล็กไปกรอกเอาเลือดของมัน เมื่อเขาดื่มมันเข้าไปในร่างกายก็ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและเริ่มตอบสนองต่อพลังธรรมชาติ

 “อย่างที่คิด” เพอร์สันพูดกับตัวเอง  ซึ่งเขาคิดว่าร่างกายนี้การไหลเวียนเลือดคงไม่ดีทำให้การฝึกพลังจิตวิญญาณเป็นไปอย่างลำบาก แต่เมื่อดื่มเลือดของสิ่งมีชีวิตทีมีพลังมาก ๆ ก่อนฝึกพลังจิตวิญญาณมันทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและสามารถซึมซับพลังได้เร็ว ก่อนที่จะนั่งลงทำสมาธิเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังธรรมชาติที่ซึมซับเข้ามาในร่างกาย เมื่อเขาทดลองเสร็จก็รีบขี่ม้ากลับปราสาทให้เร็วที่สุด หลังจากนั้นลอร์ดอลันก็เริ่มเห็นพัฒนาการของเพอร์สันที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งวิชาดาบของตระกูลที่ลอร์ดอลันสอนและพลังจิตวิญญาณ

     ในเวลาว่างเขาจึงออกไปสำรวจไร่องุ่นขนาดเล็กที่อยู่หลังปราสาท ซึ่งเป็นของแม่เพอร์สันนางชอบกินองุ่นเป็นอย่างมากจึงได้จ้างคนงานมาปลูกไว้บนเนินเขาหลังปราสาท โลกนี้ไม่มีการทำไวน์เกิดขึ้นจึงทำให้การปลูกต้นองุ่นมีไม่มากส่วนมากจะนำผลมากินหรือเอาไปประกอบอาหารบางอย่าง ซึ่งมันขัดใจเขามากที่ไม่มีไวน์เกิดขึ้น เขาเดินเข้าไปในไร่องุ่นที่มีขนาดประมาณหนึ่งไร่

     “ดีนะที่นางชอบทานและปลูกไว้ ทำให้ประหยัดเวลาและต้นทุน” เพอร์สันพูดพึมพำ พลางใช้สายตาสาดส่องไปทั่ว เขาหยิบเอาเมล็ดองุ่นมาชิมปรากฏว่ามันรสเปรี้ยวอมหวานละมุนลิ้น “รสชาติมันคล้าย ๆ พันธุ์เนบบิโอโล่ของอิตาลีจริง ๆ เป็นองุ่นที่ให้ความเป็นกรดสูง มีแทนนินสูง และมีน้ำตาลมาก เหมาะที่จะทำไวน์ที่มีรสฝาดและระดับแอลกอฮอล์สูงกว่าปกติ” เขาพูดเบา ๆ

 ช่วงหลัง ๆ มานี้เพอร์สันได้เรียนรู้กระบวนท่าของตระกูลเทรย์เวอร์อย่างต่อเนื่องควบคู่กับการทำสมาธิไปด้วยทำให้ตอนนี้เขามีพลังจิตวิญญาณระดับก่อเกิดขั้นที่ห้าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลอร์ดอลันปลื้มปิติและลดเวลาการซ้อมลงทำให้เพอร์สันมีเวลาว่างทำอะไรได้มากขึ้น เขาใช้เวลาว่างกับการทบทวนกระบวนการทำไวน์ที่เคยอ่านและศึกษามาบ้างแต่เขาเองก็ยังไม่เคยทำมาก่อนเช่นกัน

     หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเขียนโครงสร้างของอุปกรณ์ในกระบวนการทำไวน์ โดยเริ่มจากการเขียนโครงสร้างและการทำงานของเครื่องบดองุ่น ต่อด้วยถังหมักไวน์ที่มีความสูงขนาดสองเมตร ตามด้วยถังบ่มไวน์ขนาดหนึ่งเมตรไม้ที่จะใช้ทำถังหมักและถังบ่มคือไม้โอ๊ค มีคุณสมบัติพิเศษช่วยสร้างพัฒนาการทางด้านกลิ่นและรสชาติของไวน์ให้ดีขึ้น ที่สำคัญกลิ่นและรสที่ได้จากถังไม้โอ๊คแต่ละตัว ทำให้ได้ไวน์ที่มีกลิ่นและรสเข้มข้น หนักแน่นกว่าไม้อื่น ๆ

