บทที่ 11
ครั้นทราบว่าสวี่จิ้งยางมาถึงแล้ว เสียงหัวเราะในเรือนก็พลันเงียบลง
ไม่นานนัก บ่าวรับใช้ก็ออกมานำนางเข้าไปในเรือน
ภายในเรือนอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ มีเตาถ่านชั้นดีจุดอยู่สองเตา
ข้างหน้าต่างแกะสลัก ฮูหยินสวี่และสวี่โหรวเจิงกำลังอิงแอบกัน หยอกเย้าวิหคในกรง
เมื่อสวี่จิ้งยางได้เห็นรูปพรรณสัณฐานของเหยี่ยวหางแดงนั้น ความเย็นชาก็ฉายวาบในดวงตา
ก็คือวิหคตัวนี้นั่นเอง
เหยี่ยวหางแดงที่ยังไม่โตเต็มวัย มีขนาดเพียงเท่าลูกแมว
ทว่ากรงเล็บของมันคมกริบเพียงพอแล้ว ยามที่ข่วนคน มันจะฉีกเนื้อและหนังออกไปพร้อมกัน!
สวี่จิ้งยางเหลือบมองบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างกรงอย่างเงียบเชียบ
เป็นหญิงรับใช้ที่ดูไม่สะดุดตา นางก้มหน้าลง ในมือที่ประสานกันดูราวกับกำนกหวีดไว้
“เจ้ามาทำไม”
ฮูหยินสวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ช่วงนี้ในจวนมีงานยุ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องมาน้อมทัก”
สวี่จิ้งยางหันไปมองนาง “ท่านแม่ ข้ากลับจวนมาหลายวันแล้ว ไฉนจึงไม่เห็นแม่นมหลิวเล่า”
เมื่อครั้งฮูหยินสวี่ให้กำเนิดนาง ก็โยนนางให้แม่นมเลี้ยงดูโดยไม่ไยดี
แม่นมหลิวปฏิบัติต่อสวี่จิ้งยางประดุจบุตรในอุทร
ฮูหยินสวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
แม่นมชิงเดินเข้ามาส่งชาให้นาง เมื่อเดินผ่านสวี่จิ้งยาง ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
“นางอายุมากแล้ว เมื่อหลายปีก่อนได้ส่งนางกลับบ้านเกิดไปแล้ว” ฮูหยินสวี่กล่าว
“แม่นมหลิวอายุเพียงแค่ห้าสิบปี เท่ากับแม่นมชิงพอดี ลูกอยากให้นางกลับมารับใช้ลูก”
ฮูหยินสวี่ขมวดคิ้วทันที “เจ้าจำเป็นต้องสร้างความวุ่นวายในยามนี้หรือ ไฉนเลยจะมีธรรมเนียมรับบ่าวที่ส่งออกไปแล้วกลับเข้ามาอีกเล่า”
สวี่โหรวเจิงก็ก้าวเข้ามาปลอบโยน “พี่หญิงใหญ่คิดว่าคนรับใช้ในเรือนไม่เพียงพอหรือเจ้าคะ ช่วงนี้ในจวนมีเรื่องยุ่งเหยิงมากมาย คนก็ไม่พอที่จะจัดสรรให้ พี่หญิงใหญ่โปรดอย่าได้กริ้วเลย”
“ข้ามีสาวใช้ที่ฉลาดปราดเปรื่องอยู่สองสามคน จะให้พวกนางไปปรนนิบัติพี่หญิงใหญ่ก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”
คนเหล่านั้น เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งถูกสวี่จิ้งยางทำให้ถูกลงโทษโบยตี
หากให้พวกนางมาจริง ก็คงจะหาทางกลั่นแกล้งไม่สิ้นสุด
สวี่จิ้งยางเปลี่ยนเรื่องทันควัน “ไม่จำเป็น เรื่องของแม่นมหลิวจะพักไว้ก่อนก็ได้”
ฮูหยินสวี่และสวี่โหรวเจิงต่างประหลาดใจเล็กน้อย
นางช่างพูดง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
สวี่จิ้งยางกล่าวขึ้นอีกว่า “ตั้งแต่กลับมาเมืองหลวง ข้ายังมิได้ออกไปไหน ข้าอยากไปคารวะท่านอาจารย์เสวียนหมิง”
เมื่อครั้งสวี่จิ้งยางยังเยาว์วัย เสวียนหมิงเคยถูกว่าจ้างมาเป็นอาจารย์สอนวรยุทธ์ให้นาง จนทำให้นางมีวรยุทธ์ติดตัว
“เจ้าอยากไปก็ไปเถิด”
ฮูหยินสวี่กล่าวอย่างไร้อารมณ์ “แต่บิดาเจ้ากำชับข้าว่า ไม่ให้มอบเงินทองให้เจ้า เกรงว่าเจ้าจะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย”
สวี่จิ้งยางซ่อนรอยยิ้มเย้ยหยันไว้ที่มุมปาก “ไม่จำเป็นต้องใช้เงิน ท่านแม่เพียงแค่สั่งให้คนเตรียมรถม้า ข้าจะไปเยี่ยมอาจารย์แล้วก็กลับมา”
ไม่ต้องการเงินทอง ก็ง่ายที่จะพูดคุย
ฮูหยินสวี่สั่งให้แม่นมชิงไปแจ้งคนดูแลโรงม้า
สวี่จิ้งยางเห็นว่าเรื่องสำเร็จแล้ว ก็เตรียมจะจากไป
“พี่หญิงใหญ่” สวี่โหรวเจิงเรียกนางไว้ พลางถอดเสื้อคลุมของตนยื่นให้นาง “ข้างนอกลมแรง ท่านเอาเสื้อคลุมของข้าไปคลุมก่อนเถิด อย่าให้หนาวสั่นเลย”
สวี่จิ้งยางปัดมือของนางออกเบาๆ “ข้าเคยชินกับการใช้ของของตนเองเท่านั้น”
กล่าวจบ ก็ออกจากเรือนหลักไป
สวี่โหรวเจิงนั่งกลับไปข้างฮูหยินสวี่ด้วยสีหน้าหม่นหมอง “พี่หญิงใหญ่ยังคงไม่ยอมรับข้า”
“เจ้าจะไปสนใจนางทำไม นางเป็นคนใจแข็ง”
“แต่ท่านแม่เจ้าคะ จะปล่อยให้พี่หญิงใหญ่ไปข้างนอกตามลำพังเช่นนี้หรือ จะไม่ส่งคนตามไปสักคนหรือ”
“ไม่จำเป็น เสวียนหมิงที่นางกล่าวถึงเป็นพระนักรบสูงวัย ได้เปิดสำนักฝึกยุทธ์ในเมืองหลวง สอนแต่พวกคนชั้นต่ำ นางอยากไปก็ปล่อยนางไป อีกทั้งยังมีคนขับรถม้าคอยจับตาดูอยู่ จะไม่เกิดเรื่องอันใดหรอก”
ทุกสิ่งล้วนอยู่ในความควบคุมของนาง
สวี่จิ้งยางนั่งอยู่ในรถม้า มุ่งหน้าไปยังตัวเมือง
หากไม่ใช่เพราะการออกจากจวนต้องแจ้งให้ฮูหยินทราบ นางก็คงจะไม่ไปพบฮูหยินสวี่ในวันนี้
แต่สวี่จิ้งยางเดาได้ว่า หากนางขอออกไปข้างนอกตรงๆ ฮูหยินสวี่คงไม่ยอม
ดังนั้น นางจึงกล่าวถึงเรื่องแม่นมหลิวขึ้นมาก่อน
