บทที่ 7
เพราะอยากคุยกับบิดา แต่สัญญาณโทรศัพท์กลับขาดๆ หายๆ จนทำให้มาศิตาต้องเดินออกไปหาสัญญาณที่นอกตัวบ้าน
สงสัยเธอต้องเลิกใช้บริการโทรศัพท์ค่ายนี้เสียแล้วมั้ง ไหนบอกแรงชัดทั่วไทย แต่ไหงเธอต้องเดินหาสัญญาณจนปวดน่องแบบนี้ก็ไม่รู้ กว่าจะหาพิกัดที่สัญญาณชัดแจ๋วก็เล่นเอาปาดเหงื่อ
และทันทีที่ผู้เป็นพ่อรับสาย มาศิตาก็บ่นยาวเหยียดเรื่องที่เธอต้องมาสอนพิเศษให้แวมไพร์ตัวโตเท่ายักษ์ สายมุ้งมิ้ง ที่กินมังสวิรัติอย่างเชโรม
“เรามีเวลาไม่มากนักนะศิตา ลูกรู้แล้วว่าต้องทำอะไร ก็ลุยให้เต็มที่”
“ศิตาอยากหอบกระเป๋ากลับบ้านเราเสียตอนนี้ แต่เพราะรับปากพ่อไว้ ศิตาก็จะพยายามค่ะ” มาศิตาเอ่ยรับ แม้จะอยากถอนตัวแต่ก็คงจะสายไปแล้วแน่ๆ
“ขอบใจมากลูก” อาทิตย์เอ่ยประโยคนี้ออกมาอีกครั้ง นั่นเพราะรู้สึกขอบใจมาศิตาในความเสียสละที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า หวังว่ามาศิตาจะเข้าใจและไม่โกรธตน
สองพ่อลูกคุยกันอยู่นาน ก่อนที่มาศิตาจะขอวางสายและกดโทร.ออกหาโรซี่ จังหวะนั้นก็ก้มไปตบยุง ที่ตอนนี้กำลังยกขบวนกันมาดูดเลือดจากขาเธออย่างพร้อมเพรียง
แต่เพราะโรซี่ไม่รับสาย และเพราะทนเป็นเหยื่อของกองทัพยุงไม่ได้ มาศิตาจึงวางสายแล้วรีบวิ่งกลับเข้าบ้าน เพราะขืนยังยืนอยู่ เธออาจเป็นไข้เลือดออกหรือไม่ก็ถูกยุงดูดเลือดไปจนหมดตัว
“ยุงดูดเลือด อึ๋ย…” มาศิตาขนลุก เพราะนอกจากจะคิดถึงยุงแล้ว สมองยังคิดถึงแวมไพร์ตัวเป็นๆ นามว่าเชโรม ที่เพิ่งมีโอกาสได้พบอีกต่างหาก
“เฮ้อ...สอนเด็กว่ายากแล้ว นี่ต้องมาสอนแวมไพร์ดื่มเลือด คงยากยกกำลังสองแน่ๆ จะเข้าตำราสอนจระเข้ว่ายน้ำไหมน้อศิตา” มาศิตาบ่นกระปอดกระแปด รู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้งที่บ่าเล็กๆ แบกรับไว้ คิดแล้วก็ เฮ้อ...เฮ้ออออ
มาศิตาถอนหายใจหนักๆ แล้วเดินเข้าบ้าน ตรงดิ่งกลับเข้าห้องนอนตัวเองไป โดยไม่ลืมที่จะล็อกประตูใส่กลอนให้แน่นหนา
เชโรมกลับเข้าบ้านเกือบเที่ยงคืน ดูเหมือนว่าตั้งแต่เจอกับมาศิตา เขาจะไม่ค่อยมีสมาธิทำอะไร ไม่เหมือนเชโรมคนเดิมสักเท่าไหร่
“นี่เราเป็นบ้าอะไร” ชายหนุ่มเอ่ยถามตัวเอง แต่ก็ไม่ได้คำตอบใดๆ สายตาคมกริบมองไปยังระเบียงห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนอนของเขา ที่ตอนนี้สว่างเพราะไฟในห้องยังคงถูกเปิดไว้ บ่งบอกว่ามาศิตายังไม่กลับไปไหน
อันที่จริง เขาก็รู้ว่าเธอยังไม่กลับ นั่นเพราะสัมผัสฝีเท้าที่เดินไปเดินมาภายในห้องได้ ไหนจะกลิ่นหอมๆ ของเธอที่คอยแต่จะกวนใจเขาอยู่ตลอดเวลานั่นอีก กลิ่นที่ทำให้ร่างกายเขาปั่นป่วนแปลกๆ รู้สึกกระหายบางสิ่งบางอย่าง ที่อธิบายไม่ได้ว่าคืออะไร แม้จะพยายามดื่มน้ำก็ไม่รู้สึกหายคอแห้งเสียที รวมทั้งอยากเข้าใกล้เธอด้วยเช่นกัน
แวมไพร์หนุ่มผู้ที่ยังไม่เคยลิ้มลองเลือดสดๆ ก้าวเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางอันน่ายำเกรง เชโรมมักจะมีหลายบุคลิก ขึ้นอยู่กับความสนิทสนม กลางวันเขาดูเข้ากับคนได้ง่าย ยิ้มกับดอกไม้ใบหญ้าได้อย่างไม่เคอะเขิน ภาพนั้นติดตาอยู่ในหมู่สาวๆ จนเก็บไปฝันมานักต่อนัก
แต่ทว่าหากเวลาล่วงเลยเข้ายามรัตติกาล เขาจะเงียบขรึม สายตาก็ดูดุดันน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก อย่างเช่นตอนนี้ที่กำลังยืนจ้องประตูห้องที่มาศิตาพักอยู่ในนั้น
“อุ๊ย! ตกใจหมดเลย” มาศิตาหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เธอหิวน้ำ สงสัยเพราะคุยโทรศัพท์มากไปหน่อย เลยจำต้องลงไปห้องครัว แต่เมื่อเปิดประตูห้องออกมาแล้ว กลับเจอกับเชโรมที่ยืนนิ่งพร้อมตีหน้ายักษ์ใส่เธออยู่ตรงหน้า
“ทำไมถึงยังไม่กลับไปอีก นี่กล้าขัดคำสั่งฉันหรือไง” น้ำเสียงห้วนๆ เอ่ยถาม พร้อมๆ กับส่งแววตาไม่เป็นมิตรมายังมาศิตา
“ไม่ได้จะขัดคำสั่ง แต่ฉันมาทำงาน ถ้างานยังไม่เสร็จก็คงกลับไม่ได้” คนตัวเล็กกว่ารู้สึกท้อที่ต้องอธิบายอะไรซ้ำๆ ให้เชโรมฟังเหลือเกิน พูดยังกับเธออยากอยู่ที่นี่อย่างนั้นแหละ นี่ถ้าไม่เพราะคำสั่งพ่อ รวมทั้งเกรงใจณิอรแม่ของเขา ป่านนี้เธอกลับบ้านไปนานแล้ว ไม่อยู่ให้ไล่แบบนี้หรอก
“ที่นี่ไม่ต้องการเธอ กลับไป”
“เอ้า! คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องแฮะ ฉันบอกว่าฉันมาทำงาน”
“แล้วรู้ไหม งานของเธอคืออะไร” เชโรมสบตาของมาศิตาไปตรงๆ หวังว่าเธอจะรู้และรู้สึกถึงความกลัวได้บ้าง แต่ดูท่าแล้วเขาจะคิดผิด
“รู้สิ”
“ไหนลองว่ามาสิ ว่ารู้อะไรบ้าง” ชายหนุ่มรอฟังว่ามาศิตานั้นจะรู้อะไรมาบ้าง
“ฉันมาที่นี่เพื่อมาสอนให้คุณดื่มเลือดให้ได้” คำตอบของมาศิตาทำเอาคนฟังนิ่งงันไป เพราะไม่คิดว่ามาศิตาจะรู้เรื่องนี้ ก่อนจะปรับสีหน้าและอารมณ์เสียใหม่ เธอรู้แล้วก็ดี เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งอธิบาย
“ฉันรู้ว่าคุณเป็นอะไร และฉันก็ไม่ได้กลัวคุณด้วย ฉันเกิดมาในตระกูลของผู้พิทักษ์ ที่ต้องทำหน้าที่พิทักษ์ตระกูลของคุณ ฉันรับรู้การมีตัวตนของเผ่าพันธุ์คุณมาตั้งแต่เด็กๆ แม้จะสับสนบ้าง ว่าไหนเรื่องจริง ไหนเรื่องไม่จริงก็เถอะ แต่หลังจากนี้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ฉันก็ต้องทำ” มาศิตาเอ่ยอย่างหนักแน่น
“ไม่กลัวแม้กระทั่งความตายอย่างนั้นเหรอ”
“กลัวสิ แต่ถ้าตายแล้วทำให้พ่อภูมิใจ ทำไมฉันจะไม่ยอม” คำตอบของมาศิตาทำเอาเชโรมยืนนิ่ง
“เพราะฉะนั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้ ฉันจะเริ่มสอนให้คุณดื่มเลือด”
“ตลก” แวมไพร์หนุ่มยิ้มเย้ย นั่นเพราะไม่เชื่อเด็ดขาดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างมาศิตาจะเปลี่ยนตัวเขาได้
“เอ้า! นี่ฉันไม่ใช่ตุ๊กกี้ชิงร้อยชิงล้านนะคุณ จะได้มาตลก” มาศิตายืนเท้าสะเอวมองคนตัวสูง ที่ทำให้เธอต้องเชิดหน้ายามคุยด้วยจนชักจะเมื่อยคอ
“เลิกฝันลมๆ แล้งๆ เพราะฉันไม่มีวันดื่มเลือดนั่น พรุ่งนี้เช้า อย่าให้เห็นว่าเธอยังอยู่ที่นี่ ไม่งั้นเธอเจอดีแน่” เชโรมไม่ตอบและเปลี่ยนเรื่องในทันที เอ่ยสั่งด้วยเสียงห้วนๆ จบ ก็เดินเข้าห้องตัวเองไป ซึ่งมันก็อยู่ติดกับห้องของมาศิตานั่นแหละ
“เอ้า! ผู้ชายอะไรพูดจาไม่รู้เรื่อง กลางวันกับกลางคืนนี่ราวกับเป็นคนละคน” ถอนหายใจเสร็จก็เดินลงไปชั้นล่าง เป้าหมายคือตู้เย็น แต่เพราะยังไม่ชินกับที่นี่ ทำให้มาศิตาเตะนั่นเตะนี่จนนิ้วก้อยเท้าแทบจะหลุด
โดยไม่รู้ว่าขณะนี้เชโรมมองเธออยู่จากชั้นบน นี่มันบ้านของเขา ไม่ว่าสว่างหรือมืดเขาก็รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน บ่อยครั้งที่เขาเดินลงไปชั้นล่างโดยไม่ต้องเปิดไฟสักดวง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องเตะถูกกับอะไร
“โอ๊ย! เจ็บๆ” ว่าแล้วก็ก้มไปลูบนิ้วก้อยเท้าซ้ายอีกสักรอบ ก่อนจะเดินหน้ายู่ไปยังตู้เย็น หยิบน้ำมาถือไว้ขวดหนึ่งจากนั้นก็กลับขึ้นห้อง ซึ่งเชโรมก็ใช้จังหวะนั้นกลับเข้าห้องตัวเองไปเช่นเดียวกัน
มาศิตาไม่ลืมที่จะล็อกและใส่กลอนประตูอีกชั้น การมาอยู่ต่างสถานที่แบบนี้ มันทำให้เธอกลัวอยู่ไม่น้อย แต่ภายใต้ความกลัวก็มีความอบอุ่นแปลกๆ แทรกอยู่เช่นเดียวกัน
เชโรมทิ้งตัวนั่งลงไปบนเตียง โดยหันหน้ามองมายังผนังห้องที่กั้นระหว่างห้องนอนเขากับห้องนอนของมาศิตาอยู่ในขณะนี้ ยิ่งใกล้กลิ่นกายของเธอก็ยิ่งชัดขึ้น และกลิ่นนี้ก็ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะมักจะเผลอเอาตัวเข้าไปอยู่ใกล้เธอบ่อยๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“นี่เราเป็นอะไร” ชายหนุ่มลูบต้นคอตัวเอง นั่นเพราะรู้สึกร้อนจนคอแห้งผากไปหมด สัญชาตญาณบางอย่างในตัวเชโรมกำลังถูกปลุกให้ตื่นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวสักนิด แม้ก่อนหน้านี้เขาจะปฏิเสธมันมาตลอดก็ตามที
ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและออกไปจากบ้านเงียบๆ ท่ามกลางความมืดสนิทของรัตติกาล ตั้งแต่แม่ส่งจดหมายฉบับนั้นให้เขาได้อ่าน เชโรมก็มักจะหายไปตอนกลางคืนอยู่บ่อยๆ
เขาหายไปเพื่อทดสอบตัวเอง ว่าแท้จริงแล้ว เขาต้องการอะไรกันแน่ ต้องการใช้ชีวิตเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆ หรือทายาทแวมไพร์อันดับหนึ่ง ที่จะต้องขึ้นนั่งบัลลังก์ต่อจากพ่อในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
