ตามหาคนมีกลิ่นเลือดบริสุทธิ์ 1.3
“ก็ตามชื่อซอยแวมไพร์แหละครับ มีคนเล่าว่าซอยนี้มีแวมไพร์อาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน ในคืนพระจันทร์เต็มดวงก็จะมีคนหายตัวไปอย่างลึกลับ จนกระทั่งซอยนี้แทบจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่”
เอกรินทร์เล่าไปตามเรื่องราวที่เขาพอจะได้ยินมา เพราะซอยนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขาสักเท่าไร และตั้งแต่เขาจำความได้ไอ้เรื่องเล่าซอยแวมไพร์นี้ก็ถูกพูดกรอกใส่หูเขามาโดยตลอด
“แล้วคุณเอกรินทร์เชื่อไหมครับ”
“ไม่นะครับ แวมไพร์มันเป็นแค่เรื่องเล่า ที่นี่ประเทศไทยนะครับ แวมไพร์คงไม่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาฆ่าดูดเลือดคนไกลขนาดนี้”
เอกรินทร์พูดด้วยน้ำเสียงติดตลกโดยไม่สังเกตเลยว่าแววตาของภาคินทร์ที่จ้องมองเขากำลังเปลี่ยนไป
“แต่ผมเชื่อนะครับ”
คำพูดของพระนายเป็นเสียงเรียกความสนใจของภาคินทร์ได้เป็นอย่างดี
“คือพี่ชายผมมันค่อนข้างคลั่งเรื่องพวกนี้มาก ๆ ซื้อหนังสือเป็นร้อย ๆ เล่มมาอ่าน จะบอกว่าผมถูกล้างสมองให้เชื่อตามมันก็คงไม่ผิด ทุกเรื่องเล่ามันก็มักจะมาจากเรื่องจริงทั้งนั้นแค่รอให้มีใครค้นพบหลักฐานมายืนยันแค่นั้นเองครับ”
พระนายพูดไปตามที่คิด
เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องของซอยแวมไพร์แห่งนี้มาไม่น้อย ถึงจะไม่มีหลักฐานมายืนยันว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดขึ้น
สำหรับเขา ทุกอย่างที่จะทำให้เชื่อหรือไม่เชื่อต้องมีองค์ประกอบหลายเรื่องด้วยกัน ถ้ายังไม่แน่ใจเขาก็มักจะไม่โยนไปทางใดทางหนึ่งแค่รอวันพิสูจน์ความจริงให้ได้ก็เท่านั้น
“น่าสนใจดีนะครับ เอาเป็นว่าถ้าไม่รังเกียจผมอยากจะเชิญคุณทั้งสองคนอยู่ทานข้าวเย็นร่วมกัน ระหว่างรอเวลาเดี๋ยวให้เพลงพรพาชมบ้านผมไปพลาง ๆ คิดว่าคงมีอะไรให้พวกคุณได้ทำเพื่อฆ่าเวลาอย่างแน่นอน”
“แล้วคุณภาคินทร์จะไปไหนเหรอครับ”
เอกรินทร์พลั้งปากถามขึ้น แต่ก็ต้องชะงักเพราะสายตาเย็นชาของภาคินทร์ที่มองกลับ
“คุณท่านไม่ค่อยสบายค่ะ เลยต้องพักผ่อน เดี๋ยวมื้อเย็นคุณท่านจะลงมารับประทานอาหารด้วยนะคะ”
เพลงพรรีบบอกก่อนที่ภาคินทร์จะไม่พอใจแล้วพลั้งเผลอทำอะไรลงไป
ภาคินทร์เพียงพยักหน้าช้า ๆ แล้วเดินกลับขึ้นไปด้านบน
“กิ่งแก้ว...”
“ค่ะคุณเพลงพร”
“พาคุณสองคนไปเดินสำรวจบ้านหน่อยไป เขาอยากดูอะไรตรงไหนก็พาไป ยกเว้นชั้นสามเพราะคุณท่านจะพักผ่อน เข้าใจใช่ไหม”
“รับทราบค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”
พระนายและเอกรินทร์เดินตามแม่บ้านของคฤหาสน์ไปเรื่อย ๆ หลายต่อหลายห้องล้วนแล้วแต่ตกแต่งด้วยของโบราณทั้งสิ้น บางชิ้นเขาสองคนแทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน รวม ๆ มูลค่าคงนับเป็นเงินไม่ได้
“ตรงนี้เป็นห้องหนังสือค่ะ อยากเข้าไปด้านในไหมคะ”
“ครับ รบกวนคุณกิ่งแก้วด้วยนะครับ”
ภายในห้องหนังสือขนาดใหญ่ ถูกบรรจุไปด้วยหนังสือนับพันเล่ม กว่าครึ่งเป็นหนังสือต่างประเทศและหนังสือของต่างประเทศเหล่านั้นมีอายุเก่าแก่มากกว่าร้อยปี
“มีแต่หนังสือน่าสนใจทั้งนั้นเลย หัวหน้าจะไปตรงอื่นไหมครับ ผมอยากอ่านหนังสืออยู่ในนี้”
“ไม่ไปแล้วขี้เกียจเดิน เดินมาตั้งนานยังไม่ถึงครึ่งบ้านเลย พักก่อนผมเดินต่อไม่ไหวแล้ว”
“งั้นผมสองคนคงอยู่ในห้องนี้จนถึงเวลาอาหาร คุณกิ่งแก้วไปทำงานต่อก็ได้นะครับ”
พระนายหันไปบอกแม่บ้านของภาคินทร์ เพราะตัวเขาเองก็เกรงใจเธอไม่น้อยที่ต้องมาคอยพาเขาสองคนเดินดูนู่นชมนี่ไปเรื่อย ทั้ง ๆ ที่ดูท่าทางงานที่เธอต้องรับผิดชอบในคฤหาสน์แห่งนี้ก็คงไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกิ่งไปเอาเครื่องดื่มกับขนมมาให้นะคะ”
“เดี๋ยวครับคุณกิ่งแก้ว ไม่ทราบว่าห้องน้ำไปทางไหนครับ”
เอกรินทร์รีบเรียกเอาไว้ก่อนที่เขาจะอดทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วเผลอฉี่ราดกางเกง
“ตามกิ่งมาค่ะ เดี๋ยวกิ่งพาไป”
เอกรินทร์เดินตามแม่บ้านออกไปจากห้องหนังสือ ปล่อยพระนายไว้กับกองหนังสือที่น่าสนใจตรงหน้าตามลำพัง
พระนายค่อย ๆ ไล่ดูหนังสือไปทีละเล่มจนไปสะดุดตาเข้ากับหนังสือเกี่ยวกับตระกูลอีแวนสันซึ่งเป็นนามสกุลของภาคินทร์ และนั่นทำให้เขารู้สึกสนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที
“ตระกูลอีแวนสันถือกำเนิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนโดยไม่ปรากฏหลักฐาน มีเพียงเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่าเป็นตระกูลลึกลับต้องคำสาปที่ทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นตระกูลของแวมไพร์...”