     เพอร์สันทุ่มเทกับกระบวนการสร้างอย่างละเอียดเพื่อให้ช่างฝีมือของแคว้นเข้าใจง่ายและทำออกมาตามที่เขาต้องการ ทำให้การเขียนโครงสร้างค่อนข้างใช้เวลาหลายวัน

     “เสร็จสักที” เพอร์สันพูดกับตัวเอง ในขณะที่นั่งอยู่โต๊ะเขียนในห้องตัวเอง ซึ่งในห้องนั้นยังมีหนังสือมากมายที่เรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือ และอีกส่วนหนึ่งที่กระจัดกระจายอยู่ตามห้อง ‘ต่อไปก็เป็นต้นทุนที่จะนำไปสร้าง ซึ่งคนที่จะสนับสนุนข้าเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านแม่ ด้วยที่นางชอบทานองุ่นอยู่แล้วและถ้าข้าเอาสิ่งที่เรียกว่าไวน์ไปนำเสนอมีหรือที่นางจะไม่สนับสนุน’ เขาคิดในใจพลางยิ้มที่มุมปาก

  ที่ลานกว้างของปราสาทในเวลาเช้า เลดี้จิอันน่ากำลังนั่งจิบชาร้อน ๆ บนเก้าอี้ไม้เนื้อดี พลางกวาดสายตามองไปทางด้านหลังปราสาทเพื่อดูบรรยากาศรอบเนินเขาเตี้ย

“เมิธ ข้าอยากทานองุ่น ไปบอกโจนให้ไปเก็บมาหน่อย” เลดี้จิอันน่าบอกสาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

“ค่ะ” เมิธกล่าว ก่อนที่จะเดินออกไปหาโจนคนทำสวน

“ท่านแม่อยากทานองุ่นก็ไม่บอกข้า” เพอร์สันกล่าว เมื่อมาถึงลานกว้าง

“บอกลูก?” เลดี้จิอันน่าขมวดคิ้ว “เจ้าจะไปเก็บให้แม่หรืออย่างไร”

“ก็ไม่เชิงหรอกท่านแม่" เพอร์สันบอกก่อนลากเก้าอี้ออกมานั่ง” ท่านสนใจที่อยากจะดื่มไวน์ไหม"

“มันคืออะไรกันรึ” เลดี้ ริอันน่าถามอย่างสนใจ

“มันเป็นน้ำองุ่นที่มีรสชาติกลมกล่อมและให้รสชาติที่ซับซ้อน” เพอร์สันบอก ก่อนเอาม้วนแบบแปลน มาให้เลดี้จิอันน่าดู “นี่คือเครื่องที่จะทำไวน์ขึ้นมา มันต้องผ่านการบดจากเครื่องบด ก่อนนำไปหมักและตามด้วยการบ่ม เมื่อทำเสร็จทุกขั้นตอนจะได้ไวน์ออกมาดื่ม แต่ขั้นตอนการทำอาจจะนานหน่อยแต่รับรองเลยว่ามันต้องอร่อยแน่นอน” เพอร์สันอธิบายขั้นตอนแบบคร่าว ๆ

“มันดูแปลกยิ่งนัก แม่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย” เลดี้จิอันน่าพูดก่อนวางแก้วชาไว้บนโต๊ะ เผื่อจะได้ดูภาพโครงสร้างชัด ๆ “เจ้าไปเอามาจากไหนกันแบบแปลนนี้”

“ข้าคิดมันขึ้นมาเอง” เพอร์สันบอก “ข้าอยากให้ท่านแม่ได้ทานอะไรอร่อย ๆ แล้วความคิดนี้มันก็แว๊บเข้ามาในสมอง ความคิดนี้มันออกมาเพื่อท่านโดยเฉพาะเลยน่ะ” เขากล่าวเอาใจ เพื่อให้ได้ผล

“ลูกมีความคิดสร้างสรรค์นะ แต่ลูกรู้ได้อย่างไรกันว่ามันอร่อยทั้ง ๆ ที่ยังไม่เริ่มทำ เจ้านะชักจะโม้ใหญ่แล้วนะ” เลดี้จิอันน่าบอก “ลูกต้องการเงินทุนเท่าไหร่บอกแม่มา แม่ก็อยากลองลิ้มรสของสิ่งที่ลูกชายคิดขึ้นมา”

 “เท่าที่คำนวณดูน่าจะห้าเหรียญทองนะท่านแม่” เพอร์สันกล่าว หลังจากที่ได้เงินทุนแล้วเพอร์สันก็เดินไปที่คอกม้า และควบม้าออกไปนอกปราสาทมุ่งหน้าไปที่ร้านช่างไม้ฝีมือดีของแคว้น เขาผูกม้าไว้ที่รั้วข้างร้านช่างไม้ ก่อนที่จะเดินไปหาช่างและยื่นแบบแปลนให้ช่างดู เพอร์สันอธิบายสักพักและเน้นย้ำว่าด่วนที่สุดก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับมาที่ปราสาทเพื่อฝึกเชิงดาบ

     ณ ลานกว้างของปราสาทมีชายสองคนกำลังทำการประดาบกันอย่างดุเดือด ชายร่างใหญ่ผมสีดำดกหนา เขามีหน้าตาที่ค่อนข้างน่ากลัวแต่แตกต่างจากบุคลิกของเขาอย่างสิ้นเชิง เขามีนามว่าทีร์ลานเป็นอัศวินองค์รักษ์ของลอร์ดอลัน เขาเป็นคู่ซ้อมดาบให้เพอร์สันในวันนี้โดยลอร์ดอลันกำลังนั่งชมการซ้อมดาบใกล้ ๆ ลานกว้าง

     “ฝีมือในเชิงดาบของท่านเพอร์สันก้าวกระโดดอย่างเหลือเชื่อ ข้าไม่คิดเลยว่าเชิงดาบของเขาจะดุดันและเฉียบคมแบบนี้” ทีร์ลูนพูดกระซิบให้ท่านลอร์ดอลันฟัง ซึ่งเขาเป็นแฝดผู้พี่ของทีร์ลานและเป็นอัศวินองค์รักษ์เช่นกัน

     “ใช่เขาพัฒนาไปไกลมาก รวมทั้งพลังจิตวิญญาณด้วย และดูเหมือนว่าเขาจะมีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนไปจากเดิม” ลอร์ดอลันบอก “อีกอย่างเขาดูนิ่งสงบและดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก”

     “นั้นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านเพอร์สันพัฒนาขึ้นก็เป็นได้” ทีร์ลูนแสดงความคิดเห็น

     เพอร์สันในตอนนี้ได้แต่ป้องกันการโจมตีจากทีร์ลานที่กระหน่ำฟันอย่างต่อเนื่อง และมีพลังจิตวิญญาณระดับพาราดินขั้นที่สองทำให้เขารับมือยากยิ่งนัก ถึงเขาจะมีพละกำลังของแวมไพร์เข้าไปช่วยแต่ก็ยังคงยากต่อการประมือ

     “ท่านแข็งแกร่งขึ้นมากที่สามารถรับมือข้าได้ ทั้ง ๆ ที่พลังจิตวิญญาณยังอยู่แค่ระดับก่อเกิดแท้ ๆ” ทีร์ลานกล่าวชมในขณะที่กระหน่ำฟันไปด้วย

     “เจ้ากล่าวชมเร็วเกินไปนะ” เพอร์สันกล่าว เมื่อได้จังหวะเขาเบี่ยงดาบของทีร์ลานออกไปด้านข้าง ก่อนที่จะเอาหัวโขกกับหัวของทีร์ลานจนเขาเสียการทรงตัวและตามด้วยกำปั้นกระทุ้งเข้าไปที่หน้าจนทีร์ลานล้มลงไปที่พื้น “เจ้าแพ้แล้วทีร์ลาน” เขากล่าวและช่วยพยุงทีร์ลานขึ้นมา

     “ฝีมือเจ้าดีขึ้นจนข้าตกใจ แต่การที่เจ้าสามารถชนะทีร์ลานได้นี้ซิมันน่าตกใจยิ่งกว่า” ลอร์ดอลันกล่าว เมื่อเดินมาหาเพอร์สันพร้อมกับใช้มือแตะบ่าเขาเบา ๆ

     หลังจากนั้นหลายวันเพอร์สันก็ฝึกทำสมาธิผสานกับกระบวนท่าของดาบไปเรื่อย ๆ บางวันก็ซ้อมดาบกับทีร์ลานและทีร์ลูนจนผ่านไปหลายสัปดาห์ จนตอนนี้เขามีพลังจิตวิญญาณระดับก่อเกิดขั้นที่เจ็ด และเขาในเวลานี้ได้พลังอย่างหนึ่งของแวมไพร์กลับคืนมา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel