บท
ตั้งค่า

บทที่ 5

เผชิญหน้าพระเอกครั้งแรก

ลมเย็นยามเช้าพัดเอากลิ่นหอมอ่อนของดอกเหมยในสวนลอยเข้ามาในห้องแต่งตัว

ม่านแพรสีขาวปลิวไหวเบา ๆ รับกับแสงแดดอ่อนที่เริ่มส่องลอดเข้ามา

ฉันยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลือง ร่างในกระจกสะท้อนภาพหญิงสาวในชุดฮั่นฝูสีอ่อน

เส้นไหมปักลายเหมยแดงแลดูงดงามทว่าหนักแน่น

ปิ่นเงินเสียบผมอย่างเรียบง่าย แต่แฝงความสง่างามเฉียบขาด

ข้ากำลังเตรียมตัวไปพบเขา — อวี้เหวินหรง

หัวใจเต้นรัวในอก แต่ใบหน้าฉันกลับสงบนิ่งดั่งผืนน้ำในฤดูหนาว

**

"ท่านหญิง" ชุนฮวาก้าวเข้ามาคุกเข่าเบื้องหลัง "รถเสลี่ยงพร้อมแล้วเพคะ"

ฉันพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะหมุนกายออกจากห้องอย่างมั่นคง

รองเท้าปักไหมเสียงเบาแตะพื้นไม้เรียบอย่างแผ่วเบาในแต่ละก้าว

ข้าท่องในใจซ้ำ ๆ —

อย่าแสดงความกลัว

อย่าเปิดช่องโหว่

อย่าให้อวี้เหวินหรงเห็นแม้แต่รอยร้าวเล็กที่สุดในจิตใจของข้า

**

ลานกลางของตำหนักตะวันออกเต็มไปด้วยข้ารับใช้ที่จัดขบวนต้อนรับอย่างเร่งรีบ

ทุกคนต่างรู้ว่าท่านชายอวี้เหวินหรงไม่ได้โปรดปรานความวุ่นวาย

บรรยากาศจึงเงียบเชียบตึงเครียดจนสัมผัสได้

รถเสลี่ยงของข้าจอดลงอย่างนุ่มนวลหน้าบันไดหินอ่อนที่ทอดขึ้นสู่โถงรับรอง

ฉันก้าวลงอย่างสง่างาม ร่างกายตั้งตรง ก้าวเดินอย่างไม่เร่งรีบแต่มั่นคง

ไม่เร็วเกินไปให้น่าสงสัย

ไม่ช้าเกินไปให้น่าขัน

เมื่อเดินถึงกลางลานฉันก็เห็นเขา

**

อวี้เหวินหรงยืนสงบนิ่งใต้ต้นเหมยที่กำลังออกดอกสะพรั่ง

ชุดคลุมสีดำลายเมฆทองของเขาตัดกับผิวขาวซีดอย่างน่าหวาดหวั่น

เส้นผมดำยาวรวบไว้เรียบร้อยด้วยเชือกไหมทอง

ดวงตาคมกริบเป็นประกายเย็นเยือก ไม่เผยอารมณ์ใด ๆ

เขาเหมือนเทพเจ้าแห่งฤดูหนาว

งามสง่า ทรงพลัง และน่าสะพรึงกลัว

ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะโค้งกายคำนับอย่างอ่อนช้อย

"ถวายพระพร ท่านชายอวี้เหวินเพคะ"

เสียงของฉันนิ่งสงบ ไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย

**

อวี้เหวินหรงมองฉันนิ่ง ๆ

สายตาคู่นั้นไล่สำรวจฉันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพินิจพิเคราะห์

ฉันปล่อยให้เขามองอย่างสงบ

ไม่หลบตา

ไม่หวั่นไหว

ไม่ยิ้ม ไม่โกรธ

เหมือนรูปสลักที่ไร้ซึ่งความกลัว

ในดวงตาคมกริบของเขา มีแววบางอย่างวูบผ่าน

แววแห่งความสงสัย

ข้าเปลี่ยนไปจนเขาเริ่มระแวงแล้ว

**

"ได้ยินว่าท่านหญิงประชวรหนัก" อวี้เหวินหรงเอ่ยเสียงเรียบ

"เพคะ" ฉันตอบเบา ๆ "ช่วงเวลานั้นทำให้หม่อมฉันได้คิดหลายอย่าง"

"เช่น?" เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย

ฉันยกพัดทองขึ้นแตะริมฝีปาก ยิ้มบาง ๆ

"เช่นว่า...ชีวิตในวังหลวงนั้นโหดร้ายเกินกว่าคำเล่าอ้าง"

"และโลกนี้ ไม่มีที่สำหรับคนอ่อนแอ"

**

คำตอบของฉันทำให้แววตาของอวี้เหวินหรงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งราวกับไม่มีสิ่งใดสามารถแตะต้องได้

"ท่านหญิงดูเติบโตขึ้นมาก" เขากล่าวช้า ๆ

"ขอบพระคุณสำหรับคำชมเพคะ" ฉันเอ่ยเสียงนุ่ม

ไม่มีความตื่นเต้น

ไม่มีความหวาดหวั่น

มีเพียงความสงบเยือกเย็น...ที่ฉันบังคับตัวเองให้รักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

**

การสนทนาของเราดำเนินต่อไปอย่างระมัดระวัง

เหมือนการประลองกระบี่ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมเผยช่องว่างให้กันและกัน

เขาพยายามซักถามถึงความเคลื่อนไหวของข้าในช่วงที่ผ่านมา

ข้าตอบอย่างเฉลียวฉลาด — ให้ข้อมูลเพียงน้อยนิด พอให้ดูเหมือนไม่มีพิรุธ แต่ไม่ให้ข้อมูลสำคัญใด ๆ เล็ดลอดออกไป

เขาลองหยั่งเชิงด้วยการเอ่ยถึงงานเลี้ยงตำหนักหลวงที่กำลังจะมาถึง

ข้าก็ตอบกลับด้วยถ้อยคำที่สุภาพแต่เว้นระยะห่างอย่างชัดเจน

ไม่มีความอ่อนแอ

ไม่มีความหลงใหล

ไม่มีความโง่เขลา

มีเพียงเฟยหลิงคนใหม่

หญิงสาวที่แข็งแกร่ง ฉลาด และรู้ดีว่ากำลังเล่นเกมอะไรอยู่

**

เมื่อบทสนทนาจบลง

ฉันโค้งกายคำนับอย่างงดงามอีกครั้ง

"หม่อมฉันขอตัวเพคะ"

อวี้เหวินหรงเพียงพยักหน้าเบา ๆ ไม่รั้งไว้แม้แต่น้อย

ฉันหันหลังและก้าวเดินจากมาอย่างมั่นคง

ไม่หันกลับไปมอง

ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว

**

แต่ในขณะที่ก้าวพ้นบันไดหิน

ฉันสัมผัสได้ถึงสายตาคมกริบที่ยังคงติดตามแผ่นหลังข้าอย่างไม่ละสายตา

เขากำลังจดจำข้าใหม่

และคงสงสัยว่าเฟยหลิงที่เคยโง่เขลาในวันวาน...หายไปไหนแล้ว

ดี

ให้เขาสงสัยเถิด

เพราะตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจข้าอย่างแท้จริง

ข้าย่อมได้เปรียบ

**

ฉันขึ้นรถเสลี่ยงกลับเรือนอย่างเงียบงัน

ใจที่ตื่นเต้นปั่นป่วนค่อย ๆ สงบลงขณะรถเสลี่ยงเคลื่อนตัวไปตามทางหินเรียบ

เฟยหลิงคนเดิม...

ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว

เหลืออยู่เพียงเฟยหลิงคนใหม่

ผู้ที่ไม่ยอมตกเป็นเบี้ยหมากของใครอีกต่อไป

รถเสลี่ยงเคลื่อนตัวผ่านทางเดินแคบระหว่างตำหนัก

บรรยากาศยามเช้าที่ควรจะสดใสกลับเต็มไปด้วยความเงียบที่กดดันแปลกประหลาด

ฉันนั่งอยู่ในเสลี่ยงอย่างสงบ

มือหนึ่งวางพัดทองบนตัก อีกมือหนึ่งกำไว้แน่นใต้แขนเสื้อจนเหงื่อซึม

แม้ภายนอกจะสงบนิ่งดั่งผิวน้ำ

แต่ในใจ...กลับมีคลื่นใต้น้ำเชี่ยวกรากซัดสาดไม่หยุด

การเผชิญหน้ากับอวี้เหวินหรงในวันนี้...

แม้จะเรียบร้อย แต่ก็ทำให้ฉันรู้แน่ชัดว่า

เขาไม่ได้เป็นเพียงนักการเมืองผู้ชาญฉลาด

เขาคือนักล่าที่อันตรายที่สุดในวังหลวง

**

เมื่อถึงเรือนพัก ฉันสั่งให้คนอื่น ๆ ถอยไปหมด

เหลือเพียงชุนฮวาคนเดียวที่ตามเข้ามาในห้องรับรอง

ฉันวางพัดทองลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา

ก่อนจะเอนกายพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจยาวเงียบ ๆ

"ท่านหญิง..." ชุนฮวาเอ่ยเสียงเบา "การพบปะครั้งนี้เรียบร้อยดีเพคะ"

"เรียบร้อยเกินไปต่างหาก" ฉันพึมพำ

ดวงตาของฉันหรี่ลงอย่างตริตรอง

"คนอย่างอวี้เหวินหรง..." ฉันกระซิบ "ไม่มีทางปล่อยให้สิ่งใดดำเนินไปโดยบังเอิญ"

"เขาต้องกำลังวางหมากอะไรสักอย่างแน่นอน"

ชุนฮวาเม้มปากแน่น ก้มหน้าฟังเงียบ ๆ

"ไปสั่งการสายสืบของเรา" ฉันออกคำสั่งเสียงนิ่ง "จับตาทุกการเคลื่อนไหวของตำหนักเขา"

"เพคะ!" ชุนฮวารับคำทันที

**

หลังจากนั้น ฉันนั่งลงบนเบาะปักลายดอกเหมยกลางห้อง

กางแผนที่วังหลวงที่ซ่อนไว้ใต้ลิ้นชักขึ้นมาอีกครั้ง

ตำแหน่งของตำหนักอวี้เหวิน

ตำแหน่งของตำหนักฮองเฮา

ตำหนักฝ่ายตะวันตก...ฝ่ายเหนือ...

ฉันลากปลายนิ้วไปตามเส้นทางเชื่อมโยงทั้งหมด

เหมือนลากเงื่อนงำไปยังศูนย์กลางเครือข่ายที่มองไม่เห็น

**

พวกเขาแต่ละฝ่ายต่างซ่อนแผนการไว้ในเงามืด

เหมือนแมงมุมยักษ์ที่ทอใยรอเหยื่อ

และฉัน...

จะไม่เป็นเหยื่อของพวกมัน

ข้าจะเป็นแมงมุมอีกตัวหนึ่ง

ที่ทอใยของตัวเอง ซ้อนอยู่ในเงาของพวกมัน

**

คืนวันนั้น ฉันนอนไม่หลับ

เสียงลมหอนเบา ๆ นอกหน้าต่าง

เสียงกระซิบกระซาบในเงามืดที่มีแต่ข้าจินตนาการขึ้นเอง

และเงาสะท้อนในกระจกที่ดูเหมือนจะยิ้มเยาะเย้ยข้า

แต่ข้าเพียงหลับตาแน่น

ปล่อยให้หัวใจนิ่งสงบอยู่ท่ามกลางเสียงวุ่นวายทั้งหลาย

เพราะข้ารู้...

ในสนามรบของอำนาจ

ผู้ที่ใจนิ่งที่สุด

คือผู้ที่มีโอกาสรอดชีวิตมากที่สุด

**

รุ่งเช้า

แสงแดดสีทองสาดส่องผ่านบานหน้าต่างไม้ขัดมัน

ข้าลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความมุ่งมั่นใหม่ในใจ

วันนี้...

จะเป็นวันแรกที่ข้าเริ่มเดินหมากกลับ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel