บทที่ 2
โลกใหม่กับชะตาที่กำหนดไว้แล้ว
เสียงนาฬิกาโบราณที่ตั้งอยู่ในมุมห้องดังแว่วก้องในความเงียบสงัดของเรือนพัก
ทุกเสียงในวังหลวงดูเหมือนจะเงียบงันลงในยามเช้า ยกเว้นเสียงลมหายใจเบา ๆ ของฉันเอง
ฉันนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะไม้หอมในห้องส่วนตัว มือหนึ่งกำพัดทองแน่นอีกมือวางทาบอยู่บนตัก
ดวงตาเหม่อมองไปนอกหน้าต่างที่ม่านแพรบาง ๆ ปลิวไหวรับสายลมเย็น
โลกใบนี้...
โลกที่เต็มไปด้วยอำนาจ ความลวง ความทะเยอทะยาน และหายนะ
โลกที่สวรรค์ หรืออาจจะเป็นโชคชะตาเองที่บังคับให้ฉันก้าวเข้ามาอย่างไร้ทางเลือก
แต่หากสวรรค์กล้าเล่นตลกกับข้า...
ข้าก็จะฉีกกฎของสวรรค์ทิ้งด้วยมือตัวเอง
**
หลังจากยืนยันกับตัวเองได้แน่วแน่ ฉันก็เริ่มลงมือวางแผน
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการทำความเข้าใจสถานการณ์รอบตัวให้ชัดเจนที่สุด
ข้าศึกอยู่ที่ไหน
มิตรแท้อยู่ที่ใด
ใครเป็นเพียงหุ่นเชิด ใครคือผู้ชักใยเบื้องหลัง
และที่สำคัญที่สุด — จุดอ่อนของพวกเขาคืออะไร
**
ข้าทาสบริวารหลายสิบชีวิตกระจายตัวอยู่ทั่วเรือนพัก
แต่ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากชุนฮวา
เด็กสาวผู้มีแววตาตื่นกลัวแต่แฝงด้วยความสัตย์ซื่อ
ในเนื้อเรื่องเดิม เฟยหลิงไว้ใจผิดคนมากเกินไป และถูกแทงข้างหลังครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉันจะไม่ทำผิดพลาดเช่นนั้น
ฉันเรียกชุนฮวามาพบในยามเช้า
"ตั้งแต่วันนี้ไป" ฉันกล่าวเสียงเรียบ "ข้าอนุญาตให้เจ้าคัดเลือกคนของตัวเองได้สามคน"
ชุนฮวาเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาไม่เชื่อสายตา
"บ่าว...ขอบพระทัยเพคะท่านหญิง!" นางคำนับแทบพื้น
"จำไว้" ฉันกระซิบเสียงเบา "เลือกคนที่พร้อมจะตายเพื่อเจ้า มิใช่คนที่พูดจาไพเราะเพียงอย่างเดียว"
ชุนฮวากำมือแน่น ก้มศีรษะรับคำ
ฉันหลับตาลงช้า ๆ
วางหมากแรกของตัวเองในเกมแห่งชีวิตนี้อย่างมั่นคง
**
สายลมยามสายพัดเอากลิ่นดอกเหมยมาปะปนกับกลิ่นไม้หอม
ฉันเดินทอดน่องไปตามทางเดินยาวของเรือนพักอย่างเงียบงัน
โลกใบนี้ดูสวยงามเกินจริง
แต่ภายใต้ความงามนั้นมีเขี้ยวเล็บที่พร้อมจะแทงเสียบผู้ที่เผลอไผลอยู่ทุกขณะ
ฉันหยุดยืนที่ระเบียง มองออกไปยังสวนกลางเรือน
กลุ่มนกกระเรียนสีขาวกำลังโผบินขึ้นสู่ฟากฟ้าอย่างสง่างาม
อิสรภาพ...
คำคำนี้ช่างไกลเกินเอื้อมสำหรับผู้ที่เกิดในวังหลวงเช่นข้า
แต่ข้าไม่ต้องการเพียงแต่อิสรภาพ
ข้าต้องการอำนาจ
อำนาจที่จะปกป้องตัวเองและคนของข้า
อำนาจที่จะเปลี่ยนชะตากรรม
อำนาจที่จะทำให้สวรรค์ต้องสยบแทบเท้า
**
เมื่อบ่ายคล้อย ชุนฮวากลับมาพร้อมข่าวสารใหม่
"ท่านหญิงเพคะ มีคำเชิญจากพระสนมหลี่ให้เสด็จไปเยือนตำหนักจ้าวเยี่ยในวันพรุ่งนี้เพคะ"
ฉันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
พระสนมหลี่...หนึ่งในผู้มีอำนาจลับในวังหลวง
หญิงงามผู้กุมเครือข่ายข่าวกรองและการคบค้าขุนนางในเงามืด
การที่นางเชิญข้าไปพบในเวลานี้...
น่าสนใจยิ่งนัก
ฉันวางถ้วยชาลงบนถาดเบา ๆ
"แจ้งกลับไปว่าข้ายินดีรับคำเชิญ" ฉันกล่าวเสียงเรียบ
โอกาสเช่นนี้ หาได้ยากนัก
ข้าต้องใช้มันอย่างชาญฉลาด
**
ค่ำวันนั้น ฉันนั่งอยู่ใต้แสงตะเกียงน้ำมันในห้องหนังสือส่วนตัว
กางแผนที่ของวังหลวงออกตรงหน้า
ตำหนักตะวันตก
ตำหนักเหนือ
ตำหนักตะวันออก
ตำหนักจ้าวเยี่ย...
แต่ละตำหนักล้วนมีอำนาจลับซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ฮองเฮา
พระสนมหลี่
แม่ทัพใหญ่
อวี้เหวินหรง
ชื่อแต่ละชื่อที่ลอยขึ้นมาในหัวฉันเหมือนหมากตัวหนึ่งบนกระดาน
ข้ายังไม่มีกำลังมากพอที่จะท้าทายพวกเขาโดยตรง
แต่ข้าสามารถวางหมากเล็ก ๆ เพื่อปั่นป่วนกระดานได้
วางพันธมิตร
ซ้อนศัตรู
ซ่อนความตั้งใจที่แท้จริงไว้ในรอยยิ้ม
และรอเวลา
เวลาเท่านั้นที่จะทำให้ข้ามีอำนาจพอจะเขียนชะตาของตัวเอง
**
ยามวิกาลมาเยือนพร้อมกับความเงียบงัน
ฉันยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลือง มองภาพสะท้อนของตัวเองอย่างพิจารณา
หญิงสาวในกระจกมีดวงตาแข็งกร้าวแฝงประกายเฉียบคม
ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างมาดมั่น
"โลกนี้ไม่ใช่ของข้า" ฉันกระซิบเบา ๆ กับเงาสะท้อน
"แต่ข้าจะทำให้มันกลายเป็นของข้าเอง"
รุ่งเช้าในวังหลวงมักเริ่มต้นด้วยเสียงฆ้องปลุกยาม เสียงเกือกม้ากระทบพื้นหิน และเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าข้ารับใช้ที่เตรียมตัวทำหน้าที่
ในบรรยากาศอันแสนคึกคักเหล่านั้น ฉันกลับรู้สึกถึงความเงียบงันที่เกาะกุมหัวใจ
ชุนฮวากำลังช่วยฉันแต่งตัวสำหรับการไปตำหนักจ้าวเยี่ยตามคำเชิญของพระสนมหลี่
ชุดที่เลือกเป็นฮั่นฝูสีฟ้าอ่อน ปักลวดลายกิ่งเหมยด้วยเส้นไหมสีเงินแวววาว ไม่ฉูดฉาด แต่สง่างามอย่างมีชั้นเชิง
ไม่มีเครื่องประดับหรูหราหนักอึ้ง
เพียงแค่ปิ่นทองดอกเหมยเสียบประดับผมไว้เบา ๆ
ฉันไม่ต้องการเป็นจุดสนใจ
แค่เพียงให้พวกเขารู้ว่าข้าเปลี่ยนไปแล้ว — เท่านั้นก็พอ
**
เมื่อขบวนเสลี่ยงมาถึงตำหนักจ้าวเยี่ย ฉันลงจากเสลี่ยงอย่างสง่างาม ก้าวเดินอย่างมั่นคงโดยไม่ต้องมีผู้ช่วยพยุง
สายตานับสิบคู่จับจ้องมาที่ฉัน
บางคู่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บางคู่ซ่อนรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
ฉันมองพวกเขาผ่านหางตา ก่อนก้าวตรงเข้าไปในเรือนรับรอง
พระสนมหลี่นั่งอยู่กลางห้องบนเก้าอี้ไม้แกะสลักลายเมฆหมอก ผิวพรรณของนางยังคงงดงามไร้ที่ติแม้จะล่วงเลยวัยสาวแล้ว ดวงตาคู่คมเป็นประกายเยียบเย็นราวกับสามารถมองทะลุจิตใจของผู้คนได้
"ท่านหญิงเฟยหลิง" พระสนมหลี่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ "ได้ยินว่าท่านประชวรอยู่นาน เห็นตัวจริงเช่นนี้ บ่าวรู้สึกอุ่นใจนัก"
ฉันโค้งตัวคำนับอย่างนอบน้อมตามมารยาท
"หม่อมฉันขอบพระคุณในความเมตตาของพระสนมเพคะ" ฉันตอบอย่างนุ่มนวล
นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนโบกมือให้ข้ารับใช้รินชา
"นั่งสิ" นางกล่าวอย่างอ่อนโยน
ฉันนั่งลงอย่างสง่างาม รักษาท่าทีเรียบสงบแม้จะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ซ่อนอยู่ในบรรยากาศ
น้ำชาอุ่น ๆ ถูกยกมาเสิร์ฟในถ้วยกระเบื้องเคลือบลายคราม
ฉันยกถ้วยขึ้นจิบเบา ๆ
รสชาติหอมละมุนของใบชาชั้นดีซึมซาบปลายลิ้น คล้ายกับรสของกับดักที่ถูกแต่งแต้มด้วยน้ำผึ้ง
**
การสนทนาในยามเช้าเต็มไปด้วยถ้อยคำไพเราะเสนาะหู
พระสนมหลี่ถามไถ่ถึงสุขภาพของฉันอย่างห่วงใย
พูดถึงดอกไม้ที่เริ่มผลิบานในสวน
เอ่ยถึงบทกวีที่แต่งขึ้นใหม่โดยขุนนางวังตะวันออก
แต่ในทุกถ้อยคำที่ห่อหุ้มด้วยความอ่อนหวานนั้น
ฉันสัมผัสได้ถึงหนามแหลมคมที่ซ่อนอยู่
นางไม่ได้ต้องการมิตรภาพ
นางต้องการประเมิน
ต้องการชั่งน้ำหนัก
ต้องการรู้ว่าท่านหญิงเฟยหลิงคนเดิม — ยังโง่เง่าเช่นเดิมหรือไม่
ฉันยิ้มบาง ๆ รับทุกคำพูดอย่างไม่โต้ตอบ ไม่หลงกล และไม่เปิดช่องโหว่
และฉันก็เห็นแววตาที่ฉายแววผิดหวังเล็กน้อยของพระสนมหลี่ในที่สุด
ดี
ให้พวกเขารู้ไว้ว่าเฟยหลิงคนเก่าได้ตายไปแล้ว
ต่อจากนี้
มีเพียงเฟยหลิงคนใหม่ — ผู้ที่ไม่มีวันถูกใช้เป็นเบี้ยหมากของใครอีก
**
หลังงานเลี้ยงน้ำชา ฉันกลับมายังเรือนพักของตนเองโดยปลอดภัย
ขณะที่เดินผ่านโถงทางเดินยาว ฉันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ
การวางตัวในวังหลวงนั้นเหนื่อยยิ่งกว่าการสู้รบในสนามรบเสียอีก
ในโลกนี้ ไม่มีใครเชื่อใจใครโดยแท้จริง
แม้แต่รอยยิ้ม ก็แฝงด้วยคมดาบ
แม้แต่คำพูดหวาน ๆ ก็อาจเป็นยาพิษ
**
ยามค่ำ ฉันนั่งลงเขียนแผนการเบื้องต้นในสมุดบันทึกลับที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักโต๊ะไม้
หนึ่ง — เสริมสร้างพันธมิตรที่ภักดี
สอง — ตัดขาดพันธะอันตราย โดยเฉพาะการหมั้นกับอวี้เหวินหรง
สาม — ซ่อนตัวตนที่แท้จริง จนกว่าจะพร้อมเปิดเผยอำนาจที่แท้จริง
ฉันวางปากกาขนนกลงอย่างหนักแน่น
จากนี้ไป
ทุกก้าวที่ข้าเดินจะต้องมั่นคง
ทุกคำที่ข้าพูดต้องผ่านการคำนวณ
และทุกศัตรูที่คิดจะทำร้ายข้า...
จะต้องได้ชดใช้ด้วยราคาที่แพงที่สุด
