สบตา ครั้งที่ 3: เวลคัมๆ มายรูมเมต[2/1]
ดูจากสถานการณ์ ผมเป็นต่ออย่างนี้ก็แน่นอนล่ะว่าผมต้องใช้พี่ชิณณ์มาเป็นเครื่องมือต่อรองกับคชาให้มันมาเป็นรูมเมตผมแหงแซะ แต่ไม่ต้องเอ่ยปากเองสักนิด แค่มันลากผมออกมาพ้นจากโรงอาหาร ไปอยู่ในที่ลับหูลับตาคนได้ มันก็กระซิบกระซาบเป็นการใหญ่
“ถามจริงนะไอ้เอ๋อ มึงรู้จักฮิคารุซามะได้ยังไงวะ ตอนกูเห็นหน้าครั้งแรกนะเว้ย แม่ง ใจเต้นแรงฉิบหาย”
มาถึงก็เอาเลย ผมแอบกลอกตา เบ้ปากใส่มันไปเล็กน้อย
“นั่นไม่ใช่ฮิคารุซามะ นั่นพี่ชิณณ์ แล้วเราก็ไม่ได้ชื่อไอ้เอ๋อด้วย เราชื่อมาวิน”
ผมสวนคืน มันเองก็ไม่ได้สนใจที่ผมพูดเลยสักนิด
“เออ จะอะไรก็ช่างเถอะ ว่าแต่มึงรู้จักพี่ชิณณ์เขาได้ยังไงวะ สนิทกันแค่ไหน พี่เขาเรียนคณะอะไร แล้วเขามีแฟนหรือยัง”
ถามมาเป็นชุด ทำเอาผมเบ้ปากใส่รัวๆ ไปอีก
“ไหนบอกว่าไม่ได้เป็นเกย์”
คชาทำหน้าเหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่าถามอะไรออกไป ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น ทำทีเหมือนทองไม่รู้ร้อน
“แล้วใครบอกว่ากูเป็นล่ะ”
ถ้ามึงไม่ได้เป็นเกย์แล้วจะอยากรู้ว่าพี่ชิณณ์มีแฟนหรือยังเพื่ออะไร!
ขี้เกียจไปเถียงกับมัน เห็นมันทำท่าทางเฉไฉด้วยแล้วก็ช่างเถอะ เปล่าประโยชน์ที่จะไปเถียงอะไรไร้สาระ อีกอย่าง การที่มันจะชอบพี่ชิณณ์หรือพี่ชิณณ์มีแฟนแล้วอะไรยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผมเลยสักนิด ที่ผมควรจะทำน่ะ คือหลอกล่อให้มันมาเป็นรูมเมตผมต่างหาก แน่นอนว่าผมจะใช้พี่ชิณณ์เป็นตัวล่อ อารมณ์แบบว่า...เฮ้ย สนิทกับพี่ชิณณ์นะ อยู่ด้วยกันแล้วเดี๋ยวพี่เขาก็มาหาที่ห้องบ่อยๆ อะไรประมาณนี้ รับรองว่าคชาปฏิเสธไม่ออกแน่
หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร คชามันก็แทรกถามขึ้นมาอีกแล้ว
“แล้วนี่มึงจะบอกกูได้หรือยังว่าตกลงรู้จักกับพี่ชิณณ์ได้ยังไง กูรอคำตอบจนรากจะงอกอยู่ละ”
มึงเพิ่งจะถามเมื่อกี้เองไหม ตดยังไม่ทันหายเหม็นเลยเถอะ!
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดคล้ายกับว่าเก็บกลั้นอารมณ์
ไม่รู้ทำไมคุยกับไอ้บ้าตรงหน้านี้แล้วรู้สึกเหมือนประสาทจะเสียทุกที
“พอดีพี่ชิณณ์ทำงานกลุ่มเดียวกับเราน่ะ” ผมว่า
คชาเบิกตาโต “แสดงว่าก็ต้องเจอกันบ่อยๆ น่ะสิ”
“อือ เป็นโปรเจ็กต์ทั้งเทอมอะ คงจะได้เจอกันทั้งเทอม”
ดวงตาเรียวของคชาเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิมอีก ก่อนที่มันจะถลาเข้ามาจับมือผมชวนให้ผมสะดุ้งเฮือก ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
“มึงกับพี่ชิณณ์สนิทกันแค่ไหนวะ”
สนิทกันแค่ไหนกูไม่รู้ ที่รู้ๆ คือกูไม่ได้สนิทกับมึงมากถึงขั้นมาจับมือถือแขนอย่างนี้เว้ย!
เกร็งตัวออกห่างจากมันรัวๆ เหงื่อที่ฝ่ามือนี่ไหลพลั่กๆ เป็นน้ำตกเลย ทว่าคชาก็ไม่ยอมปล่อยผม ซ้ำยังจะเร่งเร้าขึ้นมาอีก
“บอกเร็วๆ สิวะ มึงนี่ลีลาจริง!”
ยังจะหงุดหงิดผมอีก
ผมมุ่ยหน้าเล็กน้อย ก่อนตอบมันไป
“ก็สนิทแหละ ถ้าไม่สนิทกันจะมากินข้าวด้วยกันหรือไง”
ตอบมันแบบโกหกไป สนิทกันบ้าอะไร ใครมันจะอยากไปอยู่กับคนที่มองหน้าสบตาแล้วเห็นป๋องแป๋งบ้างวะ ตาจะบอด
หากแต่พอผมพูดไปอย่างนั้น คชาก็ตาลุกวาว สีหน้าดูมีความหวังอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที ซึ่งผมว่าผมรู้ทันมันนะ
เหอะ จะอะไรล่ะ มันก็จะให้ผมเป็นสื่อกลางในการตีสนิทพี่ชิณณ์ไง
แล้วก็จริงซะด้วยเมื่อมันเรียกผมเสียงหวานออกมา
“นี่ไอ้เอ๋อ”
“มาวิน” ผมสวน
“เออ มาวินก็มาวิน คืองี้ มึงสนิทกับพี่ชิณณ์มากใช่ปะ”
“อือ”
“แล้วก็ต้องทำงานโปรเจ็กต์เดียวกันทั้งเทอมด้วยใช่ปะ”
“ใช่”
“แสดงว่าพี่ชิณณ์ก็ต้องมาหามึงบ่อยๆ ทำงานด้วยกันบ่อยๆ เจอหน้ากันบ่อยๆ อะไรแบบนี้ด้วยใช่ไหม”
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ถามทำไม”
รู้แหละว่าถามทำไมแต่แกล้งถามมันไปอย่างนั้น
คชายิ้มกริ่ม ก่อนจะถามผมกลับมาอีก
“มึงยังอยากได้กูเป็นรูมเมตอยู่ปะ”
นั่นปะไร เข้าทางเลย ผิดไปจากที่คิดไว้ซะที่ไหน ดูท่ามันคงจะเสนอตัวเองมาเป็นรูมเมตผมเพราะพี่ชิณณ์แล้วล่ะ แต่ผมไม่ยอมให้มันได้อะไรง่ายๆ หรอก ต้องมีลูกล่อลูกชนกันหน่อย
“ไม่รู้สิ นายก็ไม่ได้ดูอยากจะอยู่กับเราสักเท่าไหร่ ไหนๆ พี่ชิณณ์ก็มาแล้ว เขาไม่มีเพื่อนด้วย ชวนพี่ชิณณ์เป็นรูมเมตก็ได้”
คชาเบิกตากว้าง ใบหน้าขึงขังพลันส่งเสียงดัง
“ไม่ได้!” แล้วมันก็รู้ตัวทันทีว่าพูดอะไรออกไป ก่อนจะพูดในระดับเสียงปกติ “ไม่ได้เว้ย มึงบอกว่าอยากอยู่กับกูก็ต้องอยู่กับกู ไปอยู่กับพี่ชิณณ์บ้าอะไร กูไม่ยอม”
ที่ไม่ยอมไม่ใช่เพราะหวงผมอะไรหรอก หวงพี่ชิณณ์ที่หน้าตาเหมือนท่านฮิคารุของมันล่ะสิ รู้อยู่หรอก แต่ก็ดี มาแบบนี้ก็เข้าทางเลย
“แต่นายไม่ได้อยากจะเป็นรูมเมตเราสักหน่อย” ผมลองหยอด
“ตอนนี้อยากแล้ว!” คชาตอบรับแทบไม่คิด พลันตามมาด้วยท่าทางฮึดฮัดพร้อมบ่นพึมพำเพียงลำพัง “ถ้าไม่เป็นเพราะจะปกป้องฮิคารุซามะ กูไม่เสียสละตนขนาดนี้หรอกแม่ง”
กูได้ยินนะเว้ย แหม ทำมาเป็นพูดว่าเสียสละตน กูไม่ได้เป็นคนโรคจิตเหมือนมึงไหม ให้พี่ชิณณ์ไปอยู่กับมึงน่ะเสี่ยงกว่าอีกเว้ย!
