บทที่ 4
หานเป้าเป็นหนึ่งในรองแม่ทัพที่ติดตามท่านแม่ทัพเทพยุทธ์
ชื่อเสียงของเขาไม่มีใครไม่รู้จัก
ตลอดสิบปีที่ผ่านมา แม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ประจำการอยู่ที่ชายแดน ไม่เคยกลับเมืองหลวงเลย
ทุกสามปี เมื่อแม่ทัพนายกองต้องกลับเมืองหลวงเพื่อรายงานราชการ หานเป้าก็จะกลับเมืองหลวงแทนแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ เพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ รายงานสถานการณ์การทหารที่ชายแดน
องค์หญิงใหญ่ย่อมรู้จักเขาดี นางเบิกตากว้าง จ้องมองหานเป้าที่คุกเข่าข้างเดียวอยู่เบื้องหน้าสวี่จิ้งยาง
เขาก้มมือคารวะ “คุณหนูใหญ่โปรดอภัย กระผมคุ้มกันไม่ดี ถึงกับปล่อยให้ท่านกลับเมืองหลวงเพียงลำพัง”
สวี่จิ้งยางนวดข้อมือของนาง โดยมีจู๋อิ่งช่วยพยุงให้ลุกขึ้น
“ไม่เป็นไร พวกท่านต้องจัดเตรียมกำลังพล และเตรียมงานศพ ข้าไม่อยากสร้างความวุ่นวายให้ จึงได้กลับมาก่อน”
หานเป้าเงยหน้าขึ้น สบตากับสวี่จิ้งยาง
เขาหันไปมองแม่นมชิงอย่างดุดันทันที “ท่านแม่ทัพใหญ่ห่วงใยคุณหนูใหญ่ที่สุดในชีวิต พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงบอกว่าท่านเป็นพวกหลอกลวง!”
หานเป้าสูงแปดฉื่อ รูปร่างกำยำแข็งแรง อายุเกินสามสิบปีแล้ว เป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจที่สังหารศัตรูมานับไม่ถ้วนในสนามรบ
เมื่อเขาจ้องมอง แม่นมชิงก็ตกใจจนแทบจะคุกเข่าลง
“นาง...” แม่นมชิงรู้ว่าไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป จึงรีบคุกเข่าลงต่อหน้าสวี่จิ้งยางทันที
ราวกับเพิ่งจะจำสวี่จิ้งยางได้ นางตบหน้าตัวเองฉาดๆ แล้วร้องไห้ไม่หยุด
“คุณหนู บ่าวช่างตาบอดนัก ถึงกับจำท่านไม่ได้ บ่าวแก่แล้ว ช่างสมควรนัก!”
องค์หญิงใหญ่จับมือแม่นมจาง แล้วลงจากรถม้า
หานเป้าเห็นนาง ก็รีบคารวะ ก้มศีรษะทำความเคารพ “กระผมขอคารวะองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อได้ยินคำว่าองค์หญิงใหญ่ สีหน้าของแม่นมชิงก็ซีดเผือดยิ่งกว่าหิมะ
แย่แล้ว...แย่แล้ว! องค์หญิงใหญ่ก็อยู่ที่นี่ด้วย แล้วคุณหนูในจวนท่านนั้นจะทำอย่างไร?
องค์หญิงใหญ่เดินตรงไปหาสวี่จิ้งยาง “เจ้าเด็กโง่ ตระกูลสวี่ไม่เคยส่งคนมารับเจ้ากลับ เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมบอกความจริงกับข้า หรือว่ากลัวว่าข้าจะไม่ช่วยเจ้า?”
สวี่จิ้งยางก้มหน้าลง เสียงยังคงสงบปนความเศร้า
“พี่ชายเสียชีวิต พ่อแม่เสียใจจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น การละเลยก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
หานเป้ากล่าวเสริมในจังหวะที่เหมาะสม “คุณหนูใหญ่กับท่านแม่ทัพใหญ่เป็นฝาแฝดชายหญิง คุณหนูใหญ่อยู่กับท่านแม่ทัพใหญ่ที่ชายแดนมาสามสี่ปี ความสัมพันธ์พี่น้องดีมาก ทั้งสองเคยสัญญาว่าจะกลับบ้านพร้อมกัน”
“ไม่คิดเลยว่า...ครั้งนี้ข้าจะต้องนำของที่ระลึกของพี่ชายกลับมา” สวี่จิ้งยางกล่าวพลางน้ำตาไหล
นางกอดเสื้อผ้าเปื้อนเลือดไว้ในอ้อมแขน กำพู่แดงไว้แน่นในมือ
คราวนี้องค์หญิงใหญ่ยิ่งรู้สึกสงสารมากขึ้น
นางเกือบจะเข้าใจผิดคุณหนูใหญ่ของตระกูลสวี่แล้ว!
เมื่อนึกถึงคนรับใช้ในจวนสวี่ที่ทำให้ตนเองเข้าใจผิด องค์หญิงใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ
“มา! ลากพวกคนรับใช้ชั่วช้าพวกนี้ไปโบยให้หนัก! ห้ามตำเนินการที่นี่ จะทำให้เส้นทางกลับบ้านของดวงวิญญาณแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ต้องสกปรก”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ทหารลงมือ เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นในตรอก
ไม่นานนัก พ่อแม่ของสวี่จิ้งยาง พร้อมด้วยคนในครอบครัว ก็รีบเดินออกมา
ข้างๆ พวกเขามีฮูหยินชางผิงโหวยืนอยู่ด้วย แต่ไม่มีน้องชายของสวี่จิ้งยาง สวี่หมิงเจิน
สวี่จิ้งยางเย้ยหยันอย่างไม่แสดงอารมณ์
ในที่สุดก็ยอมออกมาแล้วสินะ?
คนในครอบครัวหน้าตาดีทุกคน แต่งกายสวยงามหรูหรา สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีม่วงและขนมิงค์
โดยเฉพาะสวี่โหรวเจิง นางสวมเสื้อแขนกุดสีชมพูอ่อน คลุมทับด้วยเสื้อคลุมยาวสีแดงเข้ม ขนจิ้งจอกชั้นดีพันรอบคอของนาง
นางดูงดงามราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง เปล่งประกายราวกับพระจันทร์
เมื่อเทียบกับสวี่จิ้งยางที่หน้าตาซีดเซียว ไร้เครื่องตกแต่ง สวี่โหรวเจิงกลับดูเหมือนคุณหนูใหญ่ที่เติบโตมาในความรักความทะนุถนอมของตระกูลสวี่
ตอนนี้ สวี่โหรวเจิงถูกฮูหยินสวี่จูงมือ แม่ลูกยืนอยู่ด้านหลังเวยกั๋วกงสวี่ฮั่นซาน
ดวงตาเป็นประกายราวกับน้ำใบหน้าเรียวรูปไข่ของสวี่โหรวเจิง มองมาที่สวี่จิ้งยาง
สายตาของนางมองสำรวจขึ้นลง แล้วก็กวาดมองไปอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้สวี่จิ้งยางผู้เฉลียวฉลาดจับความดูถูกเหยียดหยามที่เบาบางนั้นได้
ในชั่วพริบตานั้น สวี่โหรวเจิงคงจะเปรียบเทียบฐานะของตนเองกับสวี่จิ้งยางในใจแล้ว
นางรู้ว่า เมื่อสวี่จิ้งยางกลับมาจากชายแดน ก็จะไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ เลย
“องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ท่านรองแม่ทัพหาน” เวยกั๋วกงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ประสานมือคารวะองค์หญิงใหญ่ “เมื่อครู่คนรับใช้ได้แจ้งเรื่องราวให้ทราบแล้ว นี่เป็นเพียงความเข้าใจผิด โหรวเจิง ยังไม่รีบมาทำความเคารพอีกหรือ”
คำพูดของเขายังไม่ทันขาดคำ สวี่โหรวเจิงก็ก้าวเดินอย่างอ่อนช้อยไปข้างหน้า
ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยปาก องค์หญิงใหญ่ก็ถามด้วยความโกรธทันที “ใครอนุญาตให้เจ้าแต่งกายสีเช่นนี้?”
