ตอนที่7 ว่าที่ลูกสะใภ้
"ที่ทำงานคือที่ไหนเหรอลูก แล้วหนูสมัครงานอะไรไป" ภาสกรผู้เป็นพ่อที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยถามขึ้น อันที่จริงเขาก็อยากให้ลูกสาวอันเป็นที่รักของเขานั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้าน
แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ร่ำรวยจนล้นฟ้า แต่ก็มั่นใจว่าสามารถเลี้ยงให้ลูกสาวอยู่อย่างสุขสบายได้โดยที่ยัยสองไม่ต้องไปทำงาน
แต่ก็นั่นแหละ.. ลูกน่ะเลี้ยงได้แค่ตัว พอโตมาพวกเขาก็คงอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อีกอย่างนับสองก็เรียนจบมาสองปีตามกำหนดแล้วด้วย เขาคงห้ามนั่นห้ามนี่ลูกตลอดไปไม่ได้
"หนูสมัครตำแหน่งผู้จัดการรีสอร์ตไปค่ะ เป็นรีสอร์ตที่กำลังจะเปิดใหม่ หนูคิดว่าเขาอาจจะต้องการคนเลยลองยื่นใบสมัครไป"
"เฮียเลี้ยงหนูได้นะ ไม่เห็นต้องลำบากไปหางานทำเลย ถ้าหนูอยากทำงานจริง ๆ มาทำตำแหน่งบัญชีอยู่กับเฮียที่กรุงเทพก็ได้ หรือหนูจะนอนตีพุงอยู่คอนโดอย่างเดียวเฮียก็ไม่ว่า คอนโดเก่าของหนูก็ยังไม่ได้ขายนี่นา"
อภิชญาได้แต่หันมองหน้าพ่อและพี่ชายสลับไปมาด้วยความไม่เข้าใจ ปกติแล้วทางครอบครัวควรเร่งให้เธอไปทำงานตั้งแต่เรียนจบมาแล้วด้วยซ้ำ
แต่นี่เธอนอนตีพุงอยู่บ้านมาเป็นเวลาสองปีแล้ว เพราะพ่อเป็นคนขอไว้ว่าอยากให้ลูกสาวพักผ่อนสักหน่อย ไม่อยากให้เธอต้องมากดดันหรือลำบาก ถ้าจะให้เรียนจบสูงมาแล้วไม่ทำงานทำการ จะให้เธอไปเรียนให้ปวดหัวทำไมตั้งแต่แรก!
อภิชญานั่งกินนอนกินอยู่บ้าน เวลาก็ล่วงเลยมาปีที่สองแล้ว เธอรู้สึกว่าตนเองนั้นดูไร้ค่าเพราะไม่มีงานการทำ ไม่มีอะไรที่เป็นของตัวเองเลยสักอย่าง ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว
หากว่ากันตามตรงผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอคงจะแต่งงานมีลูกกันไปหมดแล้ว หรือไม่ก็คงมีหน้าที่การงานมั่นคงมีอนาคตที่ดีรออยู่ พอตัดภาพมามองที่ตัวเอง เธอจึงรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นบุคคลที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย
"สองอยากลองใช้ชีวิตของตัวเองดูค่ะ อยากลองลำบากหาเงินเองดูบ้าง ถึงมันจะเหนื่อยแต่สองก็ภูมิใจที่เงินนั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง.. บอกตามตรง ตอนนี้สองสงสัยมากเลยว่าบ้านเราทำงานอะไรกันแน่ ทำไมดูไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเลย"
"อะแฮ่ม เฮียก็เปิดอู่ซ่อมรถไง" เฮียหนึ่งกระแอมออกมาเบา ๆ อันที่จริงคนในครอบครัวก็รู้เพียงแค่ว่าเขานั้นเปิดอู่ซ่อมรถ แต่แท้จริงแล้วเป็นอู่สำหรับแต่งรถนั่นแหละ ส่วนใหญ่ก็เป็นสปอร์ตคาร์ ไม่ก็รถแข่งโดยเฉพาะ
รายได้อีกอย่างที่เขาหาได้เป็นกอบเป็นกำก็คือลงแข่งที่สนาม ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือเถื่อนเขาก็ไม่เกี่ยง บ้างก็วางเดิมพันด้วยเงินสดหลักหลายล้าน บ้างก็เดิมพันด้วยทะเบียนรถของตัวเอง อีกทั้งยังมีธุรกิจที่เขาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเพื่อน ไม่อย่างนั้นมีเหรอที่เขาจะมีเงินเหลือใช้มากขนาดนี้
"มันได้เงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ รู้อย่างนี้สองเรียนช่างแบบเฮียดีกว่า"
"พอเลย ถ้าสองมาเรียนช่างอยู่กับเฮีย มีหวังเฮียได้ไล่กระทืบไอ้คนที่มันมาตามจีบสองจนตัวเองโดนไล่ออกแน่นอน" เฮียหนึ่งพูดขึ้นอย่างติดตลก ทำเอาพ่อและแม่ต่างก็หัวเราะไปตาม ๆ กัน
บ้านรัตนกิจโกศล
สปอร์ตคาร์สีดำคันหรูดูน่าเกรงขามแล่นเข้ามาจอดในโรงรถ วายุเหยียบคันเร่งเครื่องยนต์ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นอยู่สองสามที ก่อนจะก้าวขาลงมาจากรถยุโรปราคาราวแปดหลัก ทำเอาคนสวนและแม่บ้านถึงกับสะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กัน
ร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปภายในบ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถึงจะมีธุรกิจหรืองานยุ่งยังไงก็ต้องหาเวลามากินข้าวกับครอบครัวอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง อันที่จริงการกลับมากินข้าวกับพ่อแม่นั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่เขากลับมาพ่อและแม่ก็มักจะพูดเรื่องดูตัวกับแต่งงานอยู่เสมอ
บรรยากาศภายในห้องอาหารเต็มไปด้วยความอึมครึม มีเพียงคุณหญิงทอฝันเท่านั้นที่นั่งยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะลูกชายฝาแฝดทั้งสองกลับมานั่งกินข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
"อีกสองปีพวกแกก็จะอายุสามสิบกันแล้ว คิดจะมีหลานให้พ่ออุ้มตอนอายุเท่าไหร่กัน" ปิติภัทร ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวและพ่อของสองแฝดเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตอนนี้ วายุและเหมันต์ ลูกชายทั้งสองของเขาก็เรียนจบมาตั้งนานแล้ว
แต่ยังไม่มีใครเลยสักคนที่จะพาแฟนหรือผู้หญิงเข้ามาแนะนำให้เขารู้จัก ในเมื่อลูกชายทั้งสองมันไม่ยอมหาเมียสักที พ่อคนนี้แหละที่จะเป็นคนหาให้
"ผมยังไม่พร้อมครับพ่อ ตอนนี้ธุรกิจไวน์ก็กำลังไปได้ดี ผมยังอยากโฟกัสกับงานก่อน" ลมหนาว หรือ เหมันต์ รัตนกิจโกศล น้องชายฝาแฝดของวายุเอ่ยตอบผู้เป็นบิดาอย่างฉะฉาน เขาเป็นคนจริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ รวมถึงความสามารถในการเข้าสังคมเป็นเลิศ ทำให้ไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา ก็ล้วนแต่น่าฟัง และสามารถโน้มน้าวใจคนฟังได้อีกด้วย
"แล้วแกล่ะเจ้าเหนือ" ปิติภัทรหันกลับไปถามลูกชายอีกคนที่นั่งกินข้าวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"ผมก็เหมือนกัน ยังไม่พร้อมครับ" วายุตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาผู้เป็นพ่อถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
เขามีลูกชายเพียงแค่สองคนเท่านั้น หลังจากสองแฝดอายุสิบสองขวบ เขาก็ไม่เคยถูกอ้อนอีกเลย อีกทั้งเมื่อโตมาพวกมันยังไม่คิดหาเมียทั้งคู่ รู้อย่างนี้เขาน่าจะมีลูกสาวอีกสักคน แล้วยกมรดกทั้งหมดให้กับลูกสาวซะเลย!
"หนูม่านฟ้าไง ที่ลูกเคยคบกับเธอเมื่อตอนเรียนมัธยม ตอนนี้เธอเป็นดาราดังแล้ว แถมสวยกว่าเดิมอีกด้วย เมื่อหลายวันก่อนเธอก็มาหาแม่ที่บ้านแต่เสียดายที่วันนั้นไม่ใช่วันที่ลูกจะกลับมากินข้าว วันนี้แม่เลยนัดเธอมากินข้าวพร้อมกับเรา เผื่อลูกจะได้คืนดีกับเธอ" คุณหญิงทอฝันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอรู้เพียงแค่ว่าม่านฟ้าเป็นผู้หญิงที่ลมเหนือลูกชายของเธอรักมาก และคบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมยันมหาลัย
แต่ว่าทั้งคู่เลิกรากันไปด้วยเหตุผลอะไรนั้นเธอเองก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อเวลามันผ่านมานานขนาดนี้แล้ว บางทีถ่านไฟเก่าอาจจะติดง่ายกว่าการบังคับให้ลูกไปดูตัวก็ได้ เธอคิดอย่างนั้น
"อ้าวนั่นไงมาพอดีเลย หนูม่านฟ้าจ๊ะ มาเร็วลูก ลมเหนือกับลมหนาวก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง" คุณหญิงทอฝันกวักไม้กวักมือเรียกว่าที่ลูกสะใภ้คนโตของตนให้มานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน
"ผมกลับล่ะ" วายุพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์พลางดันเก้าอี้ลุกขึ้นในทันที แต่ทว่ากลับต้องชะงักเพราะคำพูดของผู้เป็นพ่อ
"นั่งลง อย่าทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าแขกของแม่"
วายุจำใจต้องนั่งลงอีกครั้งแม้จะรู้สึกอารมณ์เสียก็ตาม บอกตามตรงว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้แม้แต่วินาทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าแม่ของเขาจะชอบเธอเสียเหลือเกิน
ปกติท่านอาจจะเปรยถึงอยู่บ่อย ๆ แต่นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ชวนเธอมาร่วมทานอาหารพร้อมกับเขาแบบนี้