กัดฟันแน่นเลย ข่มใจสุดๆ ที่จะไม่ด่ามันกลับไป
เอาเถอะ ไหนๆ มันก็ออกปากมาแล้ว ดำเนินตามแผนต่อเลยแล้วกัน
“สรุปว่าตกลงรับข้อเสนอที่จะย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ”
คชาเหลือบมองผม พยักหน้าเอออออย่างขอไปที
“ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยเรื่องข้อตกลงของการอยู่ร่วมกันหน่อย”
พอผมเข้าเรื่อง คชาก็มองหน้าผมอีกครั้ง คราวนี้ผมเขย่ามือที่ถูกมันจับอยู่ออก คชาเหมือนจะเพิ่งสำนึกได้ว่ายืนจับมือผมอยู่ตั้งนานเลยรีบปล่อยก่อนจะเช็ดเข้ากับกางเกงเป็นการใหญ่ ชวนให้ดูน่าหมั่นไส้แปลกๆ
“ว่ามา รีบๆ พูดเร็วเข้า กูไม่อยากให้พี่ชิณณ์นั่งอยู่คนเดียว เดี๋ยวเขาเหงา”
มึงอย่ามาทำเป็นกระแดะ เพิ่งออกมาคุยไม่ทันถึงห้านาทีเลยไหม!
หมั่นไส้มาก หมั่นไส้สุดๆ เอะอะอะไรก็พี่ชิณณ์ๆ ทำอย่างกับว่ารู้จักกันมานมนานกาเล แม่งเพิ่งเจอหน้ากันเมื่อกี้เองเถอะ
แต่ผมก็ไม่อยากจะสนใจ ไหนๆ แผนการของตัวเองก็สำเร็จละ รีบๆ พูดให้มันจบๆ ไปดีกว่า
“ข้อตกลงของการอยู่ร่วมกันหลักๆ มีสามข้อ”
“ว่ามา”
“ข้อหนึ่ง นายต้องพูดจากับเราดีๆ “
“หมายถึงให้พูดเพราะๆ กับมึงน่ะเหรอ”
คชาทำหน้าแหยทันควัน ส่วนผมก็อดเบ้ปากไม่ได้เมื่อได้ยินสรรพนามไม่พึงประสงค์ดังเข้าหู
“ไม่ได้หมายความว่าให้พูดเพราะ แต่หมายถึงเลิกใช้มึงกูกับเราได้ไหม เราไม่ชอบ คือไม่ชินหูน่ะ ปกติเวลาเราพูดกับเพื่อนก็ไม่เคยแทนตัวว่ามึงกู”
สีหน้าคชาดูเหมือนอยากจะค่อนแคะผมว่า ‘ไอ้ลูกคุณหนู’ ยังไงยังงั้นแต่ก็ไม่พูด
ช่วยไม่ได้ ผมพูดจริงนี่หว่า ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยมา ไม่เคยพูดกับเพื่อนในคณะด้วยสรรพนามอย่างนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ที่ไม่พูดก็ไม่ใช่อะไร มันไม่ได้สนิทสนมกันมากถึงขนาดให้ไปพูดอะไรอย่างนี้น่ะ
ก็ผมมีคนคบด้วยซะที่ไหน...
คิดแล้วก็สมเพชตัวเองเล็กๆ กับเหตุผลนี้ หากแต่คชาก็เรียกความสนใจจากผมไปก่อน
“เรื่องมากฉิบหาย เออๆ แล้วข้อที่สองของมึง... เอ้อ ข้อที่สองของมาวิน...แม่งเอ๊ย ขนลุก” เอามือลูบแขนตัวเองประกอบ ก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกรรโชก “ข้อที่สองของนายล่ะว่าไง”
ขนลุกจริงๆ ด้วย ลุกตั้งแต่หัวยันหาง ถ้าเป็นคนอื่นเรียกชื่อผมหรือเรียกแทนตัวผมว่านาย ผมคงเฉยๆ แต่พอเป็นไอ้บ้าตรงหน้า...บรึ๋ย ขนลุกขนชัน!
ไหนๆ ก็บอกเงื่อนไขไปแล้ว มันทำตามแล้วก็ต้องปล่อยไป ก่อนที่ผมจะพูดข้อตกลงข้อที่สอง
“เราจะไม่ยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของนาย ส่วนนายก็ห้ามยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของเรา”
“ใครอยากจะไปยุ่งเรื่องของมึงวะ”
หลุดปากเรียกผมว่ามึงมาอีกละ หน้าตาก็กวนโอ๊ยสุดๆ
ไม่สิ ไม่ใช่กวนโอ๊ย มันทำหน้าขยะแขยงผม
น่าฟาดหน้ามันฉิบเป๋ง แต่ช่างมันเถอะ ที่พูดคำหยาบก็เพราะคงจะติดปาก ไม่อยากจะสนใจแล้ว
“ข้อสุดท้าย ห้ามแก้ผ้าเดินเปลือยโทงเทงให้เราเห็นเด็ดขาดเวลาอยู่ในห้องด้วยกัน เข้าใจไหม”
พอบอกข้อนี้ไป คชาก็ย่นคิ้วยู่ ก่อนครางออกมา
“กลัวว่าเห็นกูนู้ดแล้วจะมีอารมณ์ว่างั้น ลืมไปว่ามึงชอบกูนี่หว่าถึงได้อยากมาเป็นรูมเมต ตื๊อกูหนักแบบนี้ สรุปเป็นเกย์จริงๆ ใช่ไหม”
ใช่ที่ไหน กูมาตื๊ออยู่กับมึงเพราะไม่เห็นปิกาจูมึงตอนสบตาต่างหาก หนีดงมะเขือยาวมาขนาดนั้นแล้ว กูจะอยากเอาสายตาตัวเองไปรับรู้กับอะไรแบบนั้นอีกทำไมวะ ตั้งสติหน่อยไหม!
ผมอยากจะอธิบาย แต่ก่อนหน้าก็พูดไปทีแล้วเรื่องที่ผมมีพลังวิเศษ แล้วไอ้บ้านี่มันเชื่อซะที่ไหน ไม่ต้องพูดหรอก พูดไปก็เปลืองน้ำลาย ขนาดเพิ่งบอกมันไปแหม็บๆ ว่าไม่ให้พูดหยาบคายกับผม มันยังลืมเลย ช่างเถอะ ถามมันกลับก็แล้วกัน
“แล้วนายมีเงื่อนไขอะไรในการอยู่ด้วยกันไหม”
“มี”
คชาตอบแบบไม่หยุดคิด ผมเลยเชิดหน้าขึ้น เตรียมรับฟัง
“ว่ามาเลย”
“ข้อแรก ห้ามยุ่มย่ามเยอะแยะ ห้ามตอด ห้ามลวนลาม ห้ามแอบดูกูอาบน้ำ ตอนเช้ากูยังไม่ตื่น ก็ห้ามแอบมองเป้ากูตอนคึกคักด้วย”
โอ้โห มึงก็มั่นหน้าอะไรปานนี้ บอกแล้วไงว่ากูไม่อยากจะไปดูของมึงน่ะ!
กัดฟันแน่นมาก ข่มใจเปล่งเสียงถามมันออกไป “ข้อสองล่ะ”
คชากอดอก ยืดตัวขึ้น วางท่าเสมือนว่าเหนือกว่า
“ห้ามมาแตะต้องฮิคารุซามะของกู ออลไอเท็มไม่ว่าจะเป็นแผ่นดีวีดี ไฟล์ในคอมฯ โปสเตอร์หรือของสะสมทั้งหลายแหล่ ถ้ามีรอยนิ้วมือของมึงติดล่ะก็ ซื้อให้กูใหม่เลย ที่สำคัญ ห้ามแอบเอาไปเปิดดูถ้ากูไม่ได้อนุญาตด้วย”
ไอ้เวรนี่... ก็บอกแล้วไงว่ากูไม่สนใจตัวผู้ด้วยกัน หลายปีมานี้ กูเห็นบ่อยแล้วเว้ยดงผักสวนครัวน่ะ กูจะไปอยากดูอีกทำไม!
อยากด่ามันฉิบ แต่เดี๋ยวไม่จบ ข้ามไปข้อสุดท้ายเลยแล้วกัน
“โอเคๆ ข้อสุดท้ายล่ะ”
คราวนี้คชาไม่พูดออกมาทันที เหลือบมองซ้ายทีขวาทีราวกับกลัวใครจะมาได้ยิน พอผมมองตามบ้างก็ดันถูกคชาลากเข้าซอกหลืบแถวนั้นหน้าตาเฉย
“อะไร” ผมโวยวายที่จู่ๆ ก็ถูกดันเข้ามาจนแผ่นหลังชิดผนัง แถมยังโดนคชาบังซะแทบมิด
แต่มันสนใจอะไรไหมล่ะ พอเห็นว่าปลอดคนแล้ว มันก็ทำหน้าเครียด
“ข้อสุดท้ายนี่สำคัญมาก มึงห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด ห้ามเอาไปบอกใครทั้งนั้น พ่อแม่มึงก็ห้ามบอก เข้าใจไหม”
ฟังดูเหมือนจะถูกข่มขู่ มีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาฉับพลัน ควรปฏิเสธนะเพราะถ้าเกิดว่ามันคิดทำอะไรแผลงๆ ขึ้นมา ผมคงจะเป็นคนแรกที่ไม่รอด มันยิ่งบ้าดาราหนัง GV อยู่ด้วย ไม่บอกก็รู้เลยว่าแม่งเป็นเกย์แน่ แต่ผมดันพยักหน้าให้โดยอัตโนมัติ ตอบรับไปซะงั้น
เท่านั้นคชาก็ยิ้มเผล่ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ ยื่นหน้ามากระซิบกระซาบข้างหูผมทันที
“ข้อสุดท้าย... พาฮิคารุ เอ้ย พี่ชิณณ์มาเที่ยวที่ห้องบ่อยๆ นะมึง วันไหนทำงานกันดึกๆ จะนอนค้างก็ได้ กูไม่ว่า จะแบ่งเตียงให้นอนด้วยเลย”
แล้วก็ผละออกห่างผมไปยิ้มอย่างพอใจ ผมก็ลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
รอดตัวไป มันไม่ได้เล็งผม เป็นผู้ชายอีกคนต่างหาก แต่...
ถ้ากูทำอย่างนั้นก็เหมือนกับว่ากูเป็นนางนกต่อ หลอกเอาพี่ชิณณ์มาให้มึงกระทำมิดีมิร้ายน่ะสิวะ มึงมันไอ้เกย์หื่น!
จริงๆ ก็รู้อยู่แล้วล่ะ ผมเองก็ใช้พี่ชิณณ์มาเป็นตัวล่อให้มันตกลงเป็นรูมเมตผมด้วย ได้แต่ขอโทษพี่ชิณณ์ในใจ ในขณะที่คชาทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้และพูดออกมาอีก
“เอ้อ แล้วก็อย่าบอกพี่ชิณณ์นะ ถ้าพี่ชิณณ์รู้ มีหวังได้คิดว่ากูเป็นไอ้โรคจิตแน่ๆ วางแผนให้มาที่ห้องเพราะหวังอะไรอยู่แบบนี้น่ะ“
มึงเพิ่งจะรู้ตัวเหรอ กูรู้ไปถึงไหนต่อไหนแล้วว่ามึงมันโรคจิต!
“เรื่องที่กูเป็นติ่งท่านฮิคารุก็ห้ามบอก ถ้ามีคนอื่นรู้นะ มึงโดนแน่”
ว่าจบก็ชี้หน้าผมอย่างคาดโทษ ปล่อยให้ผมหงุดหงิดตัวเองที่อยากจะได้มันเป็นรูมเมตจนตัวสั่น
ทำไมคนที่สบตาแล้วเสื้อผ้าไม่หายต้องเป็นไอ้คชาด้วยวะ มึงรู้จักศรีธัญญาไหม ปะ เดี๋ยวพาไป กูว่ามึงป่วยแน่ๆ แอดมิดเป็นผู้ป่วยในไปเลย อาการหนักเข้าขั้นโคม่าแล้วล่ะ
ถ้าสบตามันแล้วเห็นน้องชายล่ะก็ ผมคงไม่มายืนทำบ้าอะไรอยู่อย่างนี้หรอก!
กลับเข้ามาในโรงอาหาร คชาก็พูดคุยกับพี่ชิณณ์ประหนึ่งสนิทสนมกันมาก แต่เอาจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นพี่ชิณณ์ต่างหากที่ชวนคุย คชาก็แค่เออออรับคำไป ส่วนใหญ่จะพูดตะกุกตะกักชวนให้น่ารำคาญ หน้าแดง เกาหูเกาคอวุ่นวายไปหมด เห็นแล้วผมล่ะหมั่นไส้ และคงมีแต่ผมเท่านั้นแหละที่รำคาญเพราะพี่ชิณณ์เอาแต่หัวเราะกับท่าทางพวกนั้นแล้วก็บอกว่าคชาดูเป็นหนุ่มขี้อายผิดกับภาพลักษณ์โดยสิ้นเชิง
ก็แน่ล่ะ มันอยู่ต่อหน้าคนที่ชอบนี่ จะให้มันไปแสดงอาการหื่น อยากฟัดร่างจำแลงของท่านฮิคารุมันก็ใช่เรื่อง
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก เอาแต่นั่งหัวโด่เป็นตอไม้กระทั่งพี่ชิณณ์กินข้าวเสร็จและขอตัวไปเรียนต่อในช่วงบ่าย ส่วนไอ้คชา... พี่ชิณณ์หายหัวไปได้ก็กลับมาเป็นไอ้โรคจิตคชาทันที
“มึงว่าพี่เขาให้ท่ากูหรือเปล่าวะ ชวนกูคุยใหญ่”
เขาก็แค่ชวนคุยไปตามมารยาทไหมไอ้คนหลงตัวเอง มึงรู้จักคำว่าเฟรนด์ลี่ไหม
ผมนี่อยากจะตบกะโหลกมันให้ทิ่มนักถ้าไม่ติดว่ากลัวมันจะตะบันหน้ากลับมา
“ไหนว่าไม่ได้เป็นเกย์ไง” ผมสวน
คชาทำตาโตแล้วก็บ่ายเบี่ยง “ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเกย์ แค่อยากรู้ว่าพี่เขาให้ท่ากูหรือเปล่าก็แค่นั้น”
นั่นแหละเกย์ ไอ้บ้าเอ๊ย! ผู้ชายที่ไหนเขาจะอยากรู้ว่าผู้ชายคนอื่นสนใจตัวเองอย่างนี้หรือไง!
ภาวนาในใจให้ยุบหนอพองหนอ ไม่ให้ไปสติแตกใส่เพราะความมั่นหน้าของมัน ก่อนจะหันไปทางคชาอีกครั้งเมื่อถูกถามย้ำ
“แล้วมึงว่าพี่เขาให้ท่ากูหรือเปล่าวะ”
ยัง...มันยังไม่จบ เหนือสิ่งอื่นใด มึงละเมิดกฎของการอยู่ร่วมกันข้อที่หนึ่งของกูอยู่