แม่นมจางกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงดุดัน “ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้ทั่วแคว้นไว้ทุกข์ให้แม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์เป็นเวลาสามเดือน ทั่วเมืองแต่งกายขาวแขวนผ้าขาว เหตุใดจึงมีคนกล้าแต่งกายหรูหรา สวมเสื้อผ้าสีแดงจัด!”
สีหน้าของสวี่โหรวเจิงซีดเผือดทันที ราวกับถูกตีด้วยไม้เท้าจนมึนงง
นางรีบคุกเข่าลงบนพื้น
“องค์หญิงใหญ่โปรดอภัยเพคะ” เสียงของนางอ่อนหวานราวกับนกน้อยปนความสะอื้น “หม่อมฉันขี้หนาวเพคะ จึงสวมใส่ในบ้าน ไม่กล้าแต่งกายโอ้อวดออกนอกบ้านเพคะ”
องค์หญิงใหญ่จ้องมองนาง เสียงของนางเย็นยะเยือก
“ขี้หนาวหรือ? คุณหนูใหญ่สวี่คุกเข่ากอดของที่ระลึก ก้มกราบทุกย่างก้าว จากชายแดนอันไกลโพ้นกลับมายังเมืองหลวง เพื่อนำทางให้ดวงวิญญาณของแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์กลับมา”
“นางหนาวจนขาทั้งสองเป็นสีม่วง ฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยแตกจากความหนาวเย็น! แต่เจ้า อยู่ในจวนสวี่กลับยังโลภในความอบอุ่น เจ้าคู่ควรหรือไม่?!”
องค์หญิงใหญ่เพิ่งจะเก็บความโกรธไว้ในใจ
คนรับใช้ชั่วช้าของตระกูลสวี่เกือบจะทำให้นางเข้าใจผิดสวี่จิ้งยาง ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับครอบครัวเวยกั๋วกง ก็กลายเป็นที่ระบายความโกรธของนาง
สวี่โหรวเจิงตกใจจนตัวสั่น ริมฝีปากสั่นระริก
เมื่อเห็นดังนั้น ฮูหยินสวี่ก็รีบคุกเข่าลงขอร้อง “องค์หญิงใหญ่โปรดระงับความโกรธ! เรื่องนี้เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง วันนี้ฮูหยินชางผิงโหวมาเยือนบ้าน หม่อมฉันอยากให้โหรวเจิงดูดีต่อหน้าแขก จึงให้นางสวมเสื้อผ้าใหม่ ขอองค์หญิงใหญ่โปรดอภัยเพคะ!”
ฮูหยินชางผิงโหวที่ถูกกล่าวถึงอย่างกะทันหัน แอบมองฮูหยินสวี่แวบหนึ่ง
นางเดินไปข้างหน้า ยิ้มอย่างขัดเขินเพื่อคลายความอึดอัด “องค์หญิงใหญ่โปรดระงับความโกรธ หม่อมฉันก็มาเพื่อแสดงความเสียใจต่อแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์เพคะ”
สวี่จิ้งยางมองฮูหยินสวี่ ดวงตาสวยงามของนางเผยความสงสัย
“ท่านแม่ น้องโหรวเจิงผู้นี้เป็นใครกัน? เมื่อครู่คนรับใช้กล่าวว่า ในจวนมีคุณหนูใหญ่อยู่แล้ว แถมแม่นมชิงก็จำข้าไม่ได้ด้วย”
“หากนางคือคุณหนูใหญ่...แล้วข้า เป็นใคร?”
สายตาที่กดดันหลายคู่ พุ่งตรงไปยังฮูหยินสวี่พร้อมกัน
ฮูหยินชางผิงโหวก็แสดงสีหน้าสงสัยเช่นกัน
เมื่อครู่ในงานเลี้ยง ฮูหยินสวี่จูงมือสวี่โหรวเจิงและแนะนำว่านี่คือบุตรสาวของนาง
ฮูหยินชางผิงโหวจึงเข้าใจไปเองว่า นี่คือคุณหนูใหญ่ฝาแฝดเพียงคนเดียวของแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ตามข่าวลือ
จึงได้ชื่นชอบนางเป็นพิเศษ และยังมอบลูกประคำที่นางสวมใส่มาสามสิบปีให้แก่นางด้วย
แต่หากนางไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของจวนสวี่ แล้วใครกันเล่าคือคุณหนูใหญ่?
ฮูหยินสวี่ถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง จนรู้สึกหายใจลำบาก
โดยเฉพาะสายตาที่คมกริบและสว่างไสวของสวี่จิ้งยาง ราวกับคมมีดที่พุ่งตรงมายังนาง!
นี่คือบุตรสาวของนางหรือ? พอกลับมาก็ทำให้ตนเองขายหน้าเลย!
สีหน้าของฮูหยินสวี่ลังเล ต่อหน้าองค์หญิงใหญ่และหานเป้า นางไม่อาจปฏิเสธตัวตนของสวี่จิ้งยางได้
ในที่สุด ริมฝีปากของฮูหยินสวี่ก็ขยับ “โหรวเจิงมีชาติกำเนิดที่น่าสงสาร ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งมาตั้งแต่เด็ก ข้ากับพ่อของเจ้าจึงรับนางมาเลี้ยง”
สวี่จิ้งยาง “เหตุใดในจดหมายจากบ้านไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ ข้ากับพี่ชายก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย”
สีหน้าขององค์หญิงใหญ่เย็นชามาก
“เพราะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ของแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ จึงแต่งกายโอ้อวดเช่นนี้ ช่างไร้หัวใจนัก แม่นมจาง ถอดเสื้อผ้านางออก!”
แม่นมจางได้รับคำสั่ง ก็ลงมือทันที
ถอดเสื้อคลุมสีแดงเข้มออก แล้วก็ดึงเสื้อแขนกุดสีชมพูอ่อนออกด้วย
หานเป้ากับทหารหันหลังกลับ เพื่อหลีกเลี่ยงการมองเห็น
สวี่โหรวเจิงกรีดร้องไม่หยุด ราวกับถูกทรมานอย่างแสนสาหัส
“ท่านแม่ ท่านแม่!” นางร้องไห้
แม้ฮูหยินสวี่จะอยากปกป้อง แต่ก็ถูกเวยกั๋วกงกดไว้
องค์หญิงใหญ่อยู่ตรงหน้า จะกล้าทำอะไรเกินเลยได้อย่างไร
ฮูหยินสวี่ร้องไห้ด้วยความร้อนใจ ปากก็พร่ำเรียกซ้ำๆ “โหรวเอ๋อร์ของแม่...”
นางร้องไห้อย่างน่าเวทนา สวี่จิ้งยางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพในชาติที่แล้วที่ท่านแม่สั่งให้น้องชายหักนิ้วของนาง นางก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาเช่นนี้
แค่นี้ก็เจ็บแล้วหรือ?
แต่ท่านแม่ นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นนะ
เวยกั๋วกงมองสวี่จิ้งยาง “จิ้งยาง ยังไม่รีบช่วยขอร้องอีก ยังไงโหรวเจิงก็เป็นน้องสาวของเจ้า”
พวกเขาทุกคนรู้ดีว่า สวี่จิ้งยางเป็นคนกตัญญู เชื่อฟังพ่อแม่มาโดยตลอด
มิฉะนั้นเมื่ออายุสิบสี่ปี ก็คงไม่กล้าแบกรับภาระอันหนักอึ้ง ปลอมตัวเป็นชายออกรบแทนบิดา
เวยกั๋วกงเชื่อมั่นว่า คำพูดของเขา สวี่จิ้งยางจะต้องเชื่อฟังแน่
