ตอนที่10 คู่ควงของบอส
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
อภิชญาและกองสัมภาระกำลังรอคอยให้คุณสิงห์มารับที่หน้าบ้าน โดยที่มีพ่อและแม่ออกมาส่งเธอด้วยเช่นกัน ไม่นานนักรถเบนซ์คันสีดำดูหรูหราก็ขับมาจอดที่หน้าบ้านของเธอ พร้อมกับคุณสิงห์ที่ลงมาทักทายพ่อและแม่ของอภิชญา
"เดี๋ยวรถสำหรับขนสัมภาระจะตามมาเร็ว ๆ นี้ครับ ผมแค่มุ่งหน้ามารับคุณอภิชญาก่อนเพราะคืนนี้มีงานเลี้ยงสำคัญมากและคุณที่เป็นเลขาจะต้องไปเข้าร่วมด้วยครับ"
"ค่ะดิฉันทราบดีค่ะ" อภิชญาตอบกลับเสียงเรียบ เธอเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อสองสามวันก่อน ว่าที่บริษัทจะจัดวันเกิดให้กับท่านประธานใหญ่ และเธอที่เป็นเลขาของบอส ก็จะต้องเข้าร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน
งานแรกที่เธอจะต้องทำก็คือไปเป็นคู่ควงให้บอส เพราะว่าบอสยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีคู่หมั้น และแน่นอนว่าเธอเองก็เพิ่งรู้ว่าคนที่จะมาเป็นเจ้านายให้กับตนเองนั้นเป็นผู้ชาย ตอนแรกเธอคาดหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับพี่สาวสุดเท่ห์และความหวังก็พังลงอย่างไม่เป็นท่า
เอาเถอะ ขอแค่ไม่เป็นตาเฒ่าหัวงู หรือไอ้หนุ่มโรคจิตก็พอ!
"เดินทางปลอดภัยนะลูก ว่าง ๆ ก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างนะ" สุพิญญาโอบกอดลูกสาวด้วยความรู้สึกใจหาย นับสองเพิ่งเรียนจบกลับมาอยู่บ้านได้แค่สองปี ก็มีเรื่องให้ต้องออกไปอยู่ข้างนอกอีกแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่ได้ห้ามลูกแต่ภายในใจก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
"ถ้าหากว่าไม่สบายใจก็กลับบ้านเราได้เสมอนะลูก"ภาสกรพูดต่อ
"ค่ะพ่อ" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สามคนพ่อแม่ลูกยืนกอดกันกลม ขาดแต่เฮียนับหนึ่งที่ตอนนี้อยู่กรุงเทพ..
เมื่อบอกลาที่บ้านเสร็จเรียบร้อย รถเบนซ์สีดำคันหรูก็แล่นออกมาจากซอยบ้านเธอไปอย่างช้า ๆ โดยที่บรรยากาศภายในรถไม่ได้มีความอึดอัดแต่อย่างใด เพราะเท่าที่เธอสังเกตดูแล้ว คุณสิงห์มีความเป็นมืออาชีพและมีความเป็นสุภาพบุรุษมาก เขาไม่เคยมองเธอด้วยสายตาเจ้าชู้ หรือพูดจาไร้มารยาทกับเธอเลยสักครั้ง
"เรากำลังจะไปไหนกันเหรอคะคุณสิงห์"
"ก่อนอื่นต้องพาคุณอภิชญาไปแปลงโฉมก่อนครับ บอสได้จองซาลอนไว้ให้คุณแล้ว"
"อ่อ..แล้วชุดล่ะคะ"
"บอสเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้วครับ"
"บอสนี่..ใส่ใจจังเลยนะคะ ถึงขนาดรู้ไซซ์ชุดของฉันด้วย" คำพูดของอภิชญานั้นเป็นคำชมที่แฝงไว้ด้วยความเหน็บแนม ถึงกระนั้นคุณสิงห์กลับไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจ กลับกันแล้วเขาทำเพียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยก็เท่านั้น
คุณสิงห์ขับรถมาจอดที่หน้าซาลอนสุดหรูแห่งหนึ่ง เมื่อเธอเดินเข้าไปข้างในก็มีพนักงานประมาณสามถึงสี่คนออกมาต้อนรับ
"สวัสดีค่ะ คุณอะไรคะ"
"อภิชญาครับ" คุณสิงห์ตอบแทน
"อ๋อ..คุณอภิชญาเชิญทางนี้เลยค่าาา" บรรดาพนักงานต่างพากันกระดี๊กระด๊า พร้อมจูงมืออภิชญาให้เดินเข้าไปภายในห้อง ที่มีคำว่า VVIP อยู่ด้านหน้าประตู
อภิชญาถูกจับแปลงโฉมอยู่ที่นั้นนานหลายชั่วโมง ทั้งโปรแกรมนวดหน้าสปาหรือขัดผิวครบถ้วนทุกกระบวนการ เธอถูกจับแต่งหน้าทำผมทำเล็บเสียจนเหมือนกลายร่างไปเป็นอีกคนหนึ่ง
นี่สินะพลังแห่งเงินตรา พลังแห่งเมคอัพ..
รถเบนซ์สีดำคันหรูขับเข้ามาจอด บริเวณลานจอดรถของโรงแรมระดับห้าดาว อภิชญาก็ค่อย ๆ ก้าวขาลงจากรถด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับนางพญา เธอสวมใส่ชุดราตรีเกาะอกรัดรูปสีเงินปักเลื่อมแวววาว กระโปรงด้านหน้าผ่าสูงขึ้นมาจนเผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนละเอียด จี้เพชรที่เธอสวมใส่ยามต้องแสงไฟ ก็ส่องประกายระยิบระยับยิ่งขับให้เธอโดดเด่นเป็นสง่า
"คุณสิงห์แล้วบอสล่ะคะ สองจะไปพบท่านได้ที่ไหน" เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ งานใหญ่อย่างนี้เธอจะไปตามหาบอสจากที่ไหน แล้วอีกอย่างเธอก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของคนที่จะมาเป็นเจ้านายเลยสักครั้งเดียว
"พวกเรารออยู่ตรงนี้นี่แหละ เดี๋ยวบอสก็มาครับ" ขณะที่สิงห์พูดอยูนั้นลัมโบร์กีนีคันหรูก็แล่นเข้ามาจอดบริเวณด้านข้าง เมื่อเจ้าของรถคันดังกล่าวเปิดประตูลงมา อภิชญาก็ยืนแข็งเป็นก้อนหินไปซะแล้ว
"บอส" สิงห์เอ่ยเรียกชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสูทสีดำ เขาพยักหน้ากลับมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงปรี่เข้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าของเธอ
"ขะ..คุณสิงห์คะ ผู้ชายคนนี้คือ.."
"อ๋อครับ คนนี้คือบอสของพวกเราไงครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อน" สิงห์ค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปด้านในงานตามลำพัง ที่ตรงนี้จึงเหลือเพียงแค่วายุและอภิชญาที่ยืนอยู่ด้วยกัน
"เราเจอกันอีกแล้วนะครับ..นับสอง" ถ้อยคำของเขาทำเอาเธอถึงกับขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์
"คุณตั้งใจใช่มั้ยคะ" อภิชญาตอบกลับเสียงแข็ง นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนเธอมั่นใจ ว่าละทำไมถึงมีสัญญาพรรค์นั้นมาให้เซ็น เธอเองก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน แต่เงินแสนตรงหน้ามันหอมหวานนี่หว่า ใครจะไปรู้ว่าเธอจะตกหลุมพรางของผู้ชายคนนี้เสียเต็มเปา
"จะว่าตั้งใจเลยก็ไม่ถูก อย่าลืมสิว่าสองเป็นคนมายื่นใบสมัครด้วยตัวเอง"
"อ๋อค่ะ..ก็จริง" เธอเอ่ยตอบอย่างหมดทางหนี
แม่งเอ้ย ถ้ารู้ว่าต้องมาทำงานกับผู้ชายเส็งเคร็งพรรค์นี้นะ ต่อให้เงินเดือนเป็นแสนกูก็ไม่เอาหรอกโว้ย!
"ระหว่างเราคงไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวกันหรอกใช่มั้ย เพราะงั้นเข้าไปข้างในกันได้แล้ว" วายุพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านพลางยื่นเรียวแขนแกร่งมาให้เธอควงเข้างาน อภิชญาที่เห็นเช่นนั้นจึงทำได้เพียงคล้องแขนของเขาไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนนี้คือเวลางาน เธอพยายามท่องคำนี้อยู่ในใจ
ท่ามกลางแสงระยิบระยับของแชนเดอเลียร์คริสตัลและเสียงดนตรีอันไพเราะ ภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของโรงแรมระดับห้าดาวถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สีสันสดใสและผ้าม่านกำมะหยี่ที่หรูหรา โต๊ะอาหารที่จัดวางอย่างประณีตมีอาหารเลิศรสและเครื่องดื่มราคาแพงให้เลือกมากมาย
บรรดาแขกผู้มีเกียรติต่างพากันเดินทางเข้ามาร่วมงานกันอย่างไม่ขาดสาย เพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดอายุครบ63ปีของคุณ ปิติภัทร รัตนกิจโกศล ผู้เป็นประธานใหญ่ของบริษัท R.s กรุ๊ป
คุณปิติภัทรเป็นชายวัยกลางคนที่ยังคงแข็งแรงรูปร่างและหน้าตาไม่ต่างจากชายที่อายุประมาณสี่สิบ วันนี้ท่านใส่ชุดสูทที่ถูกตัดเย็บขึ้นอย่างประณีตและเนคไทผ้าไหมที่ผูกอย่างสมบูรณ์แบบดูภูมิฐานในแบบฉบับของนักธุระกิจ
ด้านข้างกายมีภรรยาอันเป็นที่รักยืนยิ้มต้อนรับแขกเหรื่อที่เดินทางมาร่วมงาน คุณหญิงทอฝัน หญิงวัยกลางคนในชุดราตรีสีชมพูดูเด่นและสง่างามแม้นจะไม่ใช่สาววัยรุ่น แต่วันเวลาไม่สามารถพรากความงามไปจากใบหน้าของเธอได้
วายุและอภิชญาเดินเข้ามาภายในงาน ก็ถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง มือเล็กที่ควงแขนเขามาเริ่มเย็นเฉียบ เธอหันมามองหน้าคนด้านข้างด้วยท่าทางประหม่า ก่อนที่มือหนาจะตบลงที่หลังมือของเธอเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ
"ไม่ต้องกลัว" วายุยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ทำเอาบรรดาลูกสาวของคุณนายที่มาร่วมงานถึงกับอิจฉาตาร้อน อภิชญาพยักหน้า แม้เป็นเรื่องที่เธอไม่อยากจะยอมรับ แต่คำพูดของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอย่างมาก
"อื้ม"
ทั้งสองเดินควงแขนกันมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคุณปิติภัทรและคุณหญิงทอฝัน พ่อและแม่ของวายุ ด้านข้างของพวกท่านมีคนที่อภิชญาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
คนแรกคือเฮียลมหนาว รุ่นพี่ที่คณะของเธอและเป็นฝาแฝดของบอสที่เธอกำลังทำงานด้วยอยู่ตอนนี้ ส่วนผู้หญิงที่ใส่ชุดราตรีสีน้ำเงินที่กำลังยืนจ้องเธอตาเขม็งก็คือคุณม่านฟ้าดาราสาวชื่อดังหรือที่เธอรู้จักก็คือแฟนเก่าของบอส
"คนนี้หรือเปล่าว่าที่ลูกสะใภ้ของพ่อ" ชายวัยกลางคนกระซิบกระซาบกับลูกชายคนโตด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น นี่นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีหรือเปล่านะ ที่เจ้าเหนือมันควงสาวมาร่วมงานวันเกิดของเขา
วายุไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำเพียงยักคิ้วให้ผู้เป็นพ่อเท่านั้น ระหว่างลูกผู้ชายด้วยกันแล้วก็เป็นอันรู้กันว่า ใช่
