บทที่ 4
ภาคินขับรถมาจนถึงบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านหลังใหญ่ทรงไทยประยุกต์ เนื่องจากบ้านหลังนี้เป็นบ้านผู้ดีเก่าที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่น จึงมีกลิ่นอายคล้ายบ้านในสมัยก่อนอยู่บ้าง ภาคินเกิดและโตที่นี่ แต่นั่นก็เป็นเพียงความทรงจำที่เลือนรางเท่านั้น เนื่องจากเขาย้ายไปอยู่คอนโดตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายแล้ว
“คุณแม่อยู่ไหน?” ภาคินถามสาวใช้ในบ้าน
“คุณผู้หญิงอยู่ที่สวนค่ะ”
หลังได้คำตอบแล้ว ภาคินก็เดินไปยังบริเวณสวนเพื่อไปหาคุณแม่ทันที เขาเดินไปจนถึงสวนก็เห็นใบหน้าคุ้นเคย ใบหน้าที่มีรอยย่นตามอายุ คุณหญิงวิไลลักษณ์ วัชรโยธิน มารดาแท้ ๆ ของภาคิน หรือก็คือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของนายธานีและเป็นนายหญิงของบ้านแห่งนี้
“ผมกลับมาแล้วครับ”
คนที่กำลังตั้งใจตัดแต่งดอกไม้ถึงกับชะงัก หันหน้าไปดูก็เห็นว่าเป็นลูกชายของตน เธอรีบวางกรรไกรแล้วเดินเข้าไปหาทันที
“ตาคิน มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคิดถึง
“มาถึงเมื่อวานครับ”
คุณหญิงวิไลลักษณ์จูงมือภาคินไปยังศาลาเพื่อไถ่ถาม หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายปี เนื่องจากภาคินได้ไปศึกษาอยู่ต่างประเทศตามคำขอร้องของเธอ
“ใจร้ายกับแม่จังเลยนะ เรียนจบตั้งนานแล้วไม่ยอมกลับมาสักที” คุณหญิงวิไลลักษณ์บ่นกับลูกชายตัวดีของเธอ
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่ต้องไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ต่างประเทศกลางคัน ภาคินก็ไม่ยอมกลับมาไทยอีกเลย และไม่ค่อยติดต่อกลับมาหาเธอ อ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา ต้องตั้งใจเรียนอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอเรียนจบปริญญาโทก็หาเหตุผลอยู่ต่อ ว่ารอกลับประเทศไทยพร้อมแฟนสาวที่กำลังคบหาดูใจกันในตอนนั้นก็คือลลิตา
“เป็นยังไงบ้างลูก? แล้วหนูอ้ายล่ะ สบายดีไหม?”
“สบายดีครับ อ้ายฝากของมาให้คุณแม่ด้วย”
ได้ยินอย่างนั้นวิไลลักษณ์ก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ คิดว่าอีกไม่นานพวกเธอคงมีข่าวดี
“เรียนจบแล้วก็แต่งงานได้แล้วสิ แม่ว่าหนูอ้ายก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนะ ถึงจะไม่ใช่ตระกูลผู้ลากมากดีอย่างเรา แต่ก็ร่ำรวยไม่น้อย”
คุณหญิงวิไลลักษณ์เธอเป็นคนหัวสูง เนื่องด้วยตระกูลเธอคือผู้ดีเก่าที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น เธอจะคบค้าสมาคมเฉพาะเหล่าผู้ดีหรือตระกูลร่ำรวยเท่านั้น แล้วคนที่เข้ามาเป็นลูกสะใภ้เธอก็ต้องเป็นตระกูลผู้ดีหรือร่ำรวย ซึ่งลลิตาก็ตรงตามแบบที่เธอต้องการ
อีกอย่างเธอเอ็นดูลลิตาเป็นอย่างมาก เวลาไปร่วมงานเลี้ยงตามสมาคมต่าง ๆ มักจะเห็นลลิตาไปกับมารดาตัวเองตลอด หน้าตาก็น่ารักน่าเอ็นดู ช่างพูดช่างเจรจา ใครเห็นก็รักและเอ็นดูบุตรสาวตระกูลโชติธานนท์ทั้งนั้น
แต่ความฝันนั้นต้องดับลงเพราะถูกภาคินดักไว้เสียก่อน “คุณแม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้แล้วเหรอครับ?”
ภาคินทวงคำสัญญาที่เคยให้ไว้ก่อนที่เขาจะยอมไปเรียนที่ต่างประเทศ ว่าหากเขาเรียนจบตามที่พ่อและแม่ต้องการ หลังจากนั้นจะยอมให้เขาใช้ชีวิตตามแบบของตัวเองบ้าง
ใบหน้าคุณหญิงวิไลลักษณ์เจื่อนลงเล็กน้อย “แม่จะลืมได้ยังไง ก็แค่บ่นตามประสาคนแก่ที่อยากอุ้มหลานเร็ว ๆ เท่านั้นเอง”
“ผมยังไม่พร้อมมีครอบครัวตอนนี้ อยากใช้ชีวิตของตัวเองไปก่อน แล้วไหนจะเรื่องงานที่บริษัทอีก”
ในเมื่อถูกกดดันมาแล้ว เขาต้องรีบทำพิสูจน์ตัวเองให้เร็วที่สุด เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาพร้อมรับช่วงต่อธานีผู้ซึ่งเป็นพ่อของเขา
“ไม่กลัวว่าจะมีคนมาขอหนูอ้ายตัดหน้าหรือไง?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงครับ อ้ายไม่หนีผมไปไหนแน่นอน” ภาคินพูดอย่างมั่นใจ
เขารู้ดีว่าลลิตานั้นรักเขามากขนาดไหน อีกอย่างพวกเขาก็มีธุรกิจร่วมกัน ยังไงเสียอนาคตข้างหน้าลลิตาก็ต้องเลือกเขาอยู่แล้ว เปรียบเสมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าที่ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
“ขอให้จริงอย่างที่พูดก็แล้วกัน”
หากภาคินไปคว้าเอาสาวที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเหมือนอย่างคนก่อนหน้านั้น เธออกแตกตายแน่นอน
“ผมว่าคุณแม่ห่วงเรื่องตัวเองก่อนดีกว่าครับ คุณแม่รู้หรือเปล่าว่าคุณพ่อเอาเด็กไปที่บริษัท”
“ช่างพ่อแกสิ” คุณหญิงวิไลลักษณ์พูดเหมือนทองไม่รู้ร้อน
“แกก็น่าจะรู้นิสัยพ่อแกดีว่าเป็นยังไง ห้ามไปก็เท่านั้น เพราะถ้าห้ามได้คงไม่มีบ้านเล็กบ้านน้อยเยอะขนาดนี้หรอก”
คุณหญิงวิไลลักษณ์ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าสามีเธอจะไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย หรือไปนอนที่ไหน เธอวางตัวเป็นผู้ดีไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นให้เปรอะเปื้อน เพราะอย่างไรแล้วเธอก็คือภรรยาที่ถูกต้องทั้งนิตินัยและพฤตินัย ผู้หญิงคนอื่นก็เป็นเพียงของเล่นของสนุกให้สามีเธอเท่านั้น
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ เธอต้องหาทางบีบบังคับบุตรชายให้ไปขอหมั้นลลิตาโดยเร็ว เพราะเรื่องนี้มันจะทำให้เธอเชิดหน้าชูตาในสังคมอย่างมาก ที่ได้บุตรสาวตระกูลโชติธานนท์มาเป็นทองแผ่นเดียวกัน
