สนใจเรื่องแวมไพร์เหรอครับ 1
สนใจเรื่องแวมไพร์เหรอครับ
“อ่านอะไรอยู่เหรอครับ”
“คุณภาคินทร์!!!”
พระนายรีบปิดหนังสือในมือลงทันที ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไรแต่เขากลับรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยในเวลาที่อยู่ต่อหน้าภาคินทร์ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ ๆ
“เอ่อ...คือ”
“ประวัติตระกูลอีแวนสัน… นี่คุณพระนายให้ความสนใจประวัติตระกูลของผมด้วยเหรอครับ”
พระนายมั่นใจว่าภาคินทร์น่าจะเพิ่งเข้ามา เขาไม่มีทางรู้ได้แน่ ๆ ว่าพระนายอ่านหนังสือเล่มไหนอยู่ แล้วเพราะเหตุผลใดเขาจึงเดาถูกในเมื่อหนังสือในห้องนี้ก็มีเป็นร้อยเป็นพันเล่ม
“กำลังคิดอยู่เหรอครับว่าผมรู้ว่าคุณพระนายอ่านหนังสือเล่มไหน ได้อย่างไร”
“หมายถึงอะไรเหรอครับ”
พระนายแสร้งทำเฉไฉเสมือนไม่ได้มีอะไรน่าสงสัยอย่างที่ภาคินทร์บอก
“ด้านหลังคุณมันมีกระจกอยู่ ผมมองเห็นจากในกระจกครับเลยทราบว่ามันเป็นหนังสืออะไร”
พระนายหันมองกลับไปตามระยะสายตาของภาคินทร์ ก่อนจะเห็นว่ามีกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกเขาไม่ทันเห็นมันเลยด้วยซ้ำ
“คือจริง ๆ ผมไม่ได้อยากละลาบละล้วงเรื่องของตระกูลคุณภาคินทร์หรอกนะครับ พอดีเห็นมันมีเรื่องราวน่าสนใจเลยลองอ่านดู แต่ถ้าคุณภาคินทร์ไม่สะดวกใจ...”
“เปล่าครับผมไม่ได้ว่าอะไร แค่แปลกใจที่คุณสนใจเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อหรือเรื่องลี้ลับพวกนี้ ที่เขาเขียนบันทึกกันเอาไว้”
“ก็อย่างที่บอกครับพี่ชายผมมันเป็นพวกคลั่งเรื่องความเชื่อ สิ่งลี้ลับ แบบที่คุณภาคินทร์ว่าผมก็เลยเหมือนคุ้นชินไปโดยปริยาย แล้วอีกอย่าง อ่านไปอ่านมาก็สนุกตื่นเต้นดี”
พระนายเอาหนังสือที่ซ่อนไว้ด้านหลังออกมาวางก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย
“ถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาตถามได้ไหมครับ ว่าจริง ๆ แล้วคุณพระนายคิดอย่างไรกับเรื่องของแวมไพร์ ผีดูดเลือดเหรอครับ”
“มันก็อาจจะมีอยู่จริงนะครับ แต่มาถึงสมัยนี้แล้วมันคงจะไม่มีแวมไพร์ที่ไหนออกมาไล่ดูดเลือดคนหรอกครับ เขาก็คงต้องปรับตัว”
“ปรับตัว แวมไพร์ปรับตัวเหรอครับ ตลกดีนะครับผมไม่เคยได้ยิน”
แม้วาจาจะกล่าวว่ามันคือเรื่องขบขัน หากแต่ใบหน้าเรียบเฉย ไร้การแสดงออกทางอารมณ์ตามที่ควรจะเป็น
“ครับ ถ้าไม่ปรับตัวก็คงสูญพันธุ์ไปแล้วจริง ๆ เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ลำพังคนธรรมดายังต้องปรับตัวเลยครับ ถ้าแวมไพร์จะมีชีวิตอยู่เป็นร้อยเป็นพันปี ก็คงต้องปรับตัวเหมือนกัน”
ภาคินทร์รู้สึกทึ่งในความคิดของพระนายนิดหน่อย ที่ดูเหมือนจะเชื่อและไม่เชื่ออยู่ในคราเดียว
แถมยังมีความคิดแปลกออกไปจากหลาย ๆ คนที่เขาเคยเจอและมันช่างดูน่าสนใจเสียจริง
“แล้วถ้าสมมุติคุณได้เจอแวมไพร์ขึ้นมาจริง ๆ คุณจะทำอย่างไรครับ”
“ผมไม่อยากเจอหรอกครับ ถ้าเป็นพี่ชายผมก็ไม่แน่ ถึงจะไม่ได้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าให้เลือกผมก็ไม่อยากเจอครับ”
ดวงตาสีแดงจ้องไปที่ใบหน้าของพระนาย แม้ใกล้ขนาดนี้แต่เขายังไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลกมาก
หรือบางทีร่างกายของเขาอาจจะยังอ่อนแอเกินไป
