06 ฝันร้ายยังตามหลอกหลอน
06 ฝันร้ายยังตามหลอกหลอน
นานเท่าไหร่ไม่รู้...
เมริษากำลังยืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง สองข้างทางเต็มไปด้วยโพรงหญ้าสูงท่วมหัว มองไปทางไหนก็ไม่เจอใครเลยสักคน จนเกิดความงุนงงว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและที่นี่คือที่ไหน
แต่ทันใดนั้นฝนก็กระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้เธอต้องเร่งฝีเท้าไปตามทางเดินเพื่อหาที่หลบฝน จนกระทั่งไปเจอเข้ากับศาลาเก่าๆข้างทาง เธอวิ่งเข้าไปหลบตรงนั้นโดยไม่รู้ว่ามีชายคนนึ่งกำลังนั่งหลบฝนอยู่ข้างในนั้นเช่นกัน
“ขอหลบฝนด้วยคนนะคะ” เธอบอกกับผู้ชายคนนั้นที่นั่งอยู่อีกฝั่งของศาลา และทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น เธอก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง เพราะเขาคือผู้ชายที่เคยไล่ข่มขืนเธอเมื่อต้นปี “กรี๊ดดด!!!”
“เจอกันอีกแล้วนะ หึ…หึ” เสียงหัวเราะเยือกเย็นบาดลึกไปถึงขั้วหัวใจ และในวินาทีนั้นมันก็กระโจนเข้ามา ทำให้เธอต้องรีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที”
ชายคนนั้นวิ่งตามมาติดๆโดยที่เธอพยายามเร่งฝีเท้าหนี แต่จู่ๆแข้งขากลับอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อย และในที่สุดมันก็ตามมาทัน
หมับ!!
มือหยาบกระชากคอเสื้อจนชุดนักศึกษาขาดหวิ่นก่อนที่มันจะล็อคร่างของเธอแล้วลากเข้าไปในโพรงหญ้าข้างทาง เธอกรีดร้องสุดเสียง ทั้งแตะ ทั้งถีบ แต่ทว่าแข้งขากลับไม่มีเรี่ยวแรง
“กรี๊ดดด!!! อย่าทำฉัน…อย่า!!”
พรึ้บ!!
“เมย์!เมย์! เกิดอะไรขึ้น!!” เสียงเข้มอันแสนคุ้นเคยปลุกให้เมริษาตื่นจากฝันร้าย พอตั้งสติได้เธอก็รีบโผเข้ากอดร่างหนาทันที
“มะ…เมย์ฝันร้ายค่ะ ฮึก!”
“ฝันว่าอะไรหรอครับ” อีริคดึงร่างสั่นระริกเข้ามาสวมกอด ตอนแรกเขานั่งรับลมชมวิวอยู่หลังห้อง แต่จู่ๆก็ได้ยินเสียงหญิงสาวกรีดร้องเลยรีบวิ่งเข้ามาดู เห็นคนตัวเล็กนอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนเตียงเหมือนกำลังฝันร้าย
“ฝันว่ามันตามมาอีกแล้วค่ะ มันกำลังไล่เมย์ ฮื้อๆๆ” มันที่ว่าก็คือคนร้ายโรคจิตที่เคยไล่ข่มขืนเธอเมื่อต้นปี จนทำให้เธอได้เจอกับอีริค
เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่เธอสอบเสร็จแล้วไปเลี้ยงฉลองกับกลุ่มเพื่อนที่ร้านอาหาร จนเวลาผ่านไปเกือบเที่ยงคืน เพื่อนๆที่อาสาว่าจะขับรถไปส่งกลับเมาแอ๋จนลิ้นพันกัน เธอเลยขอตัวกลับก่อนเพราะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ กระทั่งเดินออกมาเรียกแท็กซี่ที่หน้าปากซอย ในจังหวะปลอดผู้คน ก็มีชายโรคจิตคนหนึ่งโผล่มาจากด้านหลังแล้วพยายามดึงร่างของเธอเข้าไปในโพรงหญ้าข้างทาง เธอสะบัดร่างออกมาได้แล้ววิ่งหนีสุดชีวิต แต่มันก็วิ่งไล่ตามมาติดๆและเกือบจะถึงตัวเธอแล้ว จู่ๆก็มีรถหรูของใครบางคนสาดไฟใส่ ทำให้มันรีบวิ่งหนีหายเข้าไปในความมืด
ในตอนนั้นเธอเสียขวัญไปแล้วจนไม่รู้ว่ามีใครบางคนได้ก้าวลงมาจากรถแล้วใช้มือแตะไหล่ของเธอเบาๆ
‘ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ’
ใช่...ผู้ชายคนนั้นก็คืออีริคนั่นเอง เขาเป็นคนช่วยเธอเอาไว้จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น
“ไม่เป็นไรแล้ว พี่อยู่นี่ทั้งคน มันทำอะไรเมย์ไม่ได้หรอก เรื่องนี้มันก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว ยังฝันถึงมันอีกหรอ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนเพราะยังจำเหตการณ์ในวันนั้นได้ดี เมริษาหวาดกลัวจนเสียขวัญไปหลายวันเลยทีเดียว
“เมย์เกือบจะลืมมันไปแล้วเชียว แต่จู่ๆทำไมถึงฝันแบบนี้อีก” หญิงสาวปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ร่างสั่นเทิ้มค่อยๆเบาลง
“สงสัยเมย์คงดูหนังมากเกินไป อยู่กับพี่ ใครก็ทำอะไรเมย์ไม่ได้หรอก” เขาพรมจูบทั่วศีรษะเล็ก แต่แววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง อยากผลักเธอออกไปให้พ้นๆเพราะเขารู้สึกสะเอียดทุกครั้งที่กอดนามสกุลวรโชติเมธี “อยากกลับหรือยังครับ”
“ค่ะ เมย์อยากกลับแล้ว”
เมริษาจำต้องผละออกจากอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นเพราะตอนนี้ถึงเวลาที่เธอต้องกลับแล้ว เธอไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ที่บ้านฟังเพราะถึงเล่าไปก็ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเธออยู่ดี หนำซ้ำอาจจะได้รับถ้อยคำซ้ำเติมจากบิดามากกว่า ทำให้เธอกล้าเล่าเรื่องนี้ให้แค่อีริคฟังเท่านั้นและมีแค่เขาคนเดียวที่คนช่วยเหลือเธอมาตลอด
อีริคขับรถมาส่งเมริษาที่หน้าคฤหาสน์หลังโตก่อนสองทุ่มตามที่สัญญาเอาไว้ ร่างเล็กก้าวเท้าลงจากรถก่อนจะหันหลังกลับไปโบกมือลาแฟนหนุ่ม เขาส่งยิ้มกลับแล้วขับรถออกไปทันที
และเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน พบว่าบิดากำลังนั่งเช็คเอกสารอยู่ที่ห้องโถงใหญ่กลางบ้าน เหมือนกำลังรอว่าเธอจะกลับมาเมื่อไหร่
“ได้ข่าวว่าสอบเสร็จบ่ายสามไม่ใช่หรอ หายไปไหนมาตั้งหลายชั่วโมง” วิศรุตวางเอกสารลงแล้วตวัดตาดุมองลูกสาวคนเล็กซึ่งอยู่ในชุดนักศึกษาของมหวิทยาลัยชื่อดัง
“เมย์อยู่ติววิชาสุดท้ายกับเพื่อนที่คณะค่ะ” มือเล็กทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น รู้สึกผิดทุกครั้งที่ต้องโกหกท่าน แต่ถ้าพูดความจริงไปก็กลัวว่าแฟนหนุ่มของเธอจะเดือดร้อน
“ให้มันจริงเถอะ อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกออกไปเถลไถลกับผู้ชาย ไม่อย่างนั้นมันได้หัวหลุดจากบ่าแน่” วิศรุตชี้หน้าด่าลูกสาวเพราะเขาชักเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าทำไมช่วงนี้เมริษาชอบกลับบ้านดึก
“มะ…เมย์อยู่ติวกับเพื่อนจริงๆค่ะ เมย์ไม่ได้ออกไปเถลไถลกับผู้ชายแน่นอน คุณพ่อไม่ต้องกังวลนะคะว่าเมย์จะไปทำเรื่องไม่ดี” เธอเม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
“เรื่องนั้นฉันไม่ได้กังวลเลยสักนิด เพราะถ้าแกจะมีแฟนจริงๆ แกต้องเรียกค่าสินสอดไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน”
“พ่อคะ! มะ…เมย์ว่ามันมากเกินไปไหม ตั้งร้อยล้านเลยนะคะ”
“ที่ฉันต้องการร้อยล้าน เพราะฉันจะได้เอาเงินมาอุ้มบริษัทไง อย่างแกมันจะไปเข้าใจอะไรว่าตอนนี้บริษัทกำลังฟื้นตัว”
“เยอะขนาดนั้น เมย์ว่ามันมากเกินไป”
“แล้วทำไมพี่สาวแกทำได้!" วิศรุตเริ่มมีน้ำโหที่ลูกสาวคนเล็กทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ “แกจำไม่ได้หรอ ที่บริษัทยังดำเนินต่อไปได้ก็เพราะใคร...เพราะพี่แกไง”
“แต่พี่มีนาหลอกเงินผู้ชายนะคะ พ่อไม่คิดหรอว่าทำแบบนี้แล้วคนอื่นจะเดือดร้อน”
“หุบปากเดี๋ยวนี้! มีนาไม่ได้หลอกไอ้หนุ่มนั่น มันเต็มใจให้เพราะมันรักมีนา”
“แต่พี่มีนาไม่ได้รักอาร์เธอร์!” เป็นครั้งแรกที่เมริษากล้าขึ้นเสียงใส่ผู้เป็นบิดาเพราะเธอไม่พอใจที่พี่สาวแท้ๆกับบิดารวมหัวกันสูบเงินจากอาร์เธอร์จนหมดตัว
“นี่แกกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันหรอ นังลูกไม่เอาไหน แน่จริงแกก็ทำให้ได้เหมือนพี่แกสิ”
“เมย์ไม่ทำ และจะไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด เมย์จะไม่มีวันหลอกลวงใครเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองแน่นอน สักวันพ่อกับพี่มีนาจะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิด”
“ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลยนะอีลูกอกตัญญู ถ้าไม่ใช่เพราะมีนา ป่านนี้แกกับฉันได้ไปไนอนใต้สะพานลอยไปแล้ว คนไม่เอาไหนอย่างแกจะไปตายไหนก็ไป!”
เมริษาน้ำตาไหลอาบใบหน้าทันทีที่ผู้เป็นพ่อปรามาสด้วยถ้อยคำเกลียดชังต่างๆนาๆ ทุกครั้งเวลาทะเลาะกันท่านก็ไล่ให้เธอไปตายตลอด เหมือนโกรธแค้นที่เธอเป็นต้นเหตุทำให้ท่านเสียภรรยาสุดที่รักไป ร่างหันหลังวิ่งขึ้นชั้นสองของบ้านแต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงบิดาก่นด่าไล่หลัง พร้อมกับเปรียบเทียบว่าเธอไม่ได้เรื่องเหมือนพี่สาว
“ลูกฉันแม่แค่มีนาคนเดียวเท่านั้น ส่วนลูกกาฝากอย่างแกฉันไม่นับว่าเป็นลูกหรอก!”
พ่อบางคนอยากเห็นเงินมากกว่าเห็นลูกตัวเองซะอีก
ชิชิ นักเขียนอินกับบท
ติดตาม
ฮือ
