บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

ณ ศาลาอำลาที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง มีเสาไม้สูงตระหง่านต้นหนึ่ง บนนั้นผูกร่างคนหนึ่งไว้แน่นหนาเป็นเวลาสามวันแล้ว

นางมีเรือนผมที่ยุ่งเหยิงและส่งกลิ่นเหม็นสาบ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ขาดวิ่นจนไม่อาจมองออกได้เลยว่านางคือคุณหนูแห่งจวนแม่ทัพ

เม็ดเหงื่อไหลรินตามสันจมูกของสวี่จิ้งยาง นางลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง

“น้ำ...น้ำ...” นางเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือไปยังฝูงชนที่มุงดูอยู่ด้านล่าง

แต่แม้จะพยายามตะโกนสุดกำลัง เสียงที่ออกมาก็เป็นเพียงเสียงแผ่วเบาเท่านั้น

เพราะนางถูกน้องชายแท้ๆ ป้อนยาใบ้ไปเสียแล้ว จึงไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้เลย

ทันใดนั้น ลูกธนูสั้นที่ทู่แล้วดอกหนึ่งก็พุ่งเข้าหานาง ปักเข้ากลางท้องของสวี่จิ้งยางพอดี

นางเจ็บจนครางออกมา เลือดใหม่ก็ทะลักออกมาจากมุมปาก

เมื่อชาวบ้านเห็นชายหนุ่มผู้สวมอาภรณ์แพรพรรณขี่ม้าพร้อมธนู ต่างก็พากันหลีกทางให้

“สวี่จิ้งยาง เจ้าร้ายกาจดั่งสัตว์นรก พ่อกับแม่ถูกเจ้าทำให้โกรธจนกระอักเลือด พี่โหรวดูแลหลายวันจนเหนื่อยเป็นลมไปหลายครั้ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า ทำไมเจ้ายังไม่ตาย?!”

ผู้มาเยือนคือน้องชายแท้ๆ ของสวี่จิ้งยาง นามว่าสวี่หมิงเจิน

เขามองไปยังชาวบ้านรอบข้าง “ทุกท่าน ผู้นี้เคยเป็นพี่สาวของข้า นางมีสุขภาพไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่จึงเลี้ยงดูนางอยู่ที่เรือนชนบทอย่างสุขสบาย แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อกลับมายังเมืองหลวงแล้ว นิสัยของนางกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง”

“ไม่เพียงแต่พูดจาเหลวไหล อ้างว่าตนเองคือท่านแม่ทัพเทพยุทธ์ พี่ชายคนโตของข้าผู้ล่วงลับคนนั้น แต่นางยังกล้าที่จะโกหกองค์หญิงใหญ่ในงานเลี้ยงวันเกิดของมารดาข้า โดยกล่าวว่าตนเองปลอมตัวเป็นชายเพื่อออกรบแทนบิดา”

“คำพูดเพียงไม่กี่คำของนาง ก็ทำให้พี่ชายคนโตของข้าผู้เสียชีวิตในสนามรบ กลายเป็นสตรีผู้ไม่เหมาะสม ทำลายเกียรติยศที่เขาสั่งสมมาเพื่อราชสำนักและแคว้นต้าเยียนของพวกเราจนหมดสิ้น พวกท่านว่านางคู่ควรหรือไม่?!”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่นางแอบอ้างเป็นแม่ทัพเทพยุทธ์ ชาวบ้านที่เมื่อครู่ยังคงดูเหตุการณ์อยู่ก็พลันโกรธแค้นขึ้นมาทันที

แม่ทัพเทพยุทธ์คือใคร?

นั่นคือเทพสงครามผู้ไม่เคยพ่ายแพ้เพียงหนึ่งเดียวแห่งแคว้นต้าเยียน ผู้ไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียวจากการรบยี่สิบเก้าครั้งในตลอดชีวิตของเขา

สวี่จิ้งยางอยากจะอธิบาย แต่นางไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้เลย

สิบปีก่อน บิดาขาหัก แต่กลับถูกเรียกตัวให้ออกไปออกรบที่ชายแดน

นางตัดสินใจปลอมตัวเป็นชายออกรบแทนบิดาอย่างไม่ลังเลใจ ในตอนนั้นนางอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น

อายุสิบห้าปี นำทัพม้าหนึ่งร้อยนายเข้าโจมตีค่ายข้าศึกอย่างไม่คาดฝัน เผาเสบียงอาหาร และคลายวงล้อมที่ชายแดน

อายุสิบแปดปี ตัดหัวแม่ทัพข้าศึกกลางสมรภูมิ ทำลายทัพข้าศึกอย่างราบคาบ และยึดดินแดนที่เสียไปกลับคืนมาได้

อายุยี่สิบปี บัญชาการทัพสามแสนนาย ปราบปรามกบฏทางเหนือ และสร้างความเกรงขามแก่ชนเผ่าป่าเถื่อน

อายุยี่สิบสามปี นำทัพบุกขึ้นเหนือ ยึดเมืองได้สิบสองเมืองติดต่อกัน จับกุมกษัตริย์ของแคว้นข้าศึกได้ทั้งเป็น บังคับให้เขากล้อนผมปลิดชีพตนเอง เพื่อแก้แค้นที่ฮ่องเต้เคยถูกดูหมิ่นในฐานะองค์ประกันเมื่อครั้งอดีต และได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่เทพยุทธ์ผู้เกรียงไกร!

หลังสงครามสงบลง นางกลัวว่าเรื่องที่ปลอมตัวเป็นชายจะถูกเปิดเผย จึงจำต้องแกล้งตาย กลับมายังเมืองหลวงในร่างสตรี โดยคิดว่าจะได้กลับมารวมญาติกับครอบครัว

แต่ใครจะรู้ว่าครอบครัวกลับกลัวว่าจะถูกนางลากเข้าสู่หายนะ จึงได้เลี้ยงดูบุตรสาวคนใหม่ขึ้นมาแล้ว ใช้ฐานะของนาง ใช้ชื่อของนางด้วย

ในตอนแรกนางไม่เข้าใจ แต่บิดากล่าวว่า การที่นางปลอมตัวเป็นชายไปเป็นทหารนั้นเป็นความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้ หากถูกเปิดเผย จะทำให้ทั้งครอบครัวต้องตาย บุตรสาวของตระกูลสวี่สามารถออกหน้าออกตาได้ แต่จะต้องไม่ใช่นาง

เพื่อเห็นแก่ส่วนรวม สวี่จิ้งยางจึงได้แต่มองดูสวี่โหรวเจิง น้องสาวคนใหม่ สวมรอยใช้ชื่อของนาง อ้างว่าเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพเทพยุทธ์ และเข้าวังเพื่อรับรางวัล

ฮ่องเต้ทรงชดเชยพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่แม่ทัพเทพยุทธ์ไม่เคยได้รับ ให้แก่ตระกูลสวี่ทั้งหมด

ท่านแม่ทัพสวี่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเวยกั๋วกง มีเกียรติยศสืบทอดเก้าชั่วอายุคน; ฮูหยินสวี่ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินเก้ามิ่งชั้นหนึ่ง สวี่โหรวเจิงได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ จากนั้นก็ได้ประทารราชสมรสกับองค์รัชทายาท

แม้แต่น้องชายแท้ๆ อย่างสวี่หมิงเจิน ก็ยังถูกเรียกว่าเทพสงครามตัวน้อย และได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง

มีเพียงสวี่จิ้งยางเท่านั้นที่ไม่มีอะไรเลย พ่อแม่ไม่ยอมให้นางออกหน้าออกตา มิฉะนั้นนางก็จะเป็นคนบาปที่ทำให้ทั้งครอบครัวต้องแบกรับความผิดฐานหลอกลวงฮ่องเต้

แม้ว่านางจะไม่เคยแก่งแย่งชิงดี แต่เมื่อสวี่โหรวเจิงออกไปร่วมงานเลี้ยงของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนาง กลับมาก็ร้องไห้ปวดใจ

“ท่านอ๋องหนิงที่กลับมาจากชายแดน กล่าวว่าข้ากับพี่ชายหน้าตาไม่เหมือนกันเลย ท่านแม่ ข้ากลัวเหลือเกิน หากท่านอ๋องหนิงมาที่บ้านเพื่อไว้อาลัยพี่ชาย แล้วเห็นพี่สาวจิ้งยางเข้า...”

ฮูหยินสวี่ตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที

ไม่ถึงสองวัน พวกเขาก็ต้องการจะส่งสวี่จิ้งยางไปแต่งงานที่โยวโจว ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงนับหมื่นลี้

สวี่จิ้งยางไม่เต็มใจ บิดาจึงบังคับนาง “ครอบครัวที่หาให้เจ้านี้เป็นมหาเศรษฐีในท้องถิ่น เจ้าไม่แต่งงาน หรือว่ายังคงหลงใหลในชื่อเสียงของจวนแม่ทัพในเมืองหลวง?”

สวี่จิ้งยาง “ชื่อเสียงนี้ข้าเป็นผู้สร้างขึ้นมาด้วยมือของข้าเอง”

นางเพิ่งพูดจบ ท่านแม่ทัพสวี่ก็คิดจะลงมือ แต่สวี่จิ้งยางตอบสนองอย่างรวดเร็ว ป้องกันข้อมือที่เขากำลังจะฟาดลงมาได้

ท่านแม่ทัพสวี่ตะโกนด้วยความโกรธ “ลูกอกตัญญู! เจ้าจะหยิ่งผยองอะไรนักหนา? ก็แค่โชคดีได้ออกรบไม่กี่ครั้ง ชนะแล้วก็คิดว่าตัวเองสามารถไม่เคารพพ่อและผู้ใหญ่ได้หรือ? พวกเราตามใจเจ้ามากเกินไปแล้ว!”

“พอแล้ว!” ในช่วงเวลาสำคัญ มารดาเอ่ยขึ้น “จิ้งยางต้องทนทุกข์ทรมานมามากที่ชายแดนหลายปีนี้ พวกเราต่างหากที่ทำไม่ดีกับนาง”

ตั้งแต่นั้นมา มารดาก็ดูแลนางเป็นพิเศษ

และยังจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้นางด้วยความเต็มใจ

ในคืนนั้น แสงเทียนสว่างไสว อบอุ่น สมาชิกในครอบครัวนั่งพร้อมหน้าพร้อมตา ล้อมรอบสวี่จิ้งยางให้นั่งอยู่ตรงกลาง

บิดายิ้มออกมาอย่างยากเย็น มารดาและน้องชายยกจอกเหล้าขึ้น

“จิ้งยาง ที่ผ่านมาเจ้าต้องทนทุกข์ทรมาน” มารดากล่าว “ดื่มเหล้าวันเกิดถ้วยนี้แล้ว จงทิ้งความยากลำบากที่ชายแดนไว้เบื้องหลังเถิด นับจากนี้ไปจงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”

เมื่อมองไปยังน้ำเหล้าสีเหลืองอำพันนั้น และรอยยิ้มอันอบอุ่นของคนในครอบครัว

สวี่จิ้งยางรู้สึกเจ็บจมูก น้ำตาคลอเบ้า

แต่ทว่า นางไม่คาดคิดเลยว่า—

พวกเขาจะใช้ความรักความผูกพันในครอบครัวที่นางปรารถนามากที่สุดมาหลอกลวงนาง ในเหล้ากลับมียาคลายกระดูก

เมื่อนางล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง ก็มองเห็นพ่อแม่และน้องชายแท้ๆ ยืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองนางด้วยสายตาที่น่ากลัว

สวี่จิ้งยางพยายามต่อต้านสุดกำลัง แต่ร่างกายกลับอ่อนปวกเปียกราวกับสำลี ทำได้เพียงมองดูสวี่หมิงเจินบีบนิ้วมือนาง

“ท่านแม่ ท่านแม่...” นางเรียกหาอย่างอ่อนแรงและร้อนรน

มารดาร้องไห้ หันหลังกลับไป เสียงของนางเด็ดเดี่ยว “จิ้งยาง การหักนิ้วของเจ้า ก็เพื่อไม่ให้เจ้าเปิดเผยวิชาฝีมือจนถูกสงสัยในภายหลัง นี่คือการช่วยชีวิตเจ้า”

จนกระทั่งถึงวันเกิดของมารดา องค์หญิงใหญ่เสด็จมาให้เกียรติ สวี่จิ้งยางหลุดจากการควบคุมของสาวใช้ คุกเข่าต่อหน้าองค์หญิงใหญ่ สารภาพว่าตนเองคือแม่ทัพเทพยุทธ์ และต้องการขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงใหญ่

แต่นางกลับถูกมองว่าเป็นคนบ้า คนโง่ ทำให้องค์หญิงใหญ่ตกใจไม่น้อย

ท่านพ่อสั่งให้คนลากนางออกไปทันที

กลัวว่านางจะพูดจาเหลวไหลอีก สวี่หมิงเจินจึงกรอกยาใบ้ให้นางอย่างโหดเหี้ยม

“เจ้าคือส่วนเกินในบ้าน นับตั้งแต่เจ้ากลับมา พี่สาวโหรวก็ต้องหวาดระแวงทุกวัน!”

ยาใบ้ร้ายแรงยิ่งกว่ายาพิษ เผาผลาญลำคอราวกับไฟ

สวี่จิ้งยางเจ็บปวดจนกลิ้งไปมาบนพื้น แต่บิดากลับกล่าวอย่างเย็นชา “จับนางไปผูกไว้ที่เสาธงนอกเมือง แล้วบอกว่านางเสียสติ ทำร้ายแม่แท้ๆ ของตัวเอง”

นางถูกผูกไว้ที่เสาเป็นเวลาสามวันสามคืน ไม่มีใครมาเยี่ยมนางเลย

นางทำผิดอะไรกันแน่?

บิดาขาหัก ไม่รับราชโองการก็ตาย ออกรบก็ตาย นางเพื่อรักษาบิดา จึงยอมปลอมตัวเป็นชาย ออกรบแทนบิดา! นางผิดหรือ?

ไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องเดือดร้อน นางจึงยินดีที่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ไม่เคยแย่งชิงสิ่งใดจากสวี่โหรวเจิง นางสมควรตายหรือ?

เกียรติยศทางทหารเก้าชั่วอายุคนที่นางสร้างขึ้นมาด้วยมือของนางเอง เกียรติยศที่นางแลกมาด้วยชีวิตเพื่อตระกูลสวี่ กลับกลายเป็นสิ่งที่จะปลิดชีพนาง!

สวี่จิ้งยางพลันโกรธจัดจนลมปราณตีกลับ อ้วกเป็นเลือดสดๆ ออกมา

สามวันมานี้นางไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว เมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากชุ่มชื้นอีกครั้ง กลับเป็นเลือดของนางเองที่เปื้อนอยู่

ในเวลานั้น นางก็พลันเข้าใจ

สิ่งที่นางไม่ควรทำที่สุด ก็คือการปกปิดชื่อเสียงเรียงนาม มอบเกียรติยศทางทหารที่นางสร้างขึ้นมาด้วยมือของนางเอง ให้แก่พวกคนใจบาปเหล่านี้

สวี่จิ้งยางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ภายใต้เรือนผมที่สกปรก ใบหน้าบวมช้ำเขียวคล้ำ มองไปยังดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงเจิดจ้า

ในใจของนางเต็มไปด้วยความเสียใจและไม่ยอมแพ้ เหงื่อไหลจากขนตาเข้าสู่ดวงตาของนาง ทำให้รู้สึกเจ็บปวด นางจึงหลับตาลง

...

“คุณหนู คุณหนู?” เสียงของจู๋อิ่งดังขึ้นข้างหู

สวี่จิ้งยางดึงสายตากลับมาจากตะเกียงที่จ้องมองอยู่บนโต๊ะ

นางกลับมาเกิดใหม่ได้สามวันแล้ว มักจะนึกถึงความทุกข์ทรมานในชาติที่แล้วเสมอ

สวี่จิ้งยางกดขมับ “ถึงไหนแล้ว?”

“ถึงชานเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ อีกประมาณหนึ่งชั่วยามก็จะเข้าเมืองหลวงได้แล้ว คุณหนูจะได้พบกับครอบครัวแล้วเจ้าค่ะ”

จู๋อิ่งยิ้มแย้มยินดีกับสวี่จิ้งยาง

ในตอนนี้ นางเพิ่งจะแกล้งตายกลับมาจากชายแดนในร่างสตรี จู๋อิ่งเป็นเด็กสาวน่าสงสารที่นางซื้อมากลางทาง ไม่รู้เรื่องราวในชาติที่แล้วของนาง

สวี่จิ้งยางไม่พูดอะไร เปิดม่านมองออกไปข้างนอก ลมหนาวพัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ในชาติที่แล้ว วันที่นางกลับบ้าน ข่าวการเสียชีวิตของแม่ทัพเทพยุทธ์ในสนามรบได้แพร่กระจายไปถึงเมืองหลวงแล้ว

สามีภรรยาสวี่เชิญฮูหยินชางผิงโหวมาเป็นแขกที่บ้าน แนะนำสวี่โหรวเจิงให้รู้จัก และกล่าวว่าสวี่โหรวเจิงเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพเทพยุทธ์

เมื่อสวี่จิ้งยางมาถึงบ้าน สวี่โหรวเจิงก็ได้พบกับฮูหยินชางผิงโหวเรียบร้อยแล้ว

คนในครอบครัวรีบให้นางหลบซ่อน สวี่จิ้งยางทำตาม นั่นจึงทำให้นางต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ราวกับหนูในภายหลัง!

เดิมทีนางตั้งใจจะเดินทางถึงเมืองหลวงเมื่อวานนี้ แต่กลับเจอหิมะตกหนัก ทำให้รถม้าเดินทางลำบากมาก

และเมื่อคำนวณเวลาดู ตอนนี้ฮูหยินชางผิงโหวก็คงจะมาถึงแล้ว สวี่จิ้งยางยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงเมืองหลวง ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไรก็ไม่ทัน

เมื่อนึกถึงชีวิตที่ถูกแย่งชิงไป ฐานะที่ถูกช่วงชิงไป ชาตินี้ยังจะต้องเป็นเช่นนี้อีกหรือ?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel