บทที่ 8
มันทำหน้าเหมือนจะฆ่าฉัน
“ข้างหลังฉันเนี่ย...”
“ต๊าย! แม่เจ้า! โอ๊ย! หล่อ...หล่อแรงสุดๆ อกอีแป้นจะแตกตายแล้ว!” วัลลภอุทานเสียงต่ำเหมือนคนบ้า ยื่นมือมาจิกแขนฉันแล้วดีดขาไปมาอยู่ใต้โต๊ะ
“เขามากับแฟน สงบสติอารมณ์หน่อย” น้ำขิงกระซิบ
“หล่อมาก หล่อแบบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
“แต่ฉันเคยเห็น”
“จริงเหรอนังมีน! ที่ไหนๆ”
“หลายที่...ไม่ใช่แค่เห็นนะ แต่เขากางร่มให้ฉันด้วย เมื่อวานก็ยังช่วยฉันไว้ไม่ให้โดนข่มขืน แล้วพาไปกินโจ๊กอีกต่างหาก” ใบหน้าของฉันเรียบเฉยมากในตอนที่บอกกับวัลลภ จากที่มันทำหน้าระริกระรี้ ตอนนี้ชะงักค้างแล้วหุบยิ้มฉับ ทำหน้าเหมือนคนเห็นผี
“อะ...อะไรนะ...”
“นี่แกยังได้ยินไม่ชัดอีกเหรอ” น้ำขิงถาม
“นั่นแหละ พี่แทนกับแฟนของเขา”
ความจริงในคำตอบนี้ทำเอาหัวใจของฉันเจ็บจี๊ดขึ้นมาอีก ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกับพวกเขาในร้านเดียวกันแบบนี้
แพรวพนิตชะงักเล็กน้อยคงเพราะจำหน้าฉันได้ ใบหน้าสวยหวานของเธอเปลี่ยนจากยิ้มร่าเริง กลายเป็นนิ่งขรึมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตอนแรกทำท่าเหมือนจะมานั่งโต๊ะใกล้ๆ กัน แต่เธอกลับดึงแขนคุณแทนไทที่ยังมองไม่เห็นฉันเอาไว้ แล้วชี้ให้ไปนั่งอีกโต๊ะ โดยให้เขานั่งหันหลังมาทางฉัน
ส่วนแพรวพนิตนั่งอีกด้านเพื่อให้สามารถจ้องหน้าฉันได้ถนัดถนี่ เธอเบะปากใส่ฉัน แล้วแอบชูนิ้วกลางให้ด้วยในตอนที่แทนไทมัวแต่สนใจเมนูอาหารในมือ
“ต๊าย! ร้ายมากนังเด็กนั่น! มองแกตาเขียวไม่พอ ยังกล้าแจกนิ้วกลางกวนอวัยวะเบื้องล่างอีก แบบนี้ต้องเจออีลิซซี่หน่อยแล้ว!”
วัลลภจ้องหน้าแพรวพนิตตอบ สู้สายตากันแบบไม่มีใครยอมใคร จนฉันตัดสินใจย้ายมานั่งข้างน้ำขิงเพื่อหันหลังให้แพรวพนิต แล้วก็บังสายตาอำมหิตที่นังริดสีดวงนี่ส่งสู้กับน้องเขาด้วย
“พอเหอะลภ ยังไงฉันก็ผิด”
“แกผิดอะไร พี่แทนเขาเอ็นดูแกเองนะ! อีเด็กนั่นสิที่ผิด แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่ามันมาเที่ยวผับกับผู้ชายอื่น จนพี่แทนต้องตามมาพามันกลับบ้าน ฟังดูแล้วเหมือนจะอยู่บ้านเดียวกันด้วยนะ พี่แทนก็หล่ออย่างกับดารา แต่นังตุ๊กตานั่นกลับปันใจไปให้คนอื่น โง่หรือบ้าก็ไม่รู้!” วัลลภเดือดดาลจนหน้าแดงก่ำไปถึงหู
“จะบ้าหรือโง่ก็ช่างน้องเขาเถอะน่า เรามากินของอร่อยๆ กันนะ จะสนใจคนอื่นให้เสียบรรยากาศไปทำไม แล้วอีกไม่กี่วันฉันก็จะแยกกลับบ้านแล้วด้วย อย่ามาใส่ใจเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย”
ฉันหว่านล้อมอย่างใจเย็น น้ำขิงพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย แล้วยื่นมือไปลูบหลังมือของวัลลภเบาๆ นั่นแหละเพื่อนชายใจหญิงของฉันถึงได้สะบัดหน้าพรืดไปทางอื่นเพื่อยุติสงครามทางสายตากับทางโน้น
“เออ แกยังขาดอะไรอีกนะ เตียงใช่ไหม”
น้ำขิงเปลี่ยนเรื่องชวนคุยอย่างรู้งาน
“อืม” วัลลภยังอยู่ในโหมดฉุนเฉียวจึงตอบสั้นๆ
“พรุ่งนี้ไปหาซื้อกัน ต้องเอาตู้เสื้อผ้าด้วยไหม?”
ฉันชวนคุยบ้าง ไม่ใช่แค่อยากให้เพื่อนเลิกหงุดหงิดหรอกนะ แต่ต้องการหาอะไรเบี่ยงเบนตัวเองด้วย อยากลืมไปเสียว่าคุณแทนไทนั่งอยู่ทางด้านหลัง
ใกล้แค่นิดเดียว แต่กลับทำได้แค่เพียงนั่งหันหลังให้กับเขา
“ตู้ไม่ต้อง ช่างทำแบบบิวท์อินให้แล้วทุกห้อง แต่เตียงนี่ฉันอยากได้ไปเพิ่มไว้ในห้องรับรองแขกอีกสองห้อง เตรียมให้แกกับน้ำขิงนี่แหละ”
“อย่าลำบากเลย ฉันนอนที่นอนปิกนิกก็พอ” น้ำขิงรีบสั่นหน้าปฏิเสธทันทีที่ได้ยินว่าวัลลภเตรียมของพวกนั้นไว้เผื่อแผ่
“นั่นสิ” ฉันเห็นด้วย
“พอเลย แกคิดว่าฉันเป็นใครฮะ! ไฮโซระดับนี้จะให้เพื่อนมาอยู่ด้วยแบบลำบากลำบนได้ยังไง เสียชื่อฉันหมด...อ๊ะ! เงียบไปเลยนะ เงียบไปทั้งคู่แหละ!”
วัลลภบ่นยาว แล้วยกนิ้วชี้หน้าฉันกับน้ำขิงทันทีที่เห็นว่ากำลังจะอ้าปากเถียง พวกฉันสองคนเลยได้แต่มองตากันปริบๆ แล้วหันมาสนใจกับอาหารที่พนักงานนำมาเสิร์ฟได้จังหวะพอดี
มื้อนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน แต่ฉันกับเพื่อนรู้กาลเทศะดีจึงควบคุมไม่ให้เสียงดังเกินไป จนรบกวนลูกค้าโต๊ะอื่นๆ แต่ดูท่าว่าต่อให้ระวังแค่ไหน คนไม่ถูกชะตาก็ยังพานหาเรื่องได้อยู่ดี
“ชั้นต่ำ!...”
แพรวพนิตเดินผ่านมา ชะงักฝีเท้านิดหนึ่งแล้วก้มลงมาพูดใกล้ๆ ฉัน คนอย่างมีนาฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นแฟนของคนที่ดีกับฉันมาก ฉันถึงได้ทำเป็นหูทวนลม แล้วก็บีบมือวัลลภไว้แน่นด้วย เพื่อเตือนว่าอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
