บทที่ 5
สวี่จิ้งยางเม้มริมฝีปากซีดขาว มองไปยังฮูหยินสวี่
เวยกั๋วกงแอบผลักภรรยาของตนเองเบาๆ
ฮูหยินสวี่จึงลุกขึ้น เช็ดน้ำตาแล้วเดินตรงไปหาสวี่จิ้งยาง
“จิ้งยาง เจ้าเป็นพี่สาว ในเมื่อพวกเราได้รับโหรวเจิงมาเลี้ยงดู นางก็คือน้องสาวของเจ้า นาง...”
ฮูหยินสวี่อยากจะจับมือสวี่จิ้งยาง แต่กลับสัมผัสได้ถึงรอยด้านที่หยาบกร้านบนนิ้วของนาง
ในชั่วพริบตานั้น เสียงของฮูหยินสวี่ก็ชะงัก มือของนางก็หดกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับถูกไฟฟ้าช็อต
สวี่จิ้งยางมองนางอย่างไม่แสดงอารมณ์
ในใจนางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ชาติที่แล้วเมื่อท่านแม่เห็นรอยแผลบนร่างกายของนาง ก็จะหันหน้าหนี
ในตอนนั้นสวี่จิ้งยางคิดว่าท่านแม่แค่ห่วงนางเกินไป
ภายหลังนางจึงได้ยินท่านแม่พูดกับแม่นมชิงว่า “ฝ่ามือหยาบกร้าน แถมยังมีรอยแผลเป็นทั่วตัว นางก็ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่จนชินแล้ว ไม่เหมือนโหรวเอ๋อร์ที่ต้องการคนเอาใจใส่”
สวี่จิ้งยางเพียงแค่ยิ้มอย่างขมขื่น
สิบปีที่นางอยู่ในชายแดน จากทหารเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก จนกลายเป็นแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ผู้บัญชาการกองทัพ
นางต่อสู้ฟันฝ่ามาด้วยเลือดและเหงื่อ
ดังนั้น นางจึงไม่มีผิวที่ละเอียดอ่อนเหมือนสวี่โหรวเจิง ไม่มีฝ่ามือที่ขาวเนียนราวกับต้นหอมของนาง
นางทุ่มเทเพื่อครอบครัว แต่ในสายตาของท่านแม่ กลับกลายเป็นบุตรสาวที่ไม่ต้องการคนเอาใจใส่
สวี่จิ้งยางก้มตัวคารวะองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงใหญ่เพคะ ขอพระองค์ทรงเมตตาด้วยเถิด”
สวี่โหรวเจิงที่ล้มอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา
องค์หญิงใหญ่ “เจ้าจะขอร้องแทนนางหรือ?”
สวี่จิ้งยางกอดเสื้อผ้าเปื้อนเลือดและพู่แดงไว้
“ในเมื่อโหรวเจิงถูกพ่อแม่รับมาเลี้ยงดู นางก็คือน้องสาวรองของหม่อมฉัน ท่านพ่อกล่าวถูกต้อง หม่อมฉันควรจะขอร้องแทนน้องสาวรอง”
“แต่ทว่า การกลับมาครั้งนี้ หม่อมฉันยังคงมีภารกิจในการนำวิญญาณของพี่ชายกลับบ้าน ชุดสีแดงสดของน้องสาวรองนั้น ไม่เหมาะสมจริงๆ” สวี่จิ้งยางมองไปยังสวี่โหรวเจิง
“ดังนั้น หม่อมฉันจึงคิดวิธีประนีประนอม นั่นคือ ให้น้องสาวรองก้มกราบเสื้อผ้าของพี่ชายให้ครบเก้าสิบเก้าครั้ง”
สวี่โหรวเจิงร้องออกมาทันที “อะไรนะ?”
น้ำเสียงของสวี่จิ้งยางอ่อนโยน ราวกับเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“เช่นนี้ พี่ชายในปรโลกจะได้ทราบถึงความจริงใจของเจ้า ก็จะไม่ตำหนิเจ้าที่แต่งกายผิดชุดแล้ว”
ฮูหยินสวี่แทบจะกระโดดขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงที่แตกพร่า “หันเอ๋อร์ของข้าบัญชาการกองทัพนับแสน ย่อมไม่ถือโทษที่น้องสาวของตนเองเพราะเรื่องเสื้อผ้าหรอก!”
แม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ มีนามว่า สวี่จิ้งหัน นี่คือชื่อที่สวี่จิ้งยางตั้งให้ตนเอง
แต่ตอนนี้กลับถูกฮูหยินสวี่นำมาเป็นข้ออ้างในการโจมตีสวี่จิ้งยาง
สวี่จิ้งยางรู้สึกขบขัน ในดวงตาที่ดำสนิทกลับยิ่งเย็นชาลง
สวี่โหรวเจิงร้องไห้หนักกว่าเดิม “พี่สาว ทำแบบนี้เท่ากับเอาชีวิตข้านะ ท่านโทษข้าที่แย่งตำแหน่งท่าน ทำให้คนรับใช้เข้าใจผิดว่าข้าคือคุณหนูใหญ่ ทำให้ท่านต้องอับอายใช่หรือไม่?”
“หากเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้าก็สามารถชนกำแพงตายได้ จะไม่ทำให้พี่สาวต้องเสียใจ แต่พวกเราเป็นสตรีด้วยกัน ท่านจะมาดูถูกหมิ่นประมาทข้าเช่นนี้ไม่ได้นะ”
เวยกั๋วกง “จิ้งยาง! เจ้าอย่าได้เอาแต่ใจเกินไป หากเรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของพี่ชายเจ้า!”
สวี่จิ้งยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “น้องสาวรอง แค่ก้มกราบให้พี่ชายของข้า ทำไมจะถึงขั้นเรียกว่าดูถูกหมิ่นประมาทแล้วล่ะ?”
องค์หญิงใหญ่ในที่สุดก็เอ่ยปาก “สมควรแล้วที่จะต้องก้มกราบสำนึกผิด แม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้แก่ต้าเยียน หากฮ่องเต้ประทับอยู่ที่นี่ในวันนี้ จะทรงลงโทษหนักกว่าข้าเสียอีก”
คนในตระกูลสวี่ตัวสั่นสะท้านพร้อมกัน
เพราะพวกเขารู้ว่า ที่องค์หญิงใหญ่กล่าวเป็นความจริง
ได้ยินว่าในอดีต เมื่อฮ่องเต้ยังทรงเป็นองค์ประกัน ถูกกษัตริย์ของแคว้นศัตรูซึ่งยังเป็นองค์ชายบังคับให้ลอดใต้หว่างขา ได้รับความอัปยศอดสูอย่างแสนสาหัส
แต่แม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ได้กำจัดแคว้นศัตรู บังคับให้กษัตริย์ของแคว้นศัตรูโกนผมฆ่าตัวตาย ท่ามกลางสายตาของทหารนับแสน
นี่เป็นการแก้แค้นให้ฮ่องเต้ได้อย่างสาสม
ฮูหยินสวี่หมดหนทางโดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงปิดหน้าแล้วร้องไห้
เวยกั๋วกงมีสติมากกว่า “โหรวเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าก็คุกเข่าเถิด...”
สวี่จิ้งยางให้จู๋อิ่งนำเสื้อผ้าเปื้อนเลือดและพู่แดงไปวางไว้ที่หน้าประตู
นางคุกเข่าลงก่อน แล้วก็สะอื้น “พี่ชาย พวกเรากลับถึงบ้านแล้ว”
เมื่อจะลุกขึ้น ร่างกายก็เซไปมา จู๋อิ่งรีบประคองนางไว้
“คุณหนู ท่านคุกเข่ามาตลอดทางแล้ว จะคุกเข่าอีกไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“รีบเข้าไปในบ้านเถิด เด็กคนนี้ ต้องรักตัวเองด้วย” องค์หญิงใหญ่กล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดขององค์หญิงใหญ่ เวยกั๋วกงก็ตื่นจากภวังค์ รีบเรียกสวี่จิ้งยางให้เข้าไปในจวน
ฮูหยินสวี่มองสวี่โหรวเจิงด้วยความอาลัยอาวรณ์สองสามครั้ง แต่ก็ถูกเวยกั๋วกงดึงตัวไปอย่างแรง
กลุ่มคนพากันเดินเข้าประตูไป แม้แต่หานเป้าก็ยังเข้าไปในจวนภายใต้ข้ออ้างของการไว้อาลัย เพื่อจุดธูปให้ป้ายวิญญาณของแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์
ในศาลเจ้าบรรพบุรุษ
ป้ายวิญญาณของแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ ได้ถูกวางไว้เหนือป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษทั้งหมดแล้ว
สวี่จิ้งยางเงยหน้ามอง ควันธูปลอยอ้อยอิ่ง ชื่อ “สวี่จิ้งหัน” บนป้ายวิญญาณ ดูห่างไกลและเลือนราง
ก่อนที่สวี่จิ้งยางจะปลอมตัวเป็นชายออกรบแทนบิดา ตำแหน่งราชการของเวยกั๋วกงเป็นเพียงแม่ทัพรักษาการณ์ขั้นสามเท่านั้น
เป็นขุนนางที่ไม่มีความสำคัญอะไร หากไม่ใช่เพราะบุญบารมีของบรรพบุรุษ ก็คงถูกปลดไปนานแล้ว
สิบปีที่สวี่จิ้งยางต่อสู้ดิ้นรนอยู่ที่ชายแดน ได้ยกระดับครอบครัวทั้งหมดขึ้นสู่ตำแหน่งเวยกั๋วกง ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางที่สืบทอดได้เก้าชั่วอายุคน และนับแต่นั้นมาตระกูลสวี่ก็ได้ก้าวเข้าสู่ชนชั้นสูงและกลายเป็นตระกูลที่มีอิทธิพล
ความมั่งคั่งและเกียรติยศเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะอยากให้นางตายจริงๆ มากกว่าที่จะกลับมาพร้อมใบหน้าที่เหมือนแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ทุกประการ
องค์หญิงใหญ่ก็มาจุดธูปหนึ่งดอก แล้วก็ถูกสามีภรรยาเวยกั๋วกงเชิญไปยังห้องโถงใหญ่
พวกเขาจะต้องพูดจาดีๆ เพื่อขอร้องแทนสวี่โหรวเจิงเป็นแน่
จึงเหลือเพียงสวี่จิ้งยาง และหานเป้าอยู่ในศาลเจ้าบรรพบุรุษ
จู๋อิ่งถอยออกไปนอกประตู
สวี่จิ้งยางอาศัยแสงจากควันธูป ดึงจดหมายลับออกจากแขนเสื้อแล้วจุดไฟเผา
นั่นคือจดหมายตอบกลับจากหานเป้า ที่บอกนางว่าเขาจะออกเดินทางทันที เพื่อมาพบกับนางที่เมืองหลวง
ชาติที่แล้วเมื่อนางเพิ่งกลับถึงบ้าน ก็เป็นวันที่หานเป้ากลับมาเพื่อรายงานราชการเช่นกัน
หานเป้าเคยมาเยี่ยมที่จวนภายใต้ข้ออ้างของการจุดธูปให้แม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ แต่กลับไม่สามารถพบสวี่จิ้งยางได้ พบเพียงสวี่โหรวเจิงเท่านั้น
ในตอนนั้นหานเป้าอาจจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงได้ส่งจดหมายลับไปหาสวี่จิ้งยาง ถามว่านางต้องการความช่วยเหลือหรือไม่
น่าเสียดายที่ในตอนนั้น นางยังคงหลงระเริงอยู่กับความรักความผูกพันในครอบครัว คิดว่าไม่อาจเปิดเผยตัวตนเพื่อไม่ให้ครอบครัวต้องเดือดร้อน แม้แต่จดหมายของหานเป้าก็ไม่ได้ตอบกลับ
ดังนั้น เมื่อกลับมาเกิดใหม่ สวี่จิ้งยางจึงนึกถึงเขาเป็นคนแรก
“ท่านแม่ทัพ ท่านให้กระผมทำลายของที่ระลึกเหล่านั้น กระผมไม่กล้าทำลาย จึงเก็บรักษาไว้อย่างดี หากท่านต้องการ กระผมจะนำกลับมาให้ท่านได้ทุกเมื่อ” หานเป้ากล่าวเบาๆ ที่ด้านหลังของนาง
สวี่จิ้งยางพยักหน้าช้าๆ “กองทัพเทพยุทธ์ได้ถูกมอบหมายให้ท่านอ๋องหนิงดูแลแล้ว ท่านอ๋องมีบุคลิกที่เด็ดขาดเด็ดเดี่ยว เจ้ากับเหลยชวนสองคน จงเชื่อฟังคำสั่งของท่านอ๋องอย่างเคร่งครัด นำพาทหารพี่น้องรักษาชายแดนให้ดี”
เหลยชวนคือคนสนิทคนที่สองของนาง เหมือนหานเป้า เป็นมือขวาของนาง
“พ่ะย่ะค่ะ! แต่ท่านแม่ทัพ ท่านจะยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่ในใจของกระผมเสมอ”
“เจ้าไปเถิด อุตส่าห์ได้กลับมาเมืองหลวงทั้งที ควรจะไปพบภรรยาและบุตรของเจ้าบ้าง”
เมื่อกล่าวถึงภรรยาและบุตร ดวงตาของหานเป้าก็เต็มไปด้วยความลึกวึ้ง “ขอบพระคุณท่านแม่ทัพ!”
สวี่จิ้งยางอายุน้อยกว่าเขา แต่สามารถควบคุมทั้งเขาและเหลยชวนได้ ไม่ได้อาศัยเพียงแค่ฝีมือการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการซื้อใจคนด้วย
เหลยชวนไม่มีครอบครัว แต่หานเป้ามีภรรยาและบุตรที่น่ารักสองคนก่อนที่จะเข้าร่วมกองทัพ
ดังนั้น ทุกสามปีที่ต้องกลับมาเมืองหลวงเพื่อรายงานราชการ สวี่จิ้งยางก็จะอนุญาตให้เขาอยู่ในเมืองหลวงได้นานขึ้นอีกหนึ่งเดือน
ตราบใดที่ฮ่องเต้ไม่ตรวจสอบ นางก็จะมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป
หานเป้ารู้ว่าตนเองได้รับความเมตตา จึงยิ่งภักดีต่อนางมากขึ้น
องค์หญิงใหญ่นั่งอยู่ครู่หนึ่ง รอจนสวี่โหรวเจิงก้มกราบไปสามสิบกว่าครั้งจนสลบไป จึงค่อยจากไป
สวี่จิ้งยางไปส่งพร้อมกับพ่อแม่
ก่อนจากไป องค์หญิงใหญ่กล่าวกับสวี่จิ้งยางอย่างมีความหมายแฝง “หากมีเรื่องเดือดร้อน ก็มาหาข้าได้”
เมื่อองค์หญิงใหญ่จากไป คนในครอบครัวก็ไม่มีใครสนใจนางเลย ทุกคนต่างพากันไปดูแลสวี่โหรวเจิง
ฮูหยินสวี่ถึงกับสั่งให้ส่งสวี่โหรวเจิงไปที่เรือนใหญ่ นางจะดูแลเอง
เห็นได้ชัดว่ารักและห่วงใยมาก ราวกับเป็นเนื้อในอกของนางเอง
สวี่จิ้งยางไม่รีบร้อน นำจู๋อิ่งไปยังเรือนที่นางเคยอยู่
เรือนบุปผาที่นางเคยอยู่เมื่ออายุสิบสี่ปี ตอนนี้กลายเป็นที่อยู่ของสวี่โหรวเจิงไปแล้ว
สำหรับเรื่องนี้ สวี่จิ้งยางมีเพียงคำเดียว——
“จู๋อิ่ง สิ่งที่ควรทุบก็ทุบไป สิ่งที่ควรทิ้งก็ทิ้งไป อีกหนึ่งชั่วยาม ข้าต้องการพักผ่อน”