เมื่อสามปีก่อน ตอนที่สวี่จิ้งยางยังอยู่ที่ชายแดน นางก็ได้ยินหานเป้ากล่าวว่า การกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ เขาไม่เห็นแม่นมหลิว ได้ยินว่าคนในจวนสวี่ส่งนางออกไปแล้ว
สวี่จิ้งยางไม่ทราบว่าส่งไปที่ใด ตอนนั้นนางยุ่งอยู่กับการศึกสงคราม จึงไม่มีเวลาไปสืบหา
มาคิดดูตอนนี้ การที่ตระกูลสวี่ส่งแม่นมหลิวออกไป ก็เพราะนางทราบเรื่องที่สวี่จิ้งยางปลอมตัวเป็นชายไปเป็นทหาร
เพื่อรักษาความลับนี้ พวกเขาจึงไม่ยอมให้นางอยู่ต่อ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้นางกลับมา
สวี่จิ้งยางจึงเรียกร้องเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจเป็นจริงได้ก่อน แล้วจึงเรียกร้องเรื่องเล็กน้อยคือการออกไปข้างนอก
ฮูหยินสวี่ตอบตกลงอย่างรวดเร็วและง่ายดาย เพียงเพื่อจะปัดนางออกไปให้พ้น
การออกไปข้างนอกคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของสวี่จิ้งยาง ส่วนเรื่องแม่นมหลิว นางจะหาทางสืบหาต่อไป
รถม้าจอดอยู่หน้าสำนักฝึกยุทธ์
ทั้งถนนยังคงมีธงขาวแขวนอยู่ ผู้คนเบาบาง ธุรกิจของสำนักฝึกยุทธ์ก็ซบเซา
คนขับรถม้าผูกม้าไว้ที่ประตู แล้วมองสวี่จิ้งยางพาจู๋อิ่งเข้าไปข้างใน
ที่ลานด้านหน้า พระภิกษุรูปหนึ่งศีรษะโล้น กำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นสน
ท่านอายุราวห้าสิบปี ใบหน้าเปี่ยมด้วยเมตตา
สวี่จิ้งยางเดินเข้าไป “อาจารย์รอง”
เสวียนหมิงลืมตาขึ้น เมื่อเห็นรูปพรรณสัณฐานของนาง ก็ยิ้มออกมา
“แม่หนูยางกลับมาแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ อาจารย์รอง วันนี้ท่านอาจารย์ใหญ่อยู่ที่นี่หรือไม่”
“อยู่ในลานด้านหลัง กำลังสอนศิษย์อยู่ เจ้าไปก็ระวังหน่อย อย่าให้ถูกทำร้ายโดยไม่ตั้งใจ”
กล่าวจบ เสวียนหมิงก็หลับตาลงอีกครั้ง เข้าสู่การนั่งสมาธิ
นี่คือกิจวัตรประจำวันของท่าน สวี่จิ้งยางไม่เคยรบกวนท่านในช่วงเวลานี้
สำนักฝึกยุทธ์แบ่งออกเป็นลานด้านหน้าและลานด้านหลัง
ลานด้านหน้าเป็นที่ที่เสวียนหมิงใช้สอนศิษย์ฝึกวรยุทธ์ ส่วนลานด้านหลังถือเป็นเรือนส่วนตัว ใช้สำหรับอาจารย์ทั้งสองสอนศิษย์ที่มีสถานะพิเศษแบบตัวต่อตัว
เมื่อครั้งสวี่จิ้งยางยังเด็ก นางก็มักจะฝึกวรยุทธ์และต่อสู้กับเสาไม้ในลานด้านหลังของสำนักฝึกยุทธ์
นางเดินตามระเบียงยาวไปยังลานด้านหลัง
ทันทีที่เดินเข้าไปในประตูเรือน ก็รู้สึกถึงลมที่เชี่ยวกรากพุ่งเข้าใส่ใบหน้า!
สวี่จิ้งยางเอียงตัวหลบ ลูกสนลูกหนึ่งก็กระแทกพื้น
นางหันกลับไปมอง เห็นคุณชายตัวน้อยอายุเจ็ดขวบ สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ มีสร้อยคอหยกรูอี้ห้อยอยู่ ดูน่ารักมาก ดวงตาทั้งสองข้างฉายแววซุกซนและมีชีวิตชีวา
เขาเกือบจะทำร้ายสวี่จิ้งยาง แต่ก็ไม่ได้กล่าวขอโทษ กลับแลบลิ้นปลิ้นตาให้นาง จากนั้นก็วิ่งไปทั่ว
บ่าวรับใช้หลายคนวิ่งตามหลังเขาไป พลางร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนก เกรงว่าเขาจะล้มหรือได้รับบาดเจ็บ
“เจ้าเด็กนี่! ข้าบอกไปหลายครั้งแล้วว่าห้ามเล่นหนังสติ๊กในลานด้านหลัง!” ชายชราสวมชุดทะมัดทะแมงวิ่งตามออกมา
ท่านดูมีชีวิตชีวา ใบหน้าเปล่งปลั่ง เสียงตะโกนดังราวกับระฆัง
เมื่อเดินผ่านสวี่จิ้งยาง ท่านก็หยุดชะงักทันที ความโกรธบนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นความยินดี “แม่หนูยาง เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
สวี่จิ้งยางประสานมือคารวะ “ท่านอาจารย์ใหญ่”
ชายชราตรงหน้า คืออาจารย์ที่แท้จริงของนาง—กัวหรง
ท่านมีสถานะที่ไม่ธรรมดา เป็นอดีตผู้สั่งการกองทัพรักษาวัง
เมื่ออายุห้าสิบปี จักรพรรดิองค์ก่อนสวรรคตและจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ท่านก็ลาออกจากตำแหน่ง ด้วยความสัมพันธ์อันดีกับเสวียนหมิง ท่านจึงมักจะมาช่วยงานที่สำนักฝึกยุทธ์ วรยุทธ์ของสวี่จิ้งยางล้วนเรียนรู้มากับท่าน
“เจ้าหาที่นั่งก่อน ข้าจัดการเจ้าเด็กนี่เสร็จแล้วจะมา” กัวหรงกล่าวจบ ก็วิ่งตามคุณชายตัวน้อยไปอย่างรวดเร็ว
ใครจะรู้ว่าเด็กคนนั้นวิ่งซนไปทั่วราวกับลิง
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!” กัวหรงเท้าสะเอวตะโกนเสียงดัง
คุณชายตัวน้อยทำหน้าทะเล้น “อาวุธลับที่ท่านบังคับให้ข้าเรียนรู้ไม่เก่งกาจเลย ยังสู้หนังสติ๊กของข้าไม่ได้”
ทันทีที่เขาพูดจบ ลูกสนลูกหนึ่งก็ “ซู่” พุ่งผ่านหูของเขาไป
คุณชายตัวน้อยหันกลับไปมองด้วยความตกตะลึง เห็นลูกสนนั้นปักเข้ากลางเป้าอย่างแม่นยำ!
เนื่องจากมีแรงมาก มันจึงปักคาอยู่ในเป้า ทำให้เจ้าตัวเล็กมองจนตาค้าง
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังสวี่จิ้งยางผู้ที่ขว้างลูกสน
จากนั้นก็เห็นสวี่จิ้งยางขว้างลูกสนที่เหลืออีกสองลูก “ฉัวะ ฉัวะ” ทั้งสองลูกก็เข้าที่เดิม ทำให้เป้าทะลุ!
กัวหรงปรบมือ สายตาแสดงความชื่นชม “แม่หนูยาง ไม่ได้เจอกันหลายปี ฝีมือพัฒนาขึ้นมากนะ”
สวี่จิ้งยางปัดฝุ่นออกจากนิ้วมือ พลางมองคุณชายตัวน้อยที่เบิกตากว้าง
“วิชาที่ยังเรียนไม่ถึงขั้นย่อมไม่เก่งกาจ หากเรียนรู้จนเชี่ยวชาญแล้ว สิ่งสองในมือของเจ้าก็จะเป็นอาวุธที่ร้ายกาจได้”
คุณชายตัวน้อยรีบวิ่งเข้ามา กอดแขนสวี่จิ้งยางไว้ทันที
“ข้าอยากเรียนวิชานี้ ท่านสอนข้าเถิด!”