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจอกันมื้อเย็น เชิญคุณกับหัวหน้าคุณตามสบายนะครับ ส่วนหนังสือถ้าชอบเล่มไหนก็อ่านได้ตามสบายหรือจะยืมไปอ่านต่อก็ได้นะครับ ผมไม่หวง”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”
ภาคินทร์ขอตัวออกมาจากห้องหนังสือ
ระหว่างทางเขาเดินสวนกับเอกรินทร์ โดยไม่แม้แต่จะหยุดมองหน้าด้วยซ้ำราวกับเอกรินทร์ไม่ได้มีตัวตนในบ้านหลังนี้
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เอกรินทร์ใส่ใจแต่อย่างใด เพราะสำหรับเขางานที่ทำสำเร็จแล้วเท่านั้นที่สมควรให้คุณค่ามากที่สุด
“นายว่าคุณภาคินทร์เขาแปลก ๆ ไหม”
“แปลก แล้วไอ้คำว่าแปลกของพี่นี่มันเป็นยังไงเหรอครับ”
“ก็ดูเนิบ ๆ ช้า ๆ แข็ง ๆ เหมือนลืมพกวิญญาณมาด้วย”
“หัวหน้าครับ เรานินทาเขาในบ้านเขาเลยนะครับ ถ้าเขาเปลี่ยนใจฉีกสัญญาขึ้นมาจะแย่นะครับ”
“เออจริงด้วย ก็มันรู้สึกแปลก ๆ จริง ๆ นี่นา”
เอกรินทร์คิดวกไปวนมาถึงท่าทางต่าง ๆ ของภาคินทร์ที่เจอในวันนี้ จะให้ทำใจมองว่าเป็นเรื่องปกติก็ยากเย็นอยู่
ลำพังแค่บุคลิกภายนอกก็แสนแปลกตา ไม่ว่าจะเป็นสีผม ดวงตา สีผิวที่ขาวซีดไร้เลือดฝาดแบบนั้น ถึงจะบอกว่าเป็นลูกครึ่งต่างชาติก็ยังแปลกอยู่ดี
แต่เพราะตอนนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของภาคินทร์อย่างที่พระนายบอก มันก็คงไม่เหมาะเท่าไรหากพูดเรื่องพวกนี้ออกไปแล้วมีใครมาได้ยิน
บริษัทรวมถึงงานของเขาก็อาจจะเสียหายได้
“มื้อเย็นเสร็จแล้วนะคะ เชิญคุณทั้งสองคนที่ห้องอาหารค่ะ”
หลังจากใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินอยู่ในห้องหนังสือ กิ่งแก้วก็เข้ามาแจ้งว่าถึงเวลามื้อเย็นแล้ว
พระนายปิดหนังสือลงด้วยความเสียดาย หลังจากที่นั่งอ่านมานานหลายชั่วโมง ล้วนแล้วมีแต่เรื่องน่าสนใจทั้งสิ้น จนแทบไม่อยากละสายตาจากตัวหนังสือไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว
พระนายตัดสินใจถ่ายหน้าปกของหนังสือเอาไว้ เผื่อจะสามารถไปหาซื้อมาอ่านได้จากพวกร้านหนังสือเก่าที่เขาเคยไป ก่อนที่จะเดินตามกิ่งแก้วและเอกรินทร์ไปที่ห้องอาหาร
“เชิญนั่งค่ะ...”
“ที่นี่เราไม่ได้รับประทานอาหารหรูหราอะไร คุณสองคนคงพอรับประทานได้นะครับ”
เอกรินทร์และพระนายมองไปยังเมนูอาหารเกือบสิบอย่างบนโต๊ะที่เจ้าบ้านบอกว่าเป็นเพียงมื้อธรรมดาไม่ได้พิเศษ หากแต่เต็มไปด้วยเมนูอาหารระดับภัตตาคารที่คาดคะเนคร่าว ๆ ว่ามื้อนี้คงไม่ต่ำกว่าหลักแสนบาท
“ได้ครับพวกผมกินได้ นี่มันมากเกินไปด้วยซ้ำ”
“ยินดีครับ ถือว่าเป็นการเลี้ยงฉลองที่เราได้ร่วมงานกัน”
ภาคินทร์ผายมือออกเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนจานสเต๊กของตัวเองมาทานโดยไม่สนใจอาหารบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย
พระนายเฝ้ามองด้วยความแปลกใจ แต่ก็อาจจะเป็นเพราะเขาชินชากับอาหารประเภทนี้อยู่แล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรคล้ายเมนูที่กินปกติในทุกวัน
“รสชาติอาหารถูกปากไหมคะ”
เพลงพรเอ่ยถามขึ้น
สองหนุ่มพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สร้างความพอใจให้กับภาคินทร์เป็นอย่างมาก
“หกโมงแล้ว กิ่งแก้วไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้ฉันจัดการเอง”
“ค่ะคุณเพลงพร”
“เดี๋ยวกิ่งแก้ว!!!”
