ตอนที่ 6 ฉากเด็ด (1)
ตอนที่ 6
สองวันต่อมา
วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันต้องเข้ามาช่วยงานสโมสรนักศึกษา ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง แต่ฉันก็เข้ามานั่งรอพี่ฟิวส์ในห้อง ตามคำสั่งของเขา เพราะเพิ่งทักไปถามเมื่อกลางวันที่ผ่านมา
เมื่อเห็นว่าคนสั่งงานยังไม่เข้ามา แล้วรู้สึกเบื่อไม่รู้จะทำอะไรฉันจึงเดินสำรวจห้องสโมสรนักศึกษาดูสักหน่อย เพราะมุมหนึ่งเป็นชั้นวางหนังสือและแฟ้มเอกสาร มีหนังสือทำเนียบนายกสโมสรฯ และประธานชมรมต่างๆ ตั้งแต่หลายสิบปีก่อนจนถึงปัจจุบันวางเรียงกันหลายชั้น
ลองหาดูแล้วยังไม่เห็นข้อมูลของพี่ฟิวส์ คงเป็นเพราะหนังสือพวกนี้ทำตอนที่จะหมดวาระแล้วแน่ๆ น่าเสียดายว่าจะสืบประวัติสักหน่อย
“ไม่กลัวไอ้ฟิวส์มาเห็นเหรอ”
“ฟิวส์เรียนอยู่ ไม่เห็นหรอก”
เสียงชายหญิงคู่หนึ่งทำเอาฉันตกใจจนต้องรีบหลบเข้าอีกฝั่งของชั้นวางแฟ้มเอกสาร บทสนทนาของทั้งคู่เรียกให้ต่อมความอยากรู้ของฉันทำงานจนต้องแอบมองลอดผ่านช่องว่างเล็กๆ
พี่ไมเนอร์กับพี่เมย์
“เธอนี่ร้ายใช่เล่น”
“ก็พอๆ กับนายนั่นแหละไมเนอร์”
“หึ”
มากไปกว่าบทสนทนาที่ชวนสงสัยนั้น ภาพที่ฉันเห็นคือสองคนนั้นกำลังนัวเนียกันทั้งที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา กระดุมเสื้อสองเม็ดด้านบนของฝ่ายหญิงถูกปลดออกจนเผยให้เห็นหน้าอกอวบอิ่ม สิ่งที่อยู่ในครรลองสายตาทำเอาฉันร้อนวูบวาบทั่วใบหน้า
“ถ้าไอ้ฟิวส์มาเห็นตอนนี้ คิดว่ามันจะเกลียดใคร” พี่ไมเนอร์เอ่ยพร้อมกับยิ้มร้ายมองอีกฝ่าย
“ก็อย่าให้เห็น หรือนายจะพอแค่นี้ล่ะไมน์ อ๊ะ”
ฉันเก็บรวบรวมคำพูดของทั้งคู่มาคิดประมวลผล แล้วจับใจความได้ว่าพวกกำลังทำอะไรลับหลังพี่ฟิวส์อยู่ แสดงว่า พี่เมย์คบกับพี่ฟิวส์แต่แอบทำเรื่องไม่ดีกับเพื่อนพี่ฟิวส์งั้นเหรอ
โคตรเลวเลย ฉันเริ่มสงสารเขาขึ้นมาแล้ว
“ไปห้องนู้น”
สิ้นเสียงของพี่เมย์ทั้งคู่ก็พากันเดินเข้าไปยังห้องเล็กๆ ที่ฉันเดาว่าเป็นห้องเก็บของ พี่ไมเนอร์เดินเข้าไปด้วยท่าทีสบายไม่รีบร้อนจนกระทั่งประตูห้องนั้นปิดลงภาพจินตนาการต่างๆ นานาก็ผุดขึ้นมาให้หัวฉันเต็มไปหมด
ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเองแต่ฉันกลับรู้สึกหัวใจเต้นแรงราวกลับถูกหักหลังเสียเอง ฉันยืนอยู่ที่เดิมเพราะทำอะไรไม่ถูก
ครู่หนึ่งที่กำลังรวบรวมสติและจะก้าวออกไปจากมุมนี้ ตั้งใจว่าจะออกไปจากห้องเพื่อไม่ให้สองคนนั้นออกมาเจอ เสียงประตูบานใหญ่ก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงของใครอีกคนที่ก้าวเข้ามาพอดี
พี่ฟิวส์!
“เอ่อ”
“อะไร”
แล้วหัวใจของฉันก็เริ่มเต้นแรงอีกครั้งเมื่อเขาขยับเข้ามายื่นตรงหน้า ลำคอแห้งผากราวกับไม่ได้ดื่มน้ำมาทั้งวัน
“พี่ฟิวส์ มานี่หน่อยสิ” ฉันกวักมือเรียกอีกคนแล้วตัวเองก็ถอยหลังไปยืนมุมเดิม
“เป็นอะไรของเธอ” เขาถาม สีหน้ามึนตึง คิ้วหนาสองข้างขยับเข้าหากันแต่ก็ยอมเดินมาหา
สมองของฉันประมวลผลหาทางออกว่าควรจะบอกเขา หรือหาทางไม่ให้เขารู้ ว่าผู้หญิงที่เขาคบอยู่นั้นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนของตัวเองอยู่
“พอดีค้างมีเรื่องจะถามหน่อย”
“อะไร” เขาทำหน้าดุ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน
“อันนี้ทำไมไม่มีรูปพี่ฟิวส์เหรอ” ฉันแกล้งหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่เพิ่งเปิดดูมันก่อนหน้านี้มาเปิดให้เขาดู ขณะที่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายังคงมองฉันอย่างสงสัย
“เดี๋ยวก็มี” เขาตอบแค่นั้นสายตามองไปที่หนังสือแล้วกลับมามองที่หน้าฉันอีกรอบ “อะไรของเธอ ทำตัวเหมือนไปทำเรื่องผิดมา”
“เปล่า ไม่ได้ทำ”
“อืม งั้นรีบไปทำงาน” เขาทำท่าจะเดินออกไปแต่ฉันรีบคว้าข้อมือใหญ่เอาไว้
“ดะ…เดี๋ยวก่อน”
“….” ดวงตาคู่คมตวัดมามองที่มือเล็กของฉันจึงต้องรีบปล่อยมันออกจากแขนของเขาแล้วหาเรื่องไม่ให้เขาออกไป อย่างน้อยก็ขอให้สองคนนั้นทำธุระเสร็จแล้วรีบออกไปตอนนี้พี่ฟิวส์จะได้ไม่เห็น อย่าวาดลวดลายกันอีกนานเลย
“พี่ฟิวส์มีแฟนแล้วเหรอ”
“…” เขาไม่ตอบมองฉันเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คิ้วเข้มนั้นยังขมวดเข้าหากันจนเกือบจะเป็นเส้นเดียว คงไม่คิดว่าที่ถามแบบนี้เพราะฉันชอบเขาหรอกนะ “ถามทำไม”
“ก็…” คิดไม่ออก ฉันควรจะยกเหตุผลไหนมาถ่วงเวลาดี “ถ้าพี่โสดน่าจะดีเนอะ”
“…ทำไม”
สมองฉันมันประมวลผลกับคำถามและคำพูดของตัวเองตีกันไปหมด แทบลืมไปแล้วว่าตัวเองพูดอะไรออกไปเพราะทั้งหมดนั้นที่พูดมันแทบไม่ได้กลั่นกรอง
“เอ่อ ก็ถ้าโสด ค้างจะได้ไม่ต้องกลัวไงว่าจะมีใครมาด่าเอา”
“แล้วใครจะด่าเธอ ฉันไม่เข้าใจ เธอช่วยพูดให้เหมือนคนปกติหน่อย” เขายกมือขึ้นไปเท้าเอว เหมือนเริ่มไม่พอใจแล้ว “ถ่วงเวลาอะไร เธอทำอะไรไม่ดีไว้หรือเปล่า”
“มะ ไม่ได้ทำค่ะ” คนอื่นต่างหากที่ทำ
“เสียเวลา ฉันจะรีบทำงาน” แล้วเขาก็หันหลังกลับไปอีกรอบ เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องเก็บของนั้นกำลังจะเปิดออกมาพอดี ฉันจึงรีบคว้าแขนเขาไว้อีกรอบแล้วดึงกลับมาอยู่ในมุมหนึ่งของฉันวางแฟ้มเอกสาร
แต่คงไม่ทันเพราะพี่ฟิวส์เห็นสองคนนั้นเข้าแล้ว
-----------
