บทที่ 6 เงินแปดตำลึง
ตอนที่ท้องฟ้าใกล้จะมืดลง ด้านนอกประตูมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา เหมิงเชียนเหยียนคำนวณเวลาแล้ว น่าจะเป็นสวีเจินกลับมา นางกระโดดลงจากขั้นบันไดไปยังหน้าประตูโดยตรง นางยังไม่ได้ลืมว่า ร่างกายในตอนนี้ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น นางต้องรักษาท่าทางความเป็นเด็กสาวเอาไว้ถึงจะถูก
ประตูเปิดออก สวีเจินก็เข้ามาก่อนจริงๆ จากนั้นผู้ชายที่สวมชุดคลุมผ้าหยาบคนหนึ่งกับหญิงสาวที่มีรูปร่างผอมเพรียวคนหนึ่งก็ตามเข้ามา เหมิงเชียนเหยียนย่อมรู้จักอยู่แล้ว เรียกออกมาด้วยเสียงที่อ่อนหวาน "ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พวกท่านกลับมาแล้ว!"
"ใช่แล้ว!" เหมิงเชียนเถาแต่งกายในชุดสาวใช้ มองเห็นนาง ก็รีบจับมือนางอย่างเป็นกังวลมากทันที แล้วก็มองดูบาดแผลบนศีรษะของนาง "เชียนเหยียน เจ้าไม่ต้องกลัวนะ เจ้าวางใจได้ ท่านแม่เล่าเรื่องให้เราฟังหมดแล้ว เราจะต้องช่วยเจ้าคิดหาวิธีแน่นอน"
"เฮ้อ จริงๆเลย คิดไม่ถึงเลยว่าคนของตระกูลซุนจะมีโฉมหน้าที่น่ารังเกียจเช่นนี้ได้" เหมิงฉวนทั้งโกรธทั้งกังวล "ตอนที่มาขอหมั้นในตอนนั้น ก็พูดเอาไว้อย่างไพเราะเสนาะหู คิดไม่ถึงว่านี้กลับ----"
"ไม่มีอะไรแล้ว ท่านพ่อ อย่างไรเสียก็ยังไม่ได้แต่งงาน ตอนนี้ก็ได้เห็นนิสัยของตระกูลซุนอย่างชัดเจนก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ?" เหมิงเชียนเหยียนเข้ามาปลอบใจเหมิงฉวนขึ้นมาก่อน
เหมิงฉวนพยักหน้า กล่าวกับสวีเจินว่า: "ที่ลูกสาวเราพูดมาก็มีเหตุผล แต่ว่าเงินค่าสินสอดให้แม่ข้าไปแล้ว เฮ้อ ถ้าอย่างไร ข้าลองไปหารือกับท่านแม่ดู"
"ไม่ต้องไปแล้วมั้ง!" ได้ยินคำพูดนี้ เหมิงเชียนเหยียนรีบดึงตัวเหมิงฉวนทันที จากนั้นก็ลดเสียงให้ต่ำลง "ท่านพ่อ พวกท่านไปบนเขาพร้อมกับข้ารอบหนึ่ง ข้ามีวิธีแล้ว"
"เจ้ามีวิธีอะไร?" เห็นได้ชัดว่าเหมิงฉวนไม่เชื่อ
"โธ่ ท่านพ่อ หรือท่านคิดว่าข้าจะโกหกท่านหรืออย่างไร! แม้แต่อุปกรณ์ข้าก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วนะ!" เหมิงเชียนเหยียนยิ้มระรื่น หยิบเชือกป่านมัดใหญ่ยัดเข้าไปในมือของเหมิงฉวน "ไป ท่านพ่อ พวกท่านรีบตามข้าไปดูกันเถอะ"
เหมิงเชียนเหยียนมีทัศนคติในด้านบวกมาก ดึงตัวคนในครอบครัวก็ออกไปข้างนอกเลย เหมิงฉวนก็ตามนางไปด้วยเช่นกัน พอดีเลย จะได้ไปดูว่าสิ่งที่เหมิงเชียนเหยียนพูดถึงคืออะไรกันแน่
ถนนบนภูเขาขรุขระ ในที่สุดทั้งครอบครัวก็ถึงยอดเขาจนได้ เวลานี้สวีเจินเหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว เหมิงฉวนเลยประคองนางชะลอฝีเท้าลง
เหมิงเชียนเหยียนร้อนใจ คว้ามือเหมิงเชียนเถา "พี่ พวกเราเดินอยู่ข้างหน้าเถอะ!"
"ดูสิ ที่นี่แหละ!"
"นี่คืออะไร?" เหมิงเชียนเถามองด้วยความสับสนมึนงง ข้างหน้านี่ดูเหมือนเป็นกองวัชพืชขนาดใหญ่นี่นา ดูเหมือน ดูเหมือนจะยังคลุมอะไรบางอย่างเอาไว้ด้วย
เหมิงเชียนเหยียนแสร้งทำเป็นลึกลับ "ฮิๆ พี่ ท่านลองเปิดกองหญ้าแห้งออกดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?"
"ออ" เหมิงเชียนเถาดูแล้วไม่ค่อยมีความกล้าเท่าไหร่นัก นางพยายามดิ้นรนแล้วดิ้นรนอีก ถึงได้ค่อยๆเปิดกองหญ้าแห้งพวกนั้นออก
และเมื่อกองหญ้าแห้งถูกเปิดออกไปข้างหลังมากขึ้นเท่าไหร่ ดวงตาของเหมิงเชียนเถาก็ยิ่งเบิกกว้างมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งทั้งตัวของหมูป่าตัวหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าของนางอย่างสมบูรณ์ นางร้องกรี๊ดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ "ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านรีบมาดูนี่เร็ว หมูป่าตัวใหญ่มากเลย!"
"อะไรนะ? หมูป่า!" เหมิงฉวนตกตะลึง ก้าวเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว กอดลูกสาวสองคนเข้าไปในอ้อมแขนซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่ง ราวกับกลัวว่าพวกนางจะได้ถูกทำร้ายอย่างนั้นแหละ
จนกระทั่งเขาสังเกตว่าหมูป่าตัวนี้ได้ตายไปแล้ว ถึงได้ปล่อยมือออก
"นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" สวีเจินก็มองมาเช่นกัน มองอย่างตะลึงงัน หมูป่านางก็เคยเห็นอยู่ หมู่ป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ล้มตัวอยู่ตรงหน้าของนางนี่ถือเป็นครั้งแรกเลย
เหมิงฉวนนั่งยองๆลงไป แตะไปที่คอของหมูป่า อดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ "ตัวมันยังอุ่นอยู่เลย ดูท่าหมูป่าตัวนี้เพิ่งตายไปไม่นาน แล้วก็ไปดูบาดแผลบนตัวมันอีก น่าจะถูกคนฆ่าตายถึงจะถูก"
"เชียนเหยียน เจ้ารีบบอกพ่อแม่มา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีหมูป่า? นี่คือหมูป่าที่นายพรานเขาพักเอาไว้ที่นี่ใช่ไหม?"
เหมิงเชียนเหยียนมองดูท่าทางเช่นนี้ของเหมิงฉวน โมโหจนปวดแทบจะระเบิดออกมาแล้ว "ท่านพ่อ เพราะอะไรหมูป่าตัวนี้ถึงเป็นได้แค่ของคนอื่นเขาเท่านั้น? ไม่สามารถเป็นของบ้านเราได้ล่ะ? "
"เรา บ้านเราใครจะมีปัญญาฆ่าหมูป่าได้ล่ะ" เหมิงเชียนเถาก็ไม่เชื่อเช่นกัน
"เป็นของบ้านเราจริงๆ!" เหมิงเชียนเหยียนกระทืบเท้า และยังไปดึงมีดผ่าฟืนที่ซ่อนเอาไว้ใต้กองหญ้าแห้งออกมาด้วย "พวกท่านดู นี่เป็นมีดของบ้านเราใช่ไหม?"
สวีเจินมองไป "เป็นมีดของบ้านเราจริงๆด้วย แต่ว่า เชียนเหยียน เจ้าได้หมูป่าตัวนี้มาได้อย่างไรกัน!"
เห็นว่าคนในครอบครัวนี้ก็ยังไม่ยอมเชื่อ เหมิงเชียนเหยียนก็ครุ่นคิดขึ้นมา หากบอกกับพวกเขาต่อไปว่านางเป็นคนฆ่าหมูป่าตัวนี้ พวกเขาคงต้องตกใจตายแน่เลย
ไม่มีทางเลือก เหมิงเชียนเหยียนได้แต่ยิ้มราวกับพบกับความโชคดี "แฮะๆ พูดขึ้นมาก็ถือเป็นความโชคดี ข้าขึ้นเขามาเพราะอยากจะมาตัดฟืน ใครจะรู้ว่าข้ากำลังจะตัดฟืน เจ้าหมูป่าตัวนี้ก็พุ่งเข้ามา มีดผ่าฟืนของข้าก็เหวี่ยงไปตรงหัวของมันพอดี แล้วมันก็ตายคาที่เลย!"
"จริงหรือ?"
"จริงๆ! ต่อมาข้าก็ไปดูแล้ว บนตัวของเจ้าหมูป่าตัวนี้ยังมีบาดแผลธนูอยู่ คาดว่ามันน่าจะถูกคนอื่นยิงบาดเจ็บมา แต่ว่าไม่ได้ถูกยิงถึงตาย ดังนั้นต่อมาก็เลยมาเจอกับมีดผ่าฟืนของข้าเข้า"
พูดขึ้นมาเช่นนี้ เหมิงฉวนถึงได้เชื่อขึ้นมาเล็กน้อย "ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นเราก็โชคดีมากจริงๆนั่นแหละ มา เรามามัดมันเอาไว้ แล้วลากมันข้ามคืนเข้าไปในเมืองเลย พรุ่งนี้ก็จะสามารถคืนเงินค่าสินสอดให้กับตระกูลซุนได้พอดีอย่างแน่นอน!"
"ใช่แล้วใช่แล้ว ข้าก็คิดเช่นนี้แหละ พวกเรารีบลงมือกันเถอะ!"
คนทั้งครอบครัวร่วมแรงร่วมใจ ขนย้ายเจ้าหมูป่าตัวนี้ลงจากเขาไป และเมื่อถึงเชิงเขา ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว ก็ขนย้ายหมูป่าเข้าไปในเมืองในความมืดได้พอดี
หมูป่าเป็นอาหารป่าที่หาได้ยาก ภัตตาคารหรูบางร้านก็ชอบซื้อของพวกนี้ ดังนั้นเหมิงเชียนเหยียนจึงใช้หมูป่าตัวนี้แลกเงินมาแปดตำลึงอย่างง่ายดาย
เงินแปดตำลึงมาอยู่ในมือ รู้สึกว่ามันหนักๆ ใต้แสงจันทร์มีแสงสีเงินจางๆเปล่งแสงออกมา เหมิงฉวนมองดูมัน แล้วยื่นให้กับสวีเจิน "มา สวีเจิน เจ้าเป็นคนเก็บเอาไว้"
"นี่ ข้าเก็บเอาไว้หรือ----" สวีเจินประหลาดใจมาก และก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย มองไปทางเหมิงเชียนเหยียน "เงินแปดตำลึงนี้ล้วนเป็นความชอบของเชียนเหยียนทั้งนั้นเลยนะ"
"โธ่ ความชอบของข้าแล้วมันอย่างไร ใครใช้ให้เราเป็นครอบครัวเดียวกันล่ะ" เหมิงเชียนเหยียนยิ้มระรื่น "ท่านแม่เอาไปเถอะ แต่อย่าเอามันไปให้คนอื่นเปล่าๆอีกก็พอ!"
คำพูดนี้นางพูดได้อย่างตรงไปตรงมา ย่อมหมายถึงหญิงชรานางหวางและครอบครัวจ้าวฮัวจือนั่นอยู่แล้ว เรื่องในครั้งนี้เกือบจะทำลายลูกสาวของตนเอง เหมิงฉวนจึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
"เช่นนั้นเราจะกลับบ้านกันใช่ไหม?" สวีเจินเก็บเงินแล้วกล่าวถาม
"ไม่ล่ะ ข้ากับเชียนเถายังทำงานให้คนอื่นเขาอยู่เลย นี่ถ้าขาดงานอยู่บ่อยๆ ข้ากลัวว่าคนอื่นเขาจะเปลี่ยนคน สวีเจิน เจ้าพาเชียนเหยียนกลับไปเถอะ แล้วก็คืนเงินให้ตระกูลซุนไปก่อน"
สวีเจินคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดี "ก็ได้ หลังจากคืนเงินแล้ว ข้าค่อยพาเชียนเหยียนมาเยี่ยมพวกท่านสองคนพ่อลูก"
เมื่อแยกทางกับเหมิงฉวนในเมืองแล้ว เหมิงเชียนเหยียนกับสวีเจินก็กลับเข้าไปในบ้านที่หมู่บ้านหลี่ฮวาพร้อมกัน จากนั้นก็นอนกันแต่เช้า เพราะเหมิงเชียนเหยียนคิดอยู่ว่า พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้ามารอคนตระกูลซุนมาขอเงิน!
วันรุ่งขึ้น ต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยอากาศที่สดใส เหมิงเชียนเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กตั้งแต่เช้า กินหมั่นโถวขาวที่สวีเจินทำให้ไป ก็นั่งแอบแดดอย่างเกียจคร้านไปด้วย ต้องรู้ว่า การอาบแดดนั้นเป็นวิธีเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีสุด
