บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

สวี่จิ้งยางหยิบจดหมายลับฉบับหนึ่งออกจากแขนเสื้อ อ่านทบทวนแล้วก็รู้สึกสบายใจ

“ข้าจะลงจากรถที่นี่ ส่วนเจ้า ก็นั่งรถม้าตามไปรอข้าที่หน้าประตูเมือง”

ร่างของนางคลุมด้วยเสื้อคลุมยาวสีครามปักลายหงส์ ภายในสวมชุดกระโปรงสีขาวนวลเย็นตา

ก้าวเดินฝ่าพายุหิมะ ลมพัดมาคมกริบราวมีด แต่สวี่จิ้งยางยังคงยืนหลังตรงมั่นคง ก้าวเดินอย่างหนักแน่น

นางมีเป้าหมายเดียวเท่านั้น——

จะไม่ยอมให้เกียรติยศทางทหารที่นางสร้างขึ้นมาด้วยมือของนางเอง ต้องตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นอีก

พวกกาฝากไร้หัวใจแห่งตระกูลสวี่นี้ กินของนางไปก็ต้องคายออกมา เอาของนางไปก็ต้องคืนกลับเป็นสองเท่า แถมยังต้องชดใช้ด้วยชีวิต!

ครานี้ นางจะสร้างทางรอดให้แก่ตนเอง

“คุณหนู รอข้าด้วยเจ้าค่ะ!” จู๋อิ่งกอดห่อผ้าไม่กี่ชิ้นของพวกนาง กระโดดลงจากรถม้าทันที

นางรีบจ่ายค่าเช่ารถม้าให้คนขับ แล้วก็รีบตามสวี่จิ้งยางไป

แต่กลับเห็นสวี่จิ้งยางก้าวเดินไปคุกเข่าไป จู๋อิ่งตกใจ “คุณหนู ท่านทำอะไรเจ้าคะ...”

“ข้าจะนำวิญญาณของพี่ชายกลับบ้าน ต้องก้มกราบทุกย่างก้าว เจ้าจงไปตามรถม้ากลับมาเถิด”

“บ่าวขออยู่กับคุณหนูเจ้าค่ะ” จู๋อิ่งเลียนแบบสวี่จิ้งยาง คุกเข่าลงแล้วก้มกราบ

สวี่จิ้งยางมองนางแวบหนึ่ง ก็รู้ว่านี่เป็นสาวใช้ที่ซื่อสัตย์

จู๋อิ่งเกือบถูกบิดาขายเข้าหอนางโลม สวี่จิ้งยางได้ช่วยนางไว้ก่อนที่นางจะกระโดดกำแพงฆ่าตัวตาย

เด็กสาวผู้นี้จึงติดตามนางมาอย่างซื่อสัตย์ตลอดทาง

เมื่อมีจู๋อิ่งอยู่ข้างกาย สวี่จิ้งยางก็ไม่ถือว่าโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง

นางคิดไว้แล้วว่า การกลับไปครานี้ นางไม่อาจรีบร้อนยอมรับว่าตนเองคือแม่ทัพเทพยุทธ์ มิฉะนั้นจะต้องประสบภัยถึงชีวิตเป็นแน่

แต่ทว่า ฐานะน้องสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพเทพยุทธ์ นางจะไม่มีวันยอมยกให้สวี่โหรวเจิงเป็นอันขาด

ท่านชางผิงโหวมีอำนาจและอิทธิพลมากในราชสำนัก มิฉะนั้นตระกูลสวี่ก็คงไม่อาจผูกสัมพันธ์กับฮูหยินชางผิงโหวได้

หากสวี่จิ้งยางต้องการยืนยันว่าตนเองคือน้องสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพเทพยุทธ์ นางก็ต้องการผู้ที่มีอำนาจสูงกว่าท่านชางผิงโหวมาสนับสนุนนาง

เพียงจดหมายลับฉบับนั้นยังไม่พอ นางยังต้องการคนมาช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

หากนางจำไม่ผิด ชาติที่แล้วเมื่อนางกลับบ้าน นางเคยพบรถม้าคันหนึ่งติดอยู่ในโคลนหิมะนอกเมืองหลวง

นางยื่นมือเข้าช่วยในตอนนั้น โดยไม่สนใจคำขอบคุณของอีกฝ่าย รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ภายหลังจึงได้รู้ว่าภายในรถม้านั้นมีบุคคลสำคัญนั่งอยู่

ท่ามกลางพายุหิมะ สวี่จิ้งยางก้าวเดินไปคุกเข่าก้มกราบไป มุ่งหน้าไปยังเมองหลวง

ระหว่างทางพบโรงน้ำชาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมถนนหลวง เจ้าของร้านชะโงกหน้าออกมามอง รู้สึกแปลกใจ

“แม่นางทั้งสอง อากาศข้างนอกหนาวเหน็บ เหตุใดจึงมาคุกเข่าอยู่ที่นี่?”

สวี่จิ้งยางไม่พูดอะไร มีเพียงจู๋อิ่งที่สะอื้นฮักๆ

“พี่ชายของคุณหนูของพวกเราเสียชีวิตแล้ว ร่างกายไม่เหลือแม้แต่กระดูก ท่านพระผู้เฒ่ากล่าวว่า มีเพียงผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันเท่านั้นที่สามารถนำวิญญาณของท่านกลับบ้านได้ โดยการกอดเสื้อผ้าของท่าน แล้วก้มกราบทุกย่างก้าว เพื่อสร้างสุสานเสื้อผ้าให้ท่าน”

เจ้าของร้านเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสงสารอย่างมาก

“ข้าจะนำชาร้อนมาให้พวกท่านเดี๋ยวนี้ รอสักครู่เถิด”

แต่ทว่า เมื่อเจ้าของร้านกลับมาอีกครั้ง ร่างของสวี่จิ้งยางก็ได้จากไปไกลแล้ว

“คุณหนู ข้างหน้าคือประตูเมืองทางเหนือของเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ” จู๋อิ่งกล่าวด้วยความยินดี

ดวงตาที่ดำสนิทและสงบนิ่งของสวี่จิ้งยาง มองเห็นรถม้าบุผ้าสีเรียบๆ คันหนึ่งจอดอยู่ข้างสะพานโค้งไม่ไกลออกไป

องครักษ์หลายคนพร้อมด้วยสาวใช้กำลังหาวิธีแก้ไขปัญหาอยู่

นางหันกลับมา แล้วก้มกราบเดินหน้าต่อไป

ผู้ที่อยู่ในรถม้าสังเกตเห็นนางอย่างรวดเร็ว

ยังมองไม่นาน ร่างของหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ในหิมะก็พลันสั่นไหว แล้วก็ล้มลง หมดสติไป

จู๋อิ่งตกใจจนร้องไห้ “คุณหนู คุณหนู! อย่าทำให้บ่าวตกใจเลยเจ้าค่ะ!”

“แม่นมจาง” มือที่สวยงามที่กำลังเปิดม่านรถม้าหยุดชะงัก เสียงอันสง่างามก็ดังออกมา “ไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

แม่นมจางรีบเดินเข้าไปหาจู๋อิ่ง ดวงตาที่สวยงามในรถม้ามองดูด้วยความห่วงใย

ไม่นาน แม่นมจางก็กลับมาที่รถม้า “องค์หญิงใหญ่ แม่นางที่สลบไปนั้น แท้จริงแล้วคือน้องสาวแท้ๆ ของแม่ทัพเทพยุทธ์!”

“อะไรนะ?” องค์หญิงใหญ่ตกใจ

คุณหนูใหญ่ตระกูลสวี่มีน้อยคนนักที่จะได้เห็นหน้าตา

เหตุใดจึงมาคุกเข่าทุกย่างก้าวอยู่ในหิมะเช่นนี้?

แม่นมจาง “สาวใช้ของนางกล่าวว่า คุณหนูสวี่นำของที่ระลึกของท่านแม่ทัพกลับเมืองหลวง ได้รับคำแนะนำจากพระผู้เฒ่าว่าต้องก้มกราบทุกย่างก้าวเท่านั้น จึงจะสามารถนำวิญญาณของท่านแม่ทัพกลับบ้าน เพื่อสร้างสุสานเสื้อผ้าให้ท่าน แต่โชคร้ายที่เจอพายุหิมะ บ่าวว่านางสลบไปคงเพราะความหนาวเย็นเจ้าค่ะ”

องค์หญิงใหญ่ไม่ลังเล “รีบให้คนยกนางขึ้นรถมาเดี๋ยวนี้”

กล่าวจบ นางก็เรียกแม่นมจางไว้ แล้วลดเสียงลง

“เจ้าจงส่งคนไปอีกคน ไปสืบถามตามทางว่านางมาจากทิศทางใด”

แม่นมจางก็ไป

ไม่นาน สวี่จิ้งยางก็ถูกนำขึ้นรถม้า

นางหลับตาอยู่ รู้สึกถึงเตาอุ่นมือที่ถูกวางไว้ในอ้อมแขนของนาง

ยังมีสาวใช้ป้อนน้ำขิงร้อนให้นาง และหุ่มผ้าห่มให้นาง

องค์หญิงใหญ่อาจจะกำลังสำรวจนางอยู่ ไม่นานเสียงก็ดังขึ้น “น่าสงสารจริงๆ หนาวจัดถึงเพียงนี้”

สวี่จิ้งยางได้ต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในชายแดนจริงๆ ผิวของนางจึงไม่ละเอียดอ่อนเหมือนหญิงสาวทั่วไป ข้อนิ้วที่เรียวเล็กกลับมีรอยด้านบางๆ จากการจับหอกมานาน

ใบหน้าของนางและจู๋อิ่งแดงก่ำเพราะความหนาวเย็น ดูน่าสมเพช

แม้สวี่จิ้งยางจะหลับตาอยู่ แต่หูของนางก็ได้ยินองค์หญิงใหญ่ถามจู๋อิ่ง

“ในเมื่อคุณหนูของเจ้าเป็นบุตรสาวของตระกูลสวี่ เหตุใดจึงไม่มีบ่าวรับใช้คุ้มกัน?”

“คุณหนูพลัดหลงกับบ่าวรับใช้เจ้าค่ะ”

“คนในตระกูลสวี่ก็ไม่รู้เรื่องหรือ? ถึงกับไม่มีคนมาต้อนรับที่หน้าประตูเมือง”

“คุณหนูบอกว่า ท่านแม่ทัพใหญ่เสียชีวิต ทั้งครอบครัวโศกเศร้า คงไม่มีกระจิตกระใจมาสนใจทางนี้เจ้าค่ะ”

จู๋อิ่งกล่าวตามที่สวี่จิ้งยางสอนไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมด

เมื่อกล่าวถึงการเสียชีวิตของท่านแม่ทัพใหญ่ องค์หญิงใหญ่ก็ถอนหายใจยาว

สวี่จิ้งยางรู้ดีว่า องค์หญิงใหญ่กำลังรอให้คนของนางไปตรวจสอบความจริงของตนเอง

หากจะกล่าวถึงผู้ที่ต้องการตอบแทนและรู้สึกขอบคุณแม่ทัพเทพยุทธ์มากที่สุด ก็คงจะไม่มีใครเกินฮ่องเต้และองค์หญิงใหญ่ในปัจจุบัน

ในอดีตแคว้นต้าเยียนอ่อนแอ ถูกแวดล้อมด้วยแคว้นที่แข็งแกร่ง

เพื่อรักษาความสงบสุข พี่น้องทั้งสองเลยถูกส่งไปเป็นองค์ประกันที่แคว้นศัตรูตั้งแต่เด็ก ใช้ชีวิตอย่างอัปยศอดสูยิ่งกว่าหมูหมา

แม่ทัพเทพยุทธ์ได้เอาชนะแคว้นศัตรู บังคับให้กษัตริย์ของพวกเขาโกนผมฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นการแก้แค้นที่สะใจยิ่งนัก

อย่างที่คาดไว้ ไม่นาน แม่นมจางก็เข้ามาในรถม้า กระซิบกับองค์หญิงใหญ่สองสามคำ

หลังจากนั้น องค์หญิงใหญ่ก็พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น น้ำตาไหลริน

“เด็กคนนี้ กลับมาจากที่ไกลแสนไกลเพียงลำพัง ในหิมะหนาวเหน็บเช่นนี้ หากเป็นอะไรไปจะทำอย่างไร?”

องค์หญิงใหญ่กล่าวทันที “ส่งกลับไปที่จวนองค์หญิงใหญ่ แล้วนำป้ายของข้า เข้าวังไปเชิญหมอหลวงมาตรวจรักษาคุณหนูสวี่ให้ดี”

รถม้าสั่นสะเทือน สวี่จิ้งยางก็ตื่นขึ้นมาได้จังหวะพอดี

“แค่กๆ...” สวี่จิ้งยางลืมตาขึ้น

จู๋อิ่งรีบกล่าว “คุณหนู ท่านตื่นแล้ว องค์หญิงใหญ่ช่วยท่านไว้ และยังบอกว่าจะเชิญหมอหลวงมาให้ท่านด้วยเจ้าค่ะ”

สวี่จิ้งยางมองไปยังองค์หญิงใหญ่ นางอายุเกือบห้าสิบปี ใบหน้างดงามและสง่าง

ตอนนี้กำลังมองสวี่จิ้งยางด้วยความสงสาร และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เข่าของเจ้าโดนหิมะอมจนหนาวแรงเกินไป ไม่สามารถเดินต่อไปได้แล้ว ต้องพักรักษาตัวก่อน ข้าจะพาเจ้ากลับจวนองค์หญิงใหญ่ เพื่อรักษาให้หายดี”

สวี่จิ้งยางก้มหน้าลง เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียว

“ขอบพระคุณองค์หญิงใหญ่ที่ทรงเข้าใจ แต่ข้ากับคนรับใช้พลัดพรากกันมาหลายวันแล้ว เกรงว่าทางบ้านจะร้อนใจ อยากจะรีบนำเสื้อผ้าของพี่ชายกลับไป”

องค์หญิงใหญ่แสดงสีหน้าเข้าใจ “เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปถึงบ้าน”

สวี่จิ้งยางไม่ปฏิเสธ

รถม้าแล่นเข้าสู่เมือง ม่านรถสั่นไหวเบาๆ นางเห็นธงขาวแขวนอยู่ทั่วเมือง ดูขาวโพลนไปหมด

ชาติที่แล้วก็เช่นกัน ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้ทั่วแคว้นไว้ทุกข์ ห้ามจัดงานรื่นเริง ต้องไว้ทุกข์ให้แม่ทัพเทพยุทธ์เป็นเวลาสามเดือน เพื่อปลอบโยนดวงวิญญาณของท่าน

เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงเสียดายและเสียใจเช่นนี้ ตระกูลสวี่จึงได้รับการแต่งตั้งยศศักดิ์อย่างต่อเนื่อง

ดวงตาของสวี่จิ้งยางดำสนิท มองไปยังธงขาวที่ปลิวไสว นางคิดว่า ชาตินี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่มีวันยอมให้เกียรติยศนี้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นเป็นอันขาด

รถม้าแล่นเข้าสู่ตรอก มาถึงหน้าประตูจวนสวี่ ซึ่งก็แขวนโคมไฟสีขาวสองดวงเช่นกัน

ป้ายชื่อจวนใต้ชายคาได้เปลี่ยนเป็นคำว่า “จวนเวยกั๋วกง” สี่ตัวอักษรสีทองอร่าม ดูโดดเด่นท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน

สวี่จิ้งยางให้จู๋อิ่งไปเรียกประตู โดยมีแม่นมจางตามไปด้วย

คนเฝ้าประตูเปิดประตูออกมา มองพวกนางด้วยความสงสัย “มีธุระอะไร?”

จู๋อิ่ง “คุณหนูกลับมาแล้ว รีบไปแจ้งและฮูหยินเถิด”

คนเฝ้าประตูตกตะลึง แล้วก็ตะคอกกลับไป

“อีพวกหลอกลวง คุณหนูของพวกเรากลับมาตั้งแต่เช้าแล้ว! ตอนนี้กำลังนั่งดื่มชากับท่านฮูหยินและอยู่เลย”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel