บท
ตั้งค่า

บทที่3 มิติคู่ขนาน

มิติคู่ขนาน

กระท่อมชายป่า เมืองชีเป่ย

“อาหนิง”

เฉินหนิงได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ อยู่ข้างหู ก่อนจะค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ หญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อให้คุ้นชินกับแสง เธอยังไม่ตายอย่างนั้นเหรอ ถูกยิงหลายนัดขนาดนั้น รอดมาได้ถือว่าปาฏิหาริย์มากทีเดียว

"ปวดหัวจังเลย"

หญิงสาวคิดจะยกมือขึ้นคลึงขมับ เพื่อคลายอาการปวดสักหน่อย แต่ก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะมือของเธอทำไมมันเหมือนเด็กขาดสารอาหารแบบนี้ เฉินหนิงค่อย ๆ ไล่มองตามนิ้วมือเรียวเล็กไปจนถึงแขนที่ไม่ใช่ของเธอ ชายแขนเสื้อไม่เหมือนที่เธอคุ้นเคย

‘นี่มันอะไรกัน!’

อาการปวดหัวเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมกับเรื่องราวของใครบ้างคนหลั่งไหลเข้ามาในหัว เฉินหนิงทั้งเจ็บปวดและต้องข่มกลั้นก้อนสะอื้นลงไปในอก เพราะภาพที่ฉายวนอยู่ในหัวเธอตอนนี้ มันหาคำว่าความสุขไม่ได้เลย

หญิงสาวปล่อยให้ทุกอย่างไหลเข้ามาให้เต็มที่ เพราะยิ่งเธอฝืนไม่อยากที่จะรับ หัวของเธอเหมือนจะระเบิดให้ได้ น้ำใส ๆ ค่อย ๆ ไหลออกจากหางตา ความรู้สึกทั้งหมดของเด็กหญิงวัยเพียงสิบสี่ปี มันอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด จนอยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

เฉินหนิงลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจ เพราะเธอรู้สึกว่ามีมือของใครบางคน มาเช็ดน้ำตาให้กับเธออย่างแผ่วเบา หญิงสาวสาวค่อย ๆ หันไปมองคนที่ตอนนี้ นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ

ภาพซ้อนทับระหว่างเด็กชาย กับพี่ชายฝาแฝดของเธอ มันทำให้เธอ...

“หมิง!”

หญิงสาวเผลอเอ่ยชื่อของพี่ชายออกมา ก่อนจะใช้หลังมือขยี้ตาอีกครั้ง แล้วมองคนตรงหน้า มันยังคงเดิมนั่นคือมีใบหน้าของพี่ชายซ้อนทับกับเด็กชาย

“ตื่นสักที ยัยตัวแสบ”

เสียงของเด็กชายแหบแห้งเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง แต่คำพูดที่ใช้มันต่างจากความทรงจำที่อยู่ในหัวของเธอ ซึ่งเธอมั่นใจแล้วว่าคือเจ้าของร่าง ที่วิญญาณของเธอมาอาศัยอยู่ในตอนนี้

“หมิงเหรอ”

“อืม!”

เฉินหนิงยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะโผเข้ากอดพี่ชายเอาไว้แน่น เธอทั้งดีใจและหวาดกลัว ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือน้ำตาของพ่อแม่ เสียงที่กรีดร้องปานจะขาดใจของทั้งคู่ ยังดังก้องอยู่ในหัวของเธอ ร่างเล็กสะอื้นน้อย ๆ ในอ้อมแขนของพี่ชาย ที่อยู่ในร่างเด็กชาย

“ไม่ต้องร้อง หากการตื่นมาอีกครั้งของเรามันคือชะตา จากนี้ก็ลิขิตมันให้ดี แทนเด็กสองคนนี่ก็แล้วกัน เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”

เฉินหมิงพูดปลอบน้องสาวเบา ๆ พร้อมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น เท่าที่แรงของเขาจะมีในตอนนี้ เสียงความเคลื่อนไหวจากด้านนอก ทำให้ทั้งสองคลายอ้อมกอด เพื่อรอดูว่าใครที่กำลังมาหาพวกเขา จะเป็นสาวใช้หรือมารดาของสองแฝดกัน

“เจี่ยนเอ๋อ ฮวาเอ๋อ พวกเจ้าฟื้นแล้ว ฮือ ๆ แม่ดีใจเหลือเกิน”

หญิงสาวใบหน้างดงาม โผเข้าสวมกอดสองพี่น้อง ที่นั่งอยู่บนเตียง เสียงสะอื้นไห้ ทำให้น้ำตาของทั้งคู่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งสงสารหญิงสาวที่เป็นแม่ของเด็กแฝด ทั้งคิดถึงครอบครัวที่พวกเขาจากมา

“ท่านแม่อย่าได้ร้องไห้ไปเลยขอรับ เราสองคนแค่ป่วยหนักไปเท่านั้น ตอนนี้อาการดีขึ้นมากแล้ว ดูสิขอรับท่านแม่ดวงตาบวมช้ำจนบดบังความงามไปหมดแล้วนะขอรับ”

“แค่พวกเจ้ายังอยู่เคียงข้างแม่ ทุกอย่างในโลกนี้หาได้สำคัญไม่ ความงามแม่ไม่มีก็ได้ แต่ไม่มีพวกเจ้าแม่อยู่ไม่ได้”

มือบางที่มีรอยแตกลูบตามใบหน้าของสองพี่น้อง ด้วยความรักใคร่ ความทรงจำของหรงหยางเจี่ยน ทำให้เขารู้สึกว่าโลกในยุคนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ในเมื่อมีเขาอยู่ตรงนี้แล้ว ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไป และมันต้องดีกว่าเดิมด้วย

“ท่านแม่นอนพักบ้างเถอะนะเจ้าคะ ฮวาเอ๋อร์ปลอดภัยดีแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปจะไม่ป่วยให้ท่านแม่เป็นกังวลอีกนะเจ้าคะ”

เฉินหนิงใช้มืออันผายผอม บีบมือมารดาในโลกใบใหม่ของเธอ ก่อนจะซบลงบนตักของหญิงงามตรงหน้า เธอจะไม่ให้ใครรังแกผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว และเธอจะไม่เป็นภรรยา ที่ต้องทนเพียงเพราะคำว่ากฎของภรรยาที่ดี อย่างที่ผู้หญิงคนนี้ต้องทน

“พวกเจ้าหิวหรือไม่ แม่จะไปทำโจ๊กร้อน ๆ ให้พวกเจ้ากินนะ”

“เจ้าค่ะ/ขอรับ”

สองพี่น้องรับคำ ก่อนจะมองเลยไปยังสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม แต่เพราะร่างกายที่ซูบผอม ทำให้ความงามถูกกลืนหายไปด้วย

“พี่เสี่ยวเตี๋ย เราอยากอาบน้ำสักหน่อยเจ้าค่ะ”

“คุณหนูรอสักครูนะเจ้าคะ เสี่ยวเตี๋ยจะไปต้มน้ำมาให้เจ้าค่ะ”

พอทุกคนออกไปแล้ว สองพี่น้องหันมองหน้ากัน พร้อมเล่าถึงภาพความทรงจำของเด็กทั้งสองแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งทำให้ทั้งคู่ต้องขบคิดหาหนทางรอดให้กับตนเองและหญิงงามผู้นี้ รวมถึงน้องชายคนใหม่ด้วย

จวนรับรองสกุลหรง ณ เมืองชีเป่ย หนึ่งปีก่อนหน้า

จางฮุ้ยเหมยสวมกอดบิดามารดาแน่น หญิงสาวได้แต่น้ำตานองหน้ากล้ำกลืนฝืนเก็บความจริงเอาไว้ในใจ ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกบิดามารดา สตรีออกเรือนแล้วย่อมต้องเชื่อฟังสามี สิ้นสามีเชื่อฟังบุตร ซึ่งเป็นคำสอนที่พึงยึดปฏิบัติกันมาแต่โบราณ

วันนี้พ่อแม่และพี่ชายของนาง ต้องเดินทางกลับเสิ่นโจว ที่อยู่ชายแดนติดกับบ้านเกิดของมารดา ที่สำคัญไปกว่านั้นพี่ชายของนางต้องเดินทางทำการค้าที่ต่างแคว้น กว่าจะกลับมาอู๋เป่ย คงใช้เวลาอีกนานนับปีเลยทีเดียว

หญิงสาวหันไปมองสามี ที่กำลังส่งยิ้มมาให้ ในใจของนางนั้นเหมือนถูกมีดเล่มใหญ่ปักลงกลางหัวใจ ลูก ๆ ที่นั่งอยู่บนตักสามี คือตัวประกันชั้นดีเลยทีเดียว

“ร้องไห้ทำไมกันลูกแม่ อยากกลับไปพักที่เสิ่นโจวกับแม่ไหม”

“คงไม่ดีกระมังขอรับท่านแม่ ข้าคงอดคิดถึงลูก ๆ กับฮุ้ยเหมยไม่ได้แน่ ที่นี่ห่างเมืองหลวงไม่มาก ข้าสามารถมาอยู่กับนางและลูกได้บ่อย ๆ แต่หากนางไปอยู่เสิ่นโจว การเดินทางทั้งไกลและใช้เวลามาก ข้าเกรงว่าจะทำให้เราสองผัวเมียต้องห่างกันมากเกินไปขอรับ”

หรงจิ่งรีบเอ่ยแทรกขึ้นเสียก่อน เขาไม่อยากให้พ่อตาแม่ยาย รู้ถึงเบื้องหลังการมาอยู่ที่นี่ของภรรยาและลูก ๆ

“มันก็จริง! แต่แม่ไม่เข้าใจเจ้าเลยเหมยเอ๋อร์ ว่าทำไมต้องย้ายออกมาพักอยู่นอกเมืองเช่นนี้ ทำไมไม่อยู่จวนที่เมืองหลวงกัน”

“เด็ก ๆ ป่วยบ่อย ๆ ข้าอยากให้พวกเขามีเวลารักษาตัวให้ร่างกายแข็งแรงอีกสักหน่อย ค่อยกลับเข้าเมืองหลวงเจ้าค่ะ อีกอย่างตั้งแต่คลอดไท้เอ๋อร์ ข้ารู้สึกร่างกายถูกธาตุเย็นเข้าแทรก อยากอยู่ที่นี่เพื่อจะได้ไม่ถูกรบกวนจากผู้ใดเจ้าค่ะ”

“ให้แม่ส่งหมอมาดูแลเจ้าดีหรือไม่”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ หมอของจวนหรงคอยดูแลข้าเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้น พ่อกับแม่ต้องออกเดินทางแล้ว พวกเจ้าถนอมตัวให้ดี กว่าพี่ชายเจ้าจะกลับมาคงนานนับปี กว่าพ่อกับแม่จะได้มาเยี่ยมพวกเจ้าอีก มีเรื่องอะไรเจ้าต้องรีบส่งข่าวถึงพ่อกับแม่ทันทีเข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ”

จางฮุ้ยเหมยเรียกลูกแฝดชายหญิง ก่อนจะเดินไปเพื่ออุ้มลูกชายคนเล็กจากสามี ทว่าหรงจิ่งกลับไม่ยินยอม เขาอุ้มลูกชายคนเล็กและจูงบุตรสาว พาไปกันเดินออกไปส่งพ่อตาแม่ยายและพี่ชายของภรรยา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel