บทที่ 4
“นั่นสิ ย่าก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ว่ายังไงเล่ายัยอ้าย เธอติดขัดอะไรไหมถ้าจะเปลี่ยนมาฝึกงานที่บริษัทของฉันแทน” แม้คำถามนั้นจะดูเหมือนมีทางเลือกให้ตัดสินใจแต่ใครเล่าจะกล้าขัดผู้มีพระคุณ
“ได้ค่ะคุณท่าน” สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงตอบตกลงไปเบาๆ ก่อนจะเงยขึ้นมองอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล สาบานได้ว่าแอบเห็นเขายิ้ม
ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่เธอรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย!
สองเดือนต่อมา
แม้ใจจะอยากให้เวลาเดินช้ากว่านี้อีกหน่อย แต่ก็ดูเหมือนมันจะไม่เป็นดั่งใจหวังสักเท่าไหร่ เพราะไม่ทันไรมธุรสก็สอบเสร็จ และกำลังเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการฝึกงานในบริษัทผ้าไหมของผู้เป็นมีพระคุณเป็นเวลาสองเดือนเต็มๆ ในฐานะผู้ช่วยเลขาของหลานชายท่าน คนที่ว่างเมื่อไหร่ก็ไม่ลืมแวะเวียนมาแกล้งให้เธอใจสั่นบ่อยๆ
“คิดอะไรอยู่ ทำไมถึงยังไม่รีบเข้านอนอีก พรุ่งนี้ฝึกงานวันแรกต้องตื่นนอนแต่เช้าไม่ใช่รึไง” เสียงของมารดาที่เอ่ยขึ้นทำให้ต้องหันกลับไปมองท่านก่อนจะตอบไปตามความจริง
“อ้ายยังไม่ง่วงเลยจ๊ะแม่ ถ้ายังไงอ้ายขอไปเดินเล่นได้ไหมจ๊ะ”
“จะไปก็รีบไป แล้วก็รีบกลับมาเข้านอนล่ะ ประเดี๋ยวนอนดึกพรุ่งนี้ตื่นสายแม่ไม่รู้ด้วยนะ” หญิงสาวยิ้มรับก่อนจะชิงหอมแก้มมารดาแล้วเดินออกมาเดินเล่นที่หน้าห้องพัก ภายในใจยังคงสับสนถึงหลายๆ สิ่งที่ทำให้เธอปวดหัวทุกทีที่คิดถึงมันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง…
เขาคนนั้น!
เขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่ ทำไมต้องเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเธอด้วย เรื่องฝึกงานนั่นก็หนหนึ่งแล้ว ไหนจะเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ที่เขาบังเอิญขับรถผ่านมาเจอเธอที่กำลังเดินเท้าอยู่ในซอยบ้าน ครั้งแรกเขาชวนขึ้นรถกลับบ้านด้วยกันดีๆ อยู่หรอก แต่พอถูกปฏิเสธเขาก็ทำท่าทีโกรธจัด ซ้ำยังลงจากมาอุ้มเธอขึ้นรถแบบนั้นอีก!
คนอะไรช่างเอาแต่ใจตัวเองเหลือเกิน…
แม้เมื่อคืนที่ผ่านมาจะนอนดึกแค่ไหนแต่พอนาฬิกาบอกเวลาตีห้าครึ่งมธุรสก็ตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชิน หญิงสาวใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก่อนจะออกมาช่วยในครัวเท่าที่จะพอช่วยได้ เมื่อถึงเวลาหกโมงจึงเดินออกจากบ้านจุดหมายคือท่ารถประจำทางที่อยู่ปากซอย
บรี๊นๆ
ทว่าออกเดินได้ไม่เท่าไหร่เสียงบีบแตรของรถก็ดังขึ้น เมื่อหันไปดูก็พบว่าไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนนอกจากว่าที่เจ้านายคนใหม่ของตัวเอง
“ขึ้นรถสิ!” วัชระเอ่ยขึ้นก่อนจะลอบมองคนที่มักจะส่งยิ้มอ่อนหวานให้ทุกคนเสมอยกเว้นเขา ซึ่งเห็นทีไรมันทำให้หงุดหงิดทุกที
แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์คิดแบบนั้น แต่มันก็อดหวงไม่ได้ทุกที ยิ่งตอนเห็นเธอให้ความสำคัญกับทุกคนยกเว้นตัวเองก็ยิ่งหงุดหงิด
“ไม่เป็นไรค่ะ อ้ายไปเองได้ค่ะ” มธุรสปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดอะไรให้เหนื่อยเปล่า มันคงเป็นเรื่องอื้อฉาวน่าดูที่จู่ๆ เด็กศึกษาฝึกงานอย่างเธอจะนั่งรถไปกับผู้บริหารระดับสูงอย่างเขาตั้งแต่วันแรกของการฝึกงานแบบนี้ แค่ต้องกลายเป็นเด็กเส้นมันก็มากเกินพอแล้วสำหรับเธอ
“จะขึ้นมาดีๆ หรือต้องให้ลงไปอุ้มแบบวันนั้น!” แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่คิดฟังคำตอบของเธอเลยด้วยซ้ำ เขากำชับสั่งเสียงแข็ง แถมยังจ้องกันด้วยสายตาดุดัน ทำให้รู้โดยไม่ต้องเอ่ยถามว่าเขาพูดจริงทำจริงได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเธอกล้าพอที่จะลองดีกับเขารึเปล่า
แน่นอนคำตอบคือไม่กล้า! เพราะหากกล้าเธอคงทำนานแล้ว
