Ep.5
“นี่ๆ คุณจะทำอะไรฉัน ปล่อยฉันออกไปนะ”
“อย่าส่งเสียงดังสิ และเงียบ! คุณยายของผมกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ ห้ามส่งเสียงดังรบกวนเป็นอันขาด”
เขาชี้หน้าเธอแล้วดุด้วยสายตา กดเสียงขู่เข้ม จนหญิงสาวต้องเงียบ แล้วมองชายหนุ่มจับขอบผ้าถุงที่เอวเธอด้วยอาการหวาดหวั่นไม่ไว้ใจ แต่เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่มาที่นี่ เธอจะต้องอดทน และหวังว่าเขาจะไม่ทำอะไรไปมากกว่าการสอนให้เธอสวมผ้าถุง
“อยู่ในนี้แป๊บนะ เดี๋ยวผมมา ห้ามไปไหนล่ะ ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่อนุญาตให้คุณได้พบกับคุณยาย”
สั่งจบชายหนุ่มก็เดินออกมา ปล่อยให้หญิงสาวยืนเอ๋อเป็นหุ่นอยู่ในห้องน้ำเพียงลำเพียง
‘คนอะไรเผด็จการจังเลย’
หญิงสาวรู้สึกขุ่นเคืองใจมาก แต่ก็ต้องหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อข่มใจตนเองให้เย็นลง
“จับชายเสื้อขึ้น”
มาถึงชายหนุ่มก็สั่งเลย
“แต่ว่า”
“ไม่มีแต่ ผมสั่งก็ต้องทำตาม ขืนคุณใส่ผ้าถุงแบบนี้ออกไปเจอคุณยาย ไปเจอพวกชาวบ้าน ทุกคนจะมองคุณเป็นตัวประหลาด และผมรับไม่ได้ เคยได้ยินไหม เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม อย่าทำตัวหรือแต่งตัวเป็นจุดเด่นนัก มันไม่งาม”
เขาบอกเสียงเน้นๆเหมือนกำลังเทศนาเด็กน้อย
“เจ้าค่ะ นายท่าน”
เธอค้อนเขาประหลับประเหลือก จนแดนดินต้องส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนจะดึงปมผ้าถึงที่เธอขดเอาไว้เสียแน่นออก มันจึงมีการถึงเนื้อถึงตัวกันเกิดขึ้น
มินตรารู้สึกร้อนวูบวาบในช่องท้อง และใบหน้าก็เหมือนจะร้อนซู่ขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่การกระทำของเขาที่ใกล้ชิดขนาดนี้ มันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ และหัวใจเต้นแรงมาก
ชายหนุ่มเอาปมผ้าถุงออกได้แล้ว เขาก็เงยหน้ามองเธอ ตาประสานตา แต่มือของเขายังคงทำหน้าที่ของมันอย่างชำนาญ เพราะเขาเคยสวมผ้าถุงให้คุณยายบ่อยๆในยามที่ท่านไม่สบาย
ผ้าถุงถูกพับไปมา ก่อนจะมาจบที่ข้างเอวกิ่ว โดยมีเข็มขัดเงินเส้นใหญ่คาดเกี่ยวล็อกตะขอเอาไว้เพื่อป้องกันผ้าถุงหลุด เขาใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็เสร็จ แต่ทว่าการก้มมองหน้าคนตัวแคระอย่างเธอ มันใช้เวลานานกว่า
“เสร็จแล้ว”
เขาบอกเธอเบาๆ แทบจะไม่ขยับริมฝีปากเลยดวยซ้ำ แววตายังจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาหวามไหวของเธอ
มินตราใจเต้นระทึก ก่อนจะกะพริบตาปิบๆ เมื่อได้ยินเขาบอก
“ขอบคุณค่ะ” เธอบอกพร้อมถอยหลังออกห่างหนึ่งก้าว
“คุณชื่ออะไร”
“เรียกฉันว่ามินตราค่ะ หรือมิ้นสั้นๆก็ได้ค่ะ”
“ชื่ออย่างกับนางเอกละครช่องเจ็ด”
“แม่ฉันตั้งให้ค่ะ”
“ผมมีคำถามจะถามคุณสี่ข้อ ก่อนที่ผมจะพาคุณไปเจอคุณยาย”
“เชิญถามค่ะ ว่าแต่คุณจะคุยกับฉันในห้องน้ำนี้เหรอคะ ไม่คิดจะออกไปคุยข้างนอกเหรอ”
“คุยในนี้แหละดีแล้ว ข้อหนึ่ง”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อหยั่งเชิงดูหญิงสาว ว่าเธอจะตั้งใจฟังที่เขาถามแค่ไหน
แน่นอนว่าเธอแหงนหน้ามองเขาทันทีที่เขาถาม
“คุณแต่งงานแล้วหรือยัง”
“ฉันเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วเจ็ดครั้ง แต่ว่าตอนนี้ฉันโสดค่ะ” เธอตอบไปตามความจริง
“โอ้ มีผัวมาแล้วถึงเจ็ดคนเชียวเหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ” ชายหนุ่มพูดพร้อมส่ายหน้า
“สำหรับผมยังไม่เคยแต่งงาน แต่ผมไม่โสดนะ ผมมีคู่หมั้นแล้ว” เขาบอกพร้อมยิ้มใส่ตาเธอ
“ค่ะ”
“ข้อที่สอง คุณจะต้องอยู่ที่นี่ในฐานะหลานสาวห่างๆของยายผมได้หรือเปล่า เพื่อที่คนอื่นเขาจะไม่ได้เข้าใจผิดว่าผมพาสาวที่ไหนมานอนที่บ้าน”
“กลัวคู่หมั้นเข้าใจผิดใช่ไหมคะ เข้าใจค่ะ โอเคฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้คู่หมั้นของคุณต้องเข้าใจผิดเด็ดขาด”
“หึ ก็ดี... ถ้าคุณทำได้ เพราะผมก็ไม่อยากให้ยายของผมสะเทือนใจ ท่านรักคู่หมั้นของผมมาก และท่านก็รักผมมากด้วย คุณในฐานะว่าที่ผู้อยู่อาศัย ห้ามทำสิ่งใดให้ยายของผมเสียใจหรือสะเทือนใจเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น ผมไม่เอาคุณไว้แน่”
“ค่ะ”
เธอรู้สึกได้เลยว่าเขาเอาจริง ไม่ใช่แค่ขู่
“และข้อที่สาม คุณสามารถไปทำงานเป็นคนงานที่ไร่หรือสวนของผมด้วยได้ไหม ผมมีสวนผลไม้มากมายที่ต้องดูแล”
“ได้ค่ะ” ต้องตอบว่าได้ก่อนแหละ เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ต่อให้ต้องลำบากเธอก็ต้องทน
“อีกข้อ ข้อนี้สำคัญมาก ต้องตอบให้ละเอียด”
“ค่ะ”
“คุณบอกว่ามาตามคำทำนายของหมอดู เพื่อแก้กรรมของคุณ ช่วยเล่าเรื่องที่คุณเจอให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ว่ามันร้ายแรงแค่ไหน แล้วหมอดูทำนายเรื่องแก้กรรมนั่นยังไง”
มินตราถอยหายใจยาวออกมา ก่อนจะตัดสินใจเล่าความจริงทั้งหมดออกไปให้ชายหนุ่มฟัง ประมาณสิบนาทีก็เล่าจบ
“อ่อ แล้วหลายคนก็คิดว่าคุณเป็นผู้หญิงกินผัวงั้นสิ”
“ค่ะ” เธอตอบหน้าเศร้าๆ
“แต่ผมว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระนะ”
“ไร้สาระแล้วทำไม ต้องมีคนมาตาย เมื่อมาแต่งงานกับฉันด้วยล่ะคะ มันไม่ใช่แค่คนเดียวนะมันตั้งเจ็ดคนแล้วที่ต้อง... ตายไป” ท้ายประโยคของเธอเสียงแผ่วเบา
“โอ้ว ผัวทั้งเจ็ดตายเรียบหรือนี่ เหลือเชื่อเลย แต่งนิทานหลอกเด็กหรือเปล่านี่คุณ”
“ไม่เชื่อก็ตามใจคุณสิ แต่ที่ฉันพูดไปทั้งหมด มันคือความจริงแล้วกัน”
