บทที่9
สาวใช้กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงร้องไห้ภายในก็หยุดลงทันที ไม่นานนัก ก็มีเสียงคำรามของเวยกั๋วกงดังขึ้น
“บุตรสาวอกตัญญู ยังไม่รีบคุกเข่าอีกหรือ?”
สวี่จิ้งยางเดินอ้อมฉากกั้นไป ก็สบตากับดวงตาที่แดงก่ำและเต็มไปด้วยความแค้นของฮูหยินสวี่
บิดามารดาของนางนั่งอยู่บนเก้าอี้คนละข้าง
สวี่โหรวเจิงนำหมอนอิงนุ่มๆ มาวางไว้ด้านหลังฮูหยินสวี่
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ทำให้ความเกลียดชังอันเข้มข้นในดวงตาของฮูหยินสวี่จางหายไปเล็กน้อย นางตบมือของสวี่โหรวเจิงอย่างเอ็อนดู แล้วก็หันสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นไปยังสวี่จิ้งยางอีกครั้ง
“สวี่จิ้งยาง ข้าอุ้มท้องเจ้ามาอย่างยากลำบาก ก็เพื่อให้เจ้ามาทวงหนี้ข้าหรือ?”
สวี่จิ้งยางเผชิญหน้ากับการตำหนิของบิดามารดา สีหน้าไม่เปลี่ยน
นางหยิบหนังสือที่เพิ่งเขียนเสร็จออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ก่อนที่จะโกรธ โปรดดูหนังสือฟ้องร้องของข้าก่อนเถิด”
หนังสือฟ้องร้อง ก็คือเอกสารที่ยื่นต่อทางการ เพื่อฟ้องร้องเรื่องราวบางอย่าง
เวยกั๋วกงดวงตาเผยความสงสัย แล้วก็ตกใจจนขมวดคิ้ว
“ทุกคนออกไป!” เขาสั่งการ บ่าวรับใช้ทุกคนก็ถอยออกไปนอกประตู แล้วปิดประตูลง
ภายในห้องก็มืดสลัวลงทันที ใบหน้าของทุกคนปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
มีเพียงสวี่จิ้งยางเท่านั้น ที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ย่อท้อ
ฮูหยินสวี่สับสน หยิบหนังสือฟ้องร้องมาดูสองสามครั้ง ก็ตกใจจนโยนกระดาษทิ้งไปทันที
“เจ้ากล้าที่จะบอกทางการด้วยตนเองว่า เจ้าปลอมตัวเป็นชายออกรบแทนบิดาหรือ? เจ้าอยากจะฆ่าคนทั้งครอบครัวหรือ!”
เวยกั๋วกง “เจ้ากล้าเอาชีวิตของคนทั้งจวนไปเสี่ยงหรือ?!”
สวี่จิ้งยางมองไปยังทั้งสองคนด้วยดวงตาดำสนิท ใบหน้าอันผอมบางและสง่างาม แสร้งทำเป็นโกรธและเศร้าเล็กน้อย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าลูกอยากจะทำร้ายคนทั้งครอบครัว แต่หากลูกไม่พูดออกไป ปล่อยให้น้องชายเจินพูดพลั้งปากออกไปข้างนอกเมื่อไหร่ นั่นแหละคือหายนะที่แท้จริง”
“พูดจาเหลวไหล!” ฮูหยินสวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “น้องชายของเจ้าไม่พูดจาเหลวไหลหรอก”
สวี่จิ้งยางมองนาง “วันนี้น้องชายเจินมาหาลูก เขาบอกว่า หากไม่ใช่เพราะเขายังเด็กในตอนนั้น ก็คงไม่ถึงตาลูกที่จะปลอมตัวเป็นชายออกรบแทนท่านพ่อหรอก”
คิ้วของเวยกั๋วกงกระตุก แล้วก็สบตากับฮูหยินสวี่
สามีภรรยาคู่นี้เคยพูดคุยเรื่องนี้กันลับๆ ไม่คิดว่าเขาจะเลียนแบบ แล้วมาพูดให้สวี่จิ้งยางฟัง
ในห้อง เสียงโกรธของสวี่หมิงเจินก็ดังขึ้น “นั่นคือคำพูดที่นางบังคับให้ข้าพูดตอนข้าโกรธ!”
เขาประคองเอว ถูกสาวใช้ประคองออกมาอย่างโกรธจัด
“สวี่จิ้งยาง เมื่อครู่นั้นเจ้าตั้งใจยั่วโมโหข้า!” สวี่หมิงเจินจ้องมองนางอย่างดุร้าย
สวี่โหรวเจิงที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวเบาๆ “น้องชายเจินเป็นคนมีเหตุผลมาโดยตลอด ต้องเป็นเพราะโกรธจัดจริงๆถึงพูดแบบนั้น ปกติแล้วตอนพี่ใหญ่ไม่อยู่บ้าน ข้าไม่เคยได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่”
ฮูหยินสวี่ส่ายหน้า “เจ้าทำให้น้องชายของเจ้าโกรธจัดนี่แหละ”
สวี่จิ้งยางเย้ยหยันในใจ
นางมองไปยังเวยกั๋วกง “ท่านพ่อ เขาบ่นกับลูกลับหลังก็ไม่เป็นไร ลูกเป็นพี่สาวของเขา ก็ควรจะยอมเขา”
“แต่น้องชายเจินตอนนี้ได้รับคัดเลือกเข้าหน่อยลาดตระเวนแล้ว หากอนาคตสดใส ก็จะเป็นองครักษ์ในวัง เป็นคนข้างกายฝ่าบาท”
“ตอนนี้เขาพูดจาไม่ระมัดระวัง หากวันข้างหน้าพูดพลั้งปากต่อหน้าฝ่าบาท จวนเวยกั๋วกงทั้งหมดของเรา ก็จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับเขา!”
เมื่อได้ยินว่าชื่อเสียงและทรัพย์สินของตระกูลสวี่จะได้รับผลกระทบ เวยกั๋วกงก็ร้อนใจขึ้นมาทันที
เขากล่าวตำหนิสวี่หมิงเจิน “นี่เจ้าปากไม่มิดซะเลย เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ!”
สวี่หมิงเจิน “ท่านพ่อ ทั้งหมดเป็นเพราะนางตั้งใจยั่วโมโหข้า ข้าถึงได้พูดจาไม่คิด!”
“ยั่วโมโหเจ้า เจ้าก็พูดจาเหลวไหล แล้วหากเจ้าเดินทางข้างนอก มีคนตั้งกับดัก เจ้าก็จะเอาอนาคตของคนทั้งจวนไปเสี่ยงหรือ?”
สวี่จิ้งยางกล่าวจบ ก็มองไปยังคนในครอบครัว “แทนที่จะปล่อยให้เขาสร้างปัญหา สู้ข้าไปแจ้งทางการเสียตอนนี้ดีกว่า”
นางหยิบหนังสือฟ้องร้องขึ้นมา
เมื่อเห็นสวี่จิ้งยางกำลังจะออกไปที่ทำการทางการ เวยกั๋วกงก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉีกหนังสือฟ้องร้องออกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนลงในกระถางไฟ
หนังสือฟ้องร้องถูกเผาจนหมดสิ้นในพริบตา
สวี่จิ้งยางมองประกายไฟที่ลุกโชนขึ้นมา ถามอย่างประหลาดใจ “ท่านพ่อ?”
สีหน้าของเวยกั๋วกงมืดครึ้ม มองไปยังสวี่หมิงเจิน “เรื่องนี้เจ้าผิด เจ้าไปคุกเข่าขอโทษพี่สาวของเจ้าเสีย”
สวี่หมิงเจินเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ
“ข้าต้องขอโทษนางหรือ? ท่านพ่อ นางทำร้ายข้า ยังตีข้าจนเป็นเช่นนี้!”
ฮูหยินสวี่ “ท่านพี่ เจินเอ๋อร์ผิดตรงไหน?”
“รีบไปขอโทษ! อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำสอง” เวยกั๋วกงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงและเด็ดขาด
สวี่หมิงเจินเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี ในใจเขายังคงเคารพยำเกรงอำนาจของบิดา
เมื่อเห็นเวยกั๋วกงจ้องมองด้วยดวงตาที่ดุดันและท่าทีที่เด็ดขาด เขาก็จำต้องกัดฟัน
“ขอโทษ...” เสียงเบาราวกับยุงบิน
สวี่จิ้งยางมองเขา ไม่ได้พูดอะไร
เวยกั๋วกงก็ขมวดคิ้ว “คุกเข่าขอโทษ!”
สวี่หมิงเจินตาแดงก่ำ เขาเป็นบุตรชายคนโต นับตั้งแต่ตระกูลสวี่มีความดีความชอบทางการทหาร เขาก็ได้รับความเคารพนับถือจากทุกคนไม่ว่าจะไปที่ไหน
เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้เมื่อใดกัน?
เมื่อเห็นท่าทีที่เขาได้รับความอัปยศอย่างมาก สวี่จิ้งยางก็นึกถึงชาติที่แล้ว ในใจแค่รู้สึกขบขันอย่างยิ่ง
ชาติที่แล้วหลังจากนางกลับบ้านไม่นาน สวี่หมิงเจินก็เคยมาลงไม้ลงมือกับนาง
ในตอนนั้นนางยอมเขาเป็นพิเศษ กลัวว่าจะตีเขาบาดเจ็บ และกลัวว่าจะทำลายความภาคภูมิใจของเขา
ไม่คิดเลยว่าสวี่หมิงเจินชนะนางหนึ่งหรือสองครั้ง ก็คิดว่าตนเองมีฝีมือยอดเยี่ยม
เมื่ออารมณ์เสีย หรือถูกกลั่นแกล้งภายนอก หรือถูกคนที่เก่งกว่าเอาชนะ กลับมาก็จะลงไม้ลงมือกับสวี่จิ้งยาง
ชาตินี้ นางก็เข้าใจแล้วว่า ยิ่งนางยอมเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโอหังมากเท่านั้น อาศัยการทำร้ายนาง เพื่อสนองความอยากเอาชนะที่น่าเวทนาของเขา
ดังนั้น ครั้งนี้ นางจึงไม่ทนอีกต่อไป แม้จะลงมือ บิดามารดาจะกล้าพูดอะไรได้?
พวกเขาต่างหากที่กลัวว่าเรื่องที่นางปลอมตัวเป็นชายออกรบจะถูกเปิดเผยมากกว่า หากสวี่จิ้งยางซ่อนความลับอย่างเชื่อฟัง พวกเขาก็จะยิ่งไม่เกรงใจ
แต่กลับกัน นางแสดงท่าทีพร้อมที่จะสละชีพ พวกเขากลับกลัว
ในที่สุด ภายใต้แรงกดดันของบิดา สวี่หมิงเจินก็คุกเข่าลง “ขอโทษ”
ฮูหยินสวี่เจ็บใจจนทนไม่ไหว รีบกอดเขาไว้ในอ้อมแขน
“พอแล้ว พอแล้ว!” นางกล่าว
สวี่จิ้งยางจึงเปิดปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “น้องชายเจิน เจ้าคือน้องชายแท้ๆ ของข้า ข้าเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้น ไม่ใช่ความตั้งใจของเจ้า”
“หากแค่พูดกับข้าสองต่อสองก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หากไปสร้างปัญหาข้างนอก นั่นก็คือการสร้างความลำบากให้ท่านพ่อท่านแม่แล้ว”
กล่าวจบ สวี่จิ้งยางก็โค้งคำนับเวยกั๋วกงและฮูหยินสวี่ แล้วก็เดินจากไป
นางเพิ่งเดินไป ฮูหยินสวี่ก็กล่าวว่า “นางเปลี่ยนไปมาก ช่างเจ้าเล่ห์นัก ถึงกับใช้ความดีความชอบมาบีบบังคับ”
สวี่หมิงเจิน “ท่านพ่อ ส่งนางไปที่เรือนชนบทเถิด! ข้าไม่อยากเห็นหน้านางอีกแล้ว”
“ตอนนี้องค์หญิงใหญ่โปรดปรานนาง ส่งนางไปไม่ได้หรอก เจ้าอย่าเอาแต่สร้างปัญหาไปวันๆ!”
เวยกั๋วกงกดขมับ รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง
เขาสั่งด้วยความเด็ดขาด “หากนางไปแจ้งทางการจริงๆ ก็ไม่มีใครได้ดี รอให้เรื่องสงบลงก่อน ค่อยหาวิธีส่งนางไป แต่ก่อนหน้านั้น หากใครสร้างปัญหาอีก อย่าหาว่าข้าไร้ความเมตตา!”
เวยกั๋วกงสั่งการเสร็จก็จากไป
สวี่โหรวเจิง “พี่ใหญ่ก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่านพ่อ ท่านพ่อก็คงรักนางมากกว่า”
จิตใจที่อ่อนไหวของสวี่หมิงเจินถูกกระทบกระเทือน ตะโกนด่า “สวี่จิ้งยางอีนางปีศาจร้าย หลอกท่านพ่อจนหัวปั่น!”
“ชู่ว์! หากให้ท่านพ่อได้ยิน ก็จะโกรธอีก”
ฮูหยินสวี่ห้ามไว้ ส่ายหน้าแล้วก็ทอดถอนใจ “ตั้งแต่นางกลับมา ก็ไม่เคยทำให้ข้าสงบสุขเลย”
สวี่โหรวเจิงนวดขมับให้นาง “ท่านแม่ อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ ท่านยังมีพวกเราอยู่”
ฮูหยินสวี่ไม่พูดอะไร แต่ในใจก็เริ่มคิดแผนแล้ว
หากไม่ได้จริงๆ ก็หาสามีดีๆ ให้สวี่จิ้งยาง แต่งงานออกไปไกลๆ ก็ไม่ถือว่าทำร้ายนาง
เรื่องการแต่งงานของบุตรสาว ย่อมขึ้นอยู่กับบิดามารดา
หากนางไม่เต็มใจ ก็ตีให้นางสลบแล้วยัดใส่เกี้ยวเจ้าสาวไป ก็ไม่มีใครสามารถตำหนิอะไรได้
หลังส่งสวี่จิ้งยางไป ก็จะค่อยๆ ทำให้การมีอยู่ของนางจางหายไป สวี่โหรวเจิงก็จะอยู่ในจวนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายมากขึ้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฮูหยินสวี่ก็จับมือสวี่โหรวเจิง “ไม่ว่านางจะเป็นอย่างไร ก็ต้องให้ชื่อของโหรวเอ๋อร์อยู่ในทะเบียนตระกูลของข้าก่อน”
แม้จะเป็นการรับเลี้ยง แต่ก็ต้องเปิดศาลบรรพบุรุษ บันทึกชื่อในทะเบียนตระกูลจึงจะถือว่าเป็นคนในครอบครัวอย่างแท้จริง
ใบหน้าขาวซีดของสวี่โหรวเจิงเผยแวววิตกกังวล “พี่ใหญ่จะเห็นด้วยหรือเจ้าคะ?”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกนาง” ฮูหยินสวี่โอบนางไว้ “นางกลับมา ก็ทำให้เจ้าต้องเสียใจอยู่แล้ว แม่จะปล่อยให้เจ้าไม่มีตำแหน่งคุณหนูแห่งจวนกั๋วกงได้อย่างไร”
สวี่หมิงเจินกล่าวเสริม “พี่สาวโหรวรักษาขาของท่านพ่อให้หายดีแล้ว สมควรที่จะได้รับการบันทึกชื่อในทะเบียนตระกูลนานแล้ว!”
“เรื่องนี้จะจัดการในอีกไม่กี่วัน ข้าได้พูดกับท่านพ่อของพวกเจ้าแล้ว เพียงแค่รอเชิญผู้อาวุโสในตระกูลมาเท่านั้น” ฮูหยินสวี่กล่าว
สวี่โหรวเจิงซบลงในอ้อมแขนของฮูหยินสวี่ เรียกอย่างอ่อนหวาน “ท่านแม่ มีท่านรักช่างดีจริงๆ โหรวเอ๋อร์ยินดีที่จะยอมพี่ใหญ่ทุกอย่าง ขอเพียงแค่มีท่านแม่”
“ลูกโง่ แม่ก็รักพวกเจ้าทั้งสองคน” ฮูหยินสวี่โอบพี่น้องทั้งสอง แล้วก็ยิ้มออกมา
