ตอนที่6 รอยแผล
แสงไฟสลัวส่องกระทบผิวน้ำในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ ร่างเปลือยเปล่าของอภิชญาเอนกายลงในอ่างน้ำอุ่น เธอปิดเปลือกตาลงอย่างช้า ๆ และนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน วนเวียนอยู่ในหัวอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา
เธอควรจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นดีล่ะ มันไม่ใช่ความเศร้า แต่ในทางเดียวกันมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก ถ้าหากว่ากันตามตรงเธอกลับรู้สึกโล่งใจเสียด้วยซ้ำ ที่ผู้ขายคนนั้นคือเขา ไม่ใช่คนอื่น.. แต่นั่นก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกโกรธตัวเอง และตอกย้ำความจริงว่าเธอยังคงไม่ลืมเขา
แม่งเอ๊ย!
เรียวแขนเล็กออกแรงฟาดลงบนผิวน้ำด้วยความหงุดหงิด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโมโหตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาอภิชญาพยายามที่จะเปิดใจมีรักครั้งใหม่ แต่สุดท้ายเธอก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะลืมคนเก่าไม่ได้ หรือเพราะเข็ดขยาดกับความรักก็ไม่รู้ จนเพื่อนสนิทของเธอก็มักจะถามอยู่เสมอว่า ผู้ชายพรรค์นั้นมันมีดีอะไร ทำไมถึงไม่ลืมมันไปสักที
ก็นั่นน่ะสิ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
อภิชญาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำและตบตีอยู่กับตัวเองราวหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะเดินออกมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยชุดคลุมอาบน้ำ ดวงตากลมโตจ้องมองรอยแดงที่ปรากฏอยู่บนหน้าอกและลำคอของตัวเองด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ ทำไมเขาต้องมาทิ้งรอยพวกนี้เอาไว้บนคอเธอด้วย ลำพังที่ผ่านมาทิ้งบาดแผลไว้ในใจมันยังไม่พออีกเหรอ
เรือนร่างระหงลุกขึ้นเดินไปยังตู้เสื้อผ้า เธอหยิบชุดนอนลายการ์ตูนแบบแขนยาวขายาวออกมาหนึ่งชุด ก่อนจะเอื้อมไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่อยู่ด้านบนสุดของตู้ออกมาด้วยเช่นกัน
เมื่อใส่เสื้อผ้าและทาสกินแคร์จนเรียบร้อยแล้ว เธอก็เปิดกล่องปฐมพยาบาลและหยิบปลาสเตอร์สีเนื้อออกมาแปะเพื่อปกปิดรอยแดงที่มันอยู่บนลำคอด้วยสีหน้าราบเรียบ
"เฮียคิดถึงสองนะ..คิดถึงมาโดยตลอด" คำพูดจอมปลอมที่เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอมาตลอดทางจนกระทั่งตอนนี้ นิ้วมือเรียวสัมผัสบริเวณที่แปะปลาสเตอร์อย่างเบามือ อภิชญาจ้องมองภาพของตนเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก เธอแค่นเสียงหัวเราะออกมาด้วยแววตาที่กำลังสั่นไหว
คำพูดกาก ๆ พวกนั้นมันจะลบล้างสิ่งที่เขาเคยทำกับเธอได้ยังไง
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงเรียกอันคุ้นหูทำให้อภิชญาหลุดออกจากภวังค์ เธอหันกลับไปมองยังที่มาของเสียงก็พบว่าคนที่มายืนเรียกเธออยู่หน้าประตูนั้นก็คือเฮียหนึ่ง พี่ชายเพียงคนเดียวของเธอ
"แสบ หลับหรือยังครับ ป๊ากับม๊าให้เฮียมาตามหนูไปกินข้าว"
"ยังไม่นอนค่ะ รอแป๊บนะเดี๋ยวหนูลงไป"
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเฮียรอหน้าห้องนะ ลงไปพร้อมกันเฮียมีเรื่องจะคุยด้วย"
"ค่าา" อภิชญาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ดูก็รู้ว่าเธอกำลังจะโดนเฮียหนึ่งดุ เพราะเมื่อคืนเธอไม่ได้กลับมาบ้าน อีกทั้งยังขาดการติดต่อไปเลย และต่อให้เธอจะอายุยี่สิบหกแล้วก็เถอะ แต่เธอก็ยังคงเป็นเด็กน้อยในสายตาคนที่บ้านอยู่ดี
อภิชญาเก็บกล่องปฐมพยาบาลไว้ที่เดิม เธอพยายามปรับสีหน้าและอารมณ์ของตนเองให้ปกติที่สุด ก่อนจะออกแรงเปิดประตูห้องนอนออกไป
"เมื่อคืนหนูไม่ได้กลับบ้านเหรอ หนูไปอยู่ไหนมา ม๊าโทรมาหาเฮียตอนดึกบอกว่าติดต่อหนูไม่ได้" เมื่อน้องสาวตัวแสบก้าวขาออกมายังไม่ทันพ้นประตูห้อง
น้ำเสียงเย็นยะเยือกก็ดังขึ้นจากทางด้านข้าง เฮียหนึ่งยืนกอดอกหลังพิงกำแพงรอคำตอบจากน้องสาวสุดที่รัก อภิชญาได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ เธอจะตอบได้ยังไงเล่าว่าเมื่อคืนเธอไปนอนกับผู้ชายมา!
"เมื่อคืนหนูเมามากเลยไปเปิดโรงแรมนอนค่ะ แบตก็หมดเลยไม่ได้ติดต่อใคร.. ขอโทษค่ะเฮีย หนูจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก" เธอรู้ดีถึงสาเหตุที่เฮียหนึ่งขับรถจากกรุงเทพขึ้นมาเชียงใหม่เกือบสิบชั่วโมงเพราะเป็นห่วงเธอ
"แล้วเพื่อนของหนูล่ะ อยู่ด้วยกันหรือเปล่า เพราะม๊าบอกว่าติดต่อใครไม่ได้เลยสักคน"
"อยู่ด้วยกันทุกคนค่าา ป่ะลงไปกินข้าวกันเถอะเฮีย หนูหิวแล้ว" อภิชญาคล้องแขนพี่ชายด้วยท่าทางออดอ้อน โชคดีที่เธอหัวไว เลยทักแชทเตี๊ยมกับเพื่อนไว้ก่อนแล้วว่าถ้าหากบ้านใครโทรหาหรือใครถามก็ให้ตอบว่าเมาแล้วเปิดโรงแรมนอนอยู่ด้วยกัน และอภิชญาก็คิดว่าเฮียหนึ่งคงจะโทรไปถามเพื่อนของเธอมาเรียบร้อยแล้ว น่าจะถามเพื่อน ๆ ถามก่อนที่จะมาถามเธอเสียอีก
"ว่าแต่คอหนูไปโดนอะไรมา" เฮียหนึ่งยังคงถามต่อ บอกตามตรงว่าเขาเป็นห่วงนับสองน้องสาวคนเดียวของเขามาก เมื่อคืนแม่โทรหาเขาตอนตีสองว่าน้องไม่กลับบ้าน อีกทั้งยังติดต่อไม่ได้ เขาจึงรีบขับรถขึ้นมาเชียงใหม่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้
"อ๋อ..นี่น่ะเหรอ พอดีหนูจะมัดผมน่ะ แต่ว่าเล็บมันไปข่วนโดนพอดีเลยเป็นแผล ว่าแต่เราจะลงไปกินข้าวกันได้หรือยัง ป๊ากับม๊ารออยู่นะ" อภิชญาพยายามบ่ายเบี่ยงประเด็นนี้เพื่อให้เฮียหนึ่งเลิกถามเธอสักที เพราะเธอเป็นคนประเภทโกหกได้ แต่ไม่ค่อยเนียนน่ะสิ หากเฮียหนึ่งยังคงเซ้าซี้ถามนั่นนี่ต่อไป มีหวังเธอโป๊ะแตกแน่นอน
"อ้อ..ทีหลังทำอะไรระวังหน่อยนะครับ เป็นแผลเจ็บตัวเผลอ ๆ มันทิ้งรอยแผลเป็นให้เราอีก เอาไว้เดี๋ยววันนี้เฮียจะออกไปซื้อยาทาลดรอยแผลเป็นมาให้ ป่ะลงไปกินข้าวกันดีกว่า" เมื่อหมดเรื่องสงสัยเฮียหนึ่งก็กลับมามีน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง
บอกตามตรงว่าเธอกลัวเฮียหนึ่งมากกว่าป๊าเสียอีก!
ทุกวันนี้เธอยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพี่ชายตัวเองสักเท่าไหร่ รู้แค่ว่าเฮียหนึ่งเปิดอู่ซ่อมรถ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีเงินซื้อรถราคาแพงมาขับ หรืออาชีพนี้มันรายได้เยอะอยู่แล้วก็ไม่รู้นะ..
ตัดภาพมาที่ตัวเธอเองตอนนี้ยังเป็นคนว่างงานอยู่เลย
บรรยากาศภายในโต๊ะกินข้าววันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ หลังจากถามไถ่ถึงเหตุผลที่เธอไม่กลับบ้านมาเมื่อวาน ประเด็นส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องของเฮียหนึ่ง เพราะว่าเฮียเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้
เฮียหนึ่งมีธุรกิจเป็นของตัวเองอยู่ที่กรุงเทพ อย่างที่เธอเข้าใจก็คือเจ้าของอู่ซ่อมรถ ส่วนใหญ่เฮียจึงใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพ และจะกลับมาบ้านที่เชียงใหม่เดือนละสองถึงสามครั้งเท่านั้น
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของอภิชญาดังขึ้นมาแทรกจังหวะสนทนาของครอบครัว ทำเอาทุกคนถึงกับหันมามองเป็นตาเดียวกัน ฝ่ามือเล็กรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงลายการ์ตูนเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นเพื่อดูว่าใครเป็นกันที่เป็นคนโทรมา
อภิชญาก้มมองเบอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอด้วยความฉงนใจ เพราะว่าสายที่เรียกเข้านั้น ไม่ได้มีบันทึกอยู่ในรายชื่อ ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะไม่รับสาย แต่คิดไปคิดมาแล้วรับดีกว่า ถ้าเป็นพวกแกงค์คอลเซนเตอร์ค่อยกดวางสายก็ได้
"ฮัลโหลค่ะ ขอสายใครคะ"
"อ๋อใช่ค่ะ.. สะดวกค่ะ วันไหนดีคะ"
"ค่ะ ได้เลยค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ"
หลังจากที่วางสายเสร็จเรียบร้อย อภิชญาก็หันกลับมาเจอเข้าสายตาของคนที่บ้าน ทั้งพ่อแม่และพี่ชายต่างพากันจับจ้องมาที่เธอด้วยความสนใจ
"ใครเหรอลูก" สุพิญญาผู้เป็นแม่ของอภิชญา เอ่ยถามเปิดประเด็นแทนพ่อและพี่ชายที่นั่งจ้องหน้ายัยตัวแสบของบ้านตาไม่กะพริบ
"อ๋อ..ที่ทำงานค่ะแม่ เขาโทรมานัดไปสัมภาษณ์ค่ะ"
