บทที่ 5 โดนตามล่า
ประวัติของมธุรินถูกส่งเข้าอีเมลของมาเชลโล่ในช่วงเวลาบ่ายสอง เขาตั้งใจอ่านข้อมูลของเธอทุกบรรทัดไม่ให้ตกหล่น ทั้งประวัติครอบครัวและการศึกษา นอกจากนี้ในเอกสารยังระบุอีกด้วยว่ามธุรินกับภัคธิมาเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กและเปิดร้านขนมไทยด้วยกัน แต่ที่น่าแปลกใจสำหรับเขาคือเธอมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ถึงเข้ามาทำงานตำแหน่งเลขา
“ต้องการอะไรกันแน่” เขาละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ชำเลืองดูคนนอกห้อง ภายในสมองเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับตัวหญิงสาว ระหว่างนี้กว่าเขาจะตามจับตัวคนร้ายได้ ก็ต้องคอยจับตาดูเธอทุกฝีก้าวอย่างระมัดระวัง บางทีเธออาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ทำร้ายโทมัสโซ่ก็ได้ ตอนนี้เขาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
มธุรินบิดขี้เกียจหนึ่งที หลังสะสางงานเสร็จซึ่งเหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงใกล้จะเลิกงาน ทันใดนั้นบังเอิญเห็นมาเชลโล่จ้องมองมายังเธอ ก่อนเขาจะก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ
“เมื่อกี้อะไรกัน เขามองเราเหรอ” ไม่ทันมธุรินจะคิดอะไรมากนัก ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะดังขึ้นก่อนเธอจะกดรับสาย
“คุณมธุรินอย่าเพิ่งกลับ วันนี้ผมจะทำโอทีรบกวนคุณช่วยอยู่ต่อด้วย” คนปลายสายกล่าวเพียงเท่านั้นก็วางทันที
มือเรียววางโทรศัพท์ด้วยความโมโหแทบอยากกรีดร้องกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อสักครู่
“ใจเย็น ๆ แคลร์อย่าเพิ่งระเบิด” มธุรินสูดลมหายใจเข้าปอดช้า ๆ แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เธอทำแบบนั้นสามจังหวะจนเริ่มคลายความหงุดหงิดลงระดับหนึ่ง จากนั้นมือบางคว้าโทรศัพท์ติดต่อเพื่อนรัก เพียงไม่นานปลายสายกดรับ
(ว่าไงแคลร์ มีอะไรหรือเปล่า)
“วันนี้ที่ร้านเป็นไงบ้าง ลูกค้าเยอะไหม”
(ลูกค้าไม่เยอะหรอก แต่ฉันเหนื่อยมากเลย ออกไปส่งขนมลูกค้าตั้งแต่เช้า กลับมาต้องเร่งทำขนมอีก แคลร์กำลังจะกลับแล้วใช่ไหม มาช่วยหน่อยสิ)
“เอ่อ ฉันต้องอยู่ทำงานต่อนะ งานยังไม่เสร็จเลยรสา”
(อ้าวเหรอ งั้นไม่เป็นไร แกทำงานไปเถอะ)
“ฉันขอโทษจริง ๆ นะรสา” เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาอย่างสำนึกผิด ปล่อยให้เพื่อนรักลำบากทั้งที่เป็นร้านขนมที่เปิดด้วยกัน
(อืม ไม่เป็นไรฉันเข้าใจ)
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ” มธุรินกดวางสายทันใด “นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่” เธอบ่นงึมงำ ยิ่งนานนับวันเวลาล่วงเลยผ่านไป แถมยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยจนแอบรู้สึกผิดกับภัคธิมายิ่งนัก ทิ้งให้เพื่อนรักดูแลร้านคนเดียว
ฝั่งภัคธิมาหลังจากคุยสายกับมธุรินเสร็จ เธอมองขนมตรงหน้าด้วยอาการเหม่อลอย ไม่ได้โกรธเคืองมธุรินสักนิด ตอนนี้เธอกำลังเหงาเหลือเกิน แฟนหนุ่มหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนานหนึ่งเดือน ส่วนเพื่อนรักดันทำงานใหม่ ทิ้งเธอโดดเดี่ยวเพียงลำพัง อดไม่ได้จะน้อยใจเพราะเคยอยู่ด้วยกันสิบกว่าปีไม่เคยห่าง
“ทุกคนก็ล้วนมีทางเดินชีวิตเป็นของตัวเองเนอะ” พยายามปลอบตัวเอง แล้วสลัดความคิดไม่ดีทิ้งเพื่อสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ
“เสร็จแล้ว ไชโย” เสียงหวานกล่าวพร้อมกับยกแขนขาวเนียนขึ้นเหนือศีรษะ บิดกายไปมาหนึ่งครั้งก่อนลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวเก็บของ
“จะกลับแล้วเหรอ” มาเชลโล่เดินมาหยุดหน้าโต๊ะทำงานของหญิงสาว
“ค่ะ งานเสร็จพอดี” จะใช้อะไรอีกล่ะแค่นี้ก็จะตายแล้วนะ ประโยคท้ายเธอแอบต่อในใจ
“ผมไปส่ง งั้นไปรอข้างล่างนะ”
“ฮะ ไปส่งเหรอ” หันขวับมองตามหลังเจ้านายหนุ่มกำลังเดินล้วงกระเป๋ากางเกงในท่าทางสบายใจ “ดะ เดี๋ยวสิบอส” มือเล็กเก็บของลวก ๆ ใส่กระเป๋าสะพายข้าง รีบวิ่งตามมาเชลโล่ให้ทัน
“เอ่อ บอสคะ ไม่ต้องไปส่งดิฉันหรอก ดิฉันกลับเองได้” เธอกล่าวด้วยความเกรงใจ ไม่อยากให้เขาล่วงรู้ว่าเธอคือเพื่อนรักของภัคธิมามีหวังแผนแตกแน่
“ผมจะไปส่ง” พูดเสียงเรียบแฝงความดุดันบ่งบอกให้รับทราบห้ามเถียงและปฏิเสธทั้งสิ้นเพราะเขาไม่ชอบ
มธุรินยอมเดินเข้าไปในลิฟต์ทั้งแอบงึมงำต่อว่าเขา
“เอาแต่ใจที่สุดเลย แกทนคบเขาได้ยังไงรสา”
“คุณพูดว่าอะไร” เขาหันมองเลขาสาวข้างกาย ขนาดใส่ส้นสูงแล้วยังเทียบความสูงเขาไม่ได้ เธอช่างตัวเล็กเหลือเกิน
“เปล่า” แสร้งส่งยิ้มหวาน
บรรยากาศภายในลิฟต์ตกอยู่ในความเงียบ หลังจากนั้นมธุรินไม่ได้พูดอะไรต่อจึงมีแค่เสียงลมหายใจคนทั้งสองดังออกมาเท่านั้น กระทั่งประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นล่าง
“อ้าว ฝนเหรอ” เพราะเธอนั่งทำงานทั้งวันจนไม่ทันสังเกตว่าฝนตกตอนไหน
“คุณรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวผมไปเอารถก่อน”
“ค่ะ”
พ้นร่างสูงใหญ่มธุรินพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง
“ทำไงดีล่ะ ฝนก็ดันตกจะให้เขาส่งที่ไหนดี” ขณะนี้เธอกำลังหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ครั้งนี้ ทันใดนั้นสายตาคู่หวานพลันปะทะเข้ากับร่างชายฉกรรจ์สองคนสวมใส่ชุดกันฝนหลบมุมหนึ่งบนรถมอเตอร์ไซค์
“เอ๊ะนั่นใคร ท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย” มธุรินพยายามเมียงมองชายฉกรรจ์ ก่อนพวกมันจะเริ่มรู้ตัวและรีบบิดคันเร่งหนี
เสียงแตรรถดังขึ้นตามด้วยเสียงทุ้มของมาเชลโล่ ทำให้มธุรินหันมามอง
“รีบขึ้นรถมาได้แล้วคุณมธุริน” เขาลดกระจกลงเพื่อพูดกับเธอ
“ค่ะ ๆ”
รถคันหรูกำลังแล่นบนท้องถนนที่มีสายฝนตกกระหน่ำท่ามกลางความมืดมิด ไร้ผู้คนสัญจรไปมาเนื่องจากยามนี้ค่อนข้างดึกมากเลยทำให้ไม่มีคนกอปรกับฝนตก
มาเชลโล่ปรายตามองคนข้างกายสลับมองถนน ตั้งแต่ขึ้นรถมาเขาสังเกตเห็นเธอเงียบตลอดทำราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“คุณมธุรินมีอะไรหรือเปล่า” ไร้เสียงตอบกลับของเธอ กระทั่งมือหนาเอื้อมสะกิดไหล่มนเล็กน้อยทำเอาเธอสะดุ้ง
“คะบอส”
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงเงียบหรือกำลังหาวิธีเอาคืนผมอยู่ที่ใช้งานคุณหนัก”
“เปล่าค่ะ” ส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ เธอกำลังคิดว่าจะบอกเขาดีไหมเรื่องที่เห็นคนท่าทางไม่น่าไว้ใจมาป้วนเปี้ยนหน้าบริษัท
“คุณดูแปลก ๆ นะ” ชายหนุ่มเริ่มสงสัยในตัวเลขาสาว
“บอสคะ เมื่อกี้ตอนบอสไปเอารถ ดิฉันเห็นผู้ชายสองคนท่าทางไม่น่าไว้ใจหน้าบริษัท” สุดท้ายเธอตัดสินใจบอกเขา ถึงจะเกลียดเขาที่ทำไม่ดีต่อภัคธิมาแต่ก็ไม่ได้อยากให้เขาเป็นอะไรขึ้นมาสักหน่อย
“อืม เข้าใจแล้ว” นัยน์ตาดำขลับเหลือบมองกระจกข้างรถและเห็นผู้ชายสองคนอย่างมธุรินเอ่ยถึง
ความจริงเขาทราบตั้งแต่แรกแล้ว เพราะตอนไปเอารถบังเอิญเห็นเงาของพวกมัน
ปัง!!
“หลบคุณมธุริน” เสียงทุ้มตะโกนดังพลางกดศีรษะหญิงสาว ไม่รอช้าหยิบปืนจากช่องเก็บของหน้ารถแล้วยิงสวนพวกมัน
“ว้าย!!” มือเรียวยกขึ้นปิดปาก เธอไม่รู้จะตกใจกับอะไรก่อนดีระหว่างถูกตามล่ากับเขาที่มีปืนและสามารถยิงกลับไปด้วยความชำนาญ
“หลบไปอยู่ข้างล่างก่อนคุณมธุรินและห้ามขยับไปไหน”
หญิงสาวยอมทำตามอย่างไม่ขัดขืน มือเล็กทั้งสองยกขึ้นปิดหูเพราะเสียงดัง
การปะทะระหว่างมาเชลโล่กับชายฉกรรจ์เป็นไปอย่างดุเดือดไม่มีท่าทีจะสงบง่ายดาย ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร กระทั่งรถคันหรูถูกยิงเข้าที่ล้อและเสียหลักพุ่งชนเข้าเสาไฟฟ้า มธุรินจึงกรีดร้องก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อมีเลือดไหลบริเวณศีรษะ
“เลือด” นิ้วเรียวแตะบนบาดแผลแผ่วเบา ยกขึ้นมาดูจึงเห็นเลือดสีแดงสด
“คุณเป็นอะไรไหม” ด้วยความตกใจกับเสียงร้องของเธอ มาเชลโล่รีบหันมาดูอย่างไว “เราต้องหนีก่อนเถอะ คุณไหวไหม” พูดพลางหันหลังมองดูคู่กรณี
“ไหวค่ะ” พยักหน้าหงึก ๆ แม้จะรู้สึกเวียนหัวก็ตาม
“ไปกันเถอะ” มือหนาคว้าข้อมือเล็กไว้แน่น เปิดประตูออกทันทีทันใด แล้วไม่ลืมยิงสวนพวกมันอีกครั้งก่อนจะพามธุรินวิ่งเข้าป่าริมถนน
เสียงกระสุนปืนดังไล่หลังมธุรินและมาเชลโล่ต่อเนื่อง ไม่มีท่าทีพวกมันจะเหนื่อยและถอยห่าง
“บอสคะ ดิฉันไม่ไหวแล้ว” มธุรินกล่าวเสียงแผ่วเบา เลือดไหลนองหน้าประกอบกับการวิ่งหนีคนร้ายหลายนาทีและเหนื่อยล้าจากการทำงาน ตอนนี้เหมือนร่างกายต้านทานไม่ไหวเหลือเกิน อยากจะสลบเต็มที “บอสหนีไปคนเดียวเถอะ”
“ไม่ได้นะคุณมธุรินอย่าเพิ่งเป็นอะไร งั้นหาที่หลบก่อนละกัน” มาเชลโล่เห็นท่าไม่ค่อยดีจึงพาหญิงสาวไปหลบตรงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“อยู่ที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวผมมา” เขาทิ้งเธอไว้คนเดียวและล่อคนร้ายไปอีกด้านหนึ่ง
“เฮ้ย!!” มาเชลโล่ส่งเสียงดังให้ชายฉกรรจ์ทั้งสองวิ่งตามไป ก่อนจะเกิดการปะทะดุเดือดอีกครั้ง กระทั่งเขาอาศัยจังหวะตอนพวกมันเผลอยิงเข้ากลางศีรษะชายคนหนึ่งจนเสียชีวิต ส่วนอีกคนที่เหลือต่อสู้ด้วยมือเปล่า เนื่องจากต่างฝ่ายต่างกระสุนหมด เขาซัดหมัดหนักเข้าตรงกระพุ้งแก้มชายฉกรรจ์ ก่อนจะทุบศีรษะจนสลบ
“มธุริน” รีบวิ่งกลับไปหาหญิงสาวทันใด
